วัฒนธรรมประเพณีของชนเผ่าอาข่า
ประเพณีโล้ชิงช้า (แย้ขู่อ่าเผ่ว)
ครอบครัวอาข่าเป็นแบบครอบครัวขยาย อยู่รวมกันหลายครอบครัว หนุ่มสาวอาข่ามีอิสระในการเกี้ยวพาราสีและการเลือกคู่ครอง หากแต่งงานแล้ว ผู้หญิงจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของผู้ชาย และมานับถือผีฝ่ายสามี ทุกหมู่บ้านจะมีลานโล่งกลางหมู่บ้านเพื่อกิจกรรม ต่าง ๆ ของหมู่บ้าน เป็นลานดินเรียกว่า “ลานสาวกอด” หรือ “แดห่อง” เป็นลานที่ดินที่หนุ่มสาวชาวอาข่ามาพลอดรักกัน และเด็ก ๆ มาร้องรำทำเพลงกัน
ประเพณีไข่แดง (ขึ่มสึ ขึ่มมี๊อ่าเผ่ว)
มีขึ้นภายหลังจากที่มีการอยู่กรรมจากการเผาไฟในไร่ช่วงกลางเดือนเมษายน ตรงกับเดือนอาข่า "ขึ่มสึ บาลา"อาข่าจะประกอบพิธี "ขึ่มสึ ขึ่มมี้ อาเผ่ว" เป็นประเพณีการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หรือเรียกอีกอย่างว่า ประเพณีปีใหม่ชนไข่ เนื่องจากประเพณีนี้มีการนำไข่มาใช้ประกอบพิธี เด็ก ๆ จะมีการเล่นชนไข่ โดยการย้อมเปลือกไข่ให้เป็นสีแดง และใส่ตะกร้าห้อยไปมา เป็นประเพณีที่มีมาช้านานพิธีกรรมวันแรกจะเริ่มเมื่อเห็นข้างขึ้น ๑ ค่ำ ชนเผ่าอาข่าเรียกว่า “ลาเด๊ะ ถี่หยะ” ก็จะมีการเริ่มประกอบพิธีใหม่ที่เรียกว่า “ขึ่มสึ อาเผ่ว” หมายถึง พิธีต้อนรับปีใหม่ อาข่าให้ความหมายรวมถึง การต้อนรับสิ่งมีชีวิตที่เกิดใหม่ทุกชนิดบนโลกในของช่วงเดือนเมษายน เมื่อประกอบพิธีนี้เสร็จก็จะมีการทำพิธีต่ออีกที่เรียกว่า “ขึ่มมี่ อาเผ่ว” เป็นพิธีที่เกิดขึ้นเพื่อฉลองปีใหม่ และฉลองตำแหน่งผู้นำทางวัฒนธรรม และการปกครองชุมชน “โจ่วมา” โดยผู้นำมีการประกอบพิธีของตำแหน่งที่เรียกว่า “โจ่ว หละ หยะ เออ” เป็นการเสร็จสิ้นภารกิจของพิธีกรรม
ประเพณีโล้ชิงช้า (แย้ขู่อ่าเผ่ว)
จะมีการจัดขึ้นทุก ๆ ปี ประมาณปลายเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน ซึ่งจะตรงกับช่วงที่ผลผลิตกำลังงอกงาม และพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวในอีกไม่กี่วัน ในระหว่างนี้อาข่าจะดายหญ้าในไร่ข้าวเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากดายหญ้าแล้วก็รอการเก็บเกี่ยว ตรงกับเดือนของอาข่าคือ “ฉ่อลาบาลา” ชนเผ่าอาข่าถือว่าประเพณีนี้เป็นพิธีกรรมที่มีคุณค่ามากด้วยภูมิปัญญาที่ใช้ในการส่งเสริมความรู้แล้ว ยังเกี่ยวพันกับการดำรงชีวิตประจำวันของชนเผ่าอาข่าอีกมากมาย ทั้งยังเป็นประเพณีทีให้ความสำคัญกับผู้หญิง ผู้หญิงอาข่าจะพร้อมใจกันแต่งกายด้วยเครื่องทรงต่าง ๆ อย่างสวยงามเป็นกรณีพิเศษในเทศกาลนี้ เพื่อยกระดับชั้นวัยสาวตามขั้นตอน แสดงให้คนในชุมชนได้เห็น พร้อมทั้งขึ้นโล้ชิงช้า และร้องเพลงทั้งลักษณะเดี่ยวและคู่ ในการจัดประเพณีโล้ชิงช้าแต่ละปีของอาข่า จะต้องมีฝนตกลงมา ถ้าปีไหนเกิดฝนไม่ตก อาข่าถือว่าไม่ดี ผลผลิตที่ออกมาจะไม่งอกงาม มีระยะเวลาในการจัดรวม ๔ วันด้วยกัน ดังนี้
วันที่ ๑ จ่าแบ : เป็นวันแรกของพิธีกรรม ผู้หญิงอาข่าจะแต่งตัวด้วยชุดประจำเผ่าเต็มยศแล้วออกไปตักน้ำที่บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพื่อจะนำมาใช้ในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา โดยน้ำที่ตักมาจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ อาข่าเรียกว่า "อี๊จุอี๊ซ้อ" และในวันนี้ก็มีการตำข้าวปุ๊ก “ห่อถ่อง” ข้าวปุ๊ก หรือห่อถ่อง คือ ข้าวที่ได้จากการตำอย่าง ละเอียด โดยก่อนที่จะตำก็จะนำข้าวสาร (ข้าวเหนียว) แช่ไว้ประมาณ 1 คืน พอรุ่งเช้าก็นำมานึ่ง หลังจากนึ่งเสร็จหรือได้ที่แล้ว ก็จะมีการโปรยด้วยน้ำอีกรอบหนึ่งแล้วก็นึ่งต่อ ระหว่างที่รอข้าวสุกจะมี
การตำงาดำผสมเกลือไปด้วย เพื่อไม่ ให้ข้าวเหนียวที่ตำติดมือเวลานำมาปั้นข้าวปุ๊กซึ่งต้องใช้ในการทำพิธีเช่นกัน
วันที่ ๒ วันสร้างชิงช้า : เป็นวันที่ทุกคนจะมารวมตัวกันที่บ้านของผู้นำศาสนา “โจว่มา” เพื่อจะปรึกษาและแบ่งงานในการจะปลูกสร้างชิงช้าใหญ่ของชุมชน หรือเรียกว่า “หล่าเฉ่อ” ในวันนี้จะไม่มีการทำพิธีใด ๆ ทั้งสิ้น แม้กระทั่งสัตว์ก็จะไม่ฆ่า หลังจากที่สร้างเสร็จจะมีพิธีเปิดโล้ชิงช้าโดย “โจว่มา” จะเป็นผู้เปิด
โล้ก่อน จากนั้นทุกคนก็สามารถโล้ได้ นอกจากนี้ทุกครัวเรือนจะต้องสร้างชิงช้าเล็กไว้ที่หน้าบ้านของตนเองอีกด้วย เพื่อให้ลูกหลานของตนเล่นด้วย เพราะถือว่าเป็นพิธี
วันที่ ๓ วัน ล้อดา อ่าเผ่ว : ถือเป็นวันพิธีใหญ่ มีการเลี้ยงฉลองกันทุกครัวเรือน พร้อมทั้งมีการเชิญผู้อาวุโส หรือแขกต่างหมู่บ้านมาร่วมรับประทานอาหารในบ้านของตน
วันที่ ๔ จ่าส่า : เป็นวันสุดท้ายของพิธีกรรม สำหรับในวันนี้จะไม่มีการประกอบพิธีกรรมอะไรทั้งสิ้น นอกจากพากันมาโล้ชิงช้า เพราะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้โล้ในปีนี้ แต่พอตะวันตกดิน หรือประมาณ ๑๘.๐๐ น. ผู้นำศาสนาก็จะทำการเก็บเชือกของชิงช้า โดยการมามัดติดกับเสาชิงช้า ถือว่าบรรยากาศในการโล้ชิงช้าก็จะได้จบลงเพียงเท่านี้ และหลังอาหารค่ำก็จะทำการเก็บเครื่องเซ่นไหว้ต่าง ๆ เข้าไว้ที่เดิม ถือว่าเสร็จสิ้นพิธีกรรม
ประเพณีเชิดชูตำแหน่งรองผู้นำศาสนา (ยอลาอ่าเผ่ว)
หลังจากเทศกาลโล้ชิงช้าผ่านไป ๑๓ วัน หรือ ๑ รอบสัปดาห์ จะมีประเพณียอลาอ่าเผ่ว จัดขึ้นประมาณเดือน กันยายนของทุกปี ตรงกับเดือนอาข่า คือ “ยอลาบาลา” โดยจะประกอบพิธีกรรมเป็นระยะเวลา ๒ วัน ประเพณีนี้เกิดขึ้นเนื่องจากในชุมชนอาข่านอกจากจะมีผู้นำศาสนาแล้ว ในชุมชนอาข่าก็ยังมีรองผู้นำศาสนา เป็นบุคคลที่เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำศาสนาในอดีต ดังนั้นประเพณีนี้จึงจัดขึ้นมาเพื่อเชิดชูอดีตผู้นำศาสนา ฉะนั้นประเพณีนี้ถือเป็นประเพณีของอดีต ผู้เคยดำรงตำแหน่งผู้นำศาสนามาก่อนก็ว่าได้ ดังนั้นบรรดาผู้เป็นรองผู้นำศาสนาก็จะมีการประกอบพิธีกรรมเพื่อไหว้ครูและมีการเลี้ยงอาหาร เรียกว่า “โจ่วยองล้อเออ”
เทศกาลค๊องแย๊อ่าเผ่ว
เป็นเทศกาลที่จัดขึ้นประมาณเดือนตุลาคมของทุกปี ซึ่งจะตรงกับช่วงที่พืชพันธุ์ที่ปลูกลงไปในไร่มีผลผลิต และเริ่มที่จะเก็บเกี่ยวได้แล้ว อาทิเช่น แตงโม แตงกวา พืชผักต่าง ๆ เป็นต้น เทศกาลนี้จัดขึ้นมาเพื่อขับไล่สิ่งไม่ดีออกจากชุมชน เช่น ภูตผีปีศาจที่มาอาศัยอยู่ในชุมชน อาข่าเรียกว่า “แหนะ” รวมไปถึงโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ โดยมีการแกะสลักไม้เนื้ออ่อนเป็นดาบ หอก ปืน อาข่าเรียกอุปกรณ์เหล่านี้ว่า “เตาะมา” เป็นเครื่องหมายที่ใช้ในการขับไล่สิ่งไม่ดีออกจากชุมชน มีการตะโกนร้องดัง ๆ โดยเด็ก ๆ ในหมู่บ้านจะมีการแต่งหน้าโดยใช้สีให้ดูน่ากลัวที่สุด ส่วนในมือนั้นถือดาบ หรือหอกที่ทำจากไม้ที่มีลวดลาย การตบแต่งอย่างละเอียด เด็ก ๆ ก็จะรวมกันเป็นกลุ่มหลาย ๆ คน เดินเข้าไปในแต่ละบ้าน โดยจะเข้าทางประตูหน้าและตะโกนร้องเสียงดังว่า "โช้ โช้ลิโล ๆ" เพื่อให้สิ่งไม่ดีต่าง ๆ ที่อยู่ในบ้านหวาดกลัวและออกไปจากบ้าน ขณะที่เด็กเข้าไปในบ้าน เด็กสามารถที่จะค้นหาผลไม้ต่าง ๆ มารับประทานได้ บางครอบครัวก็จะนำแตงกวามาวางไว้ให้เด็กได้ลิ้มลอง จากนั้นเด็กก็จะเดินออกทางหลังบ้าน ระหว่างที่ออกไปก็จะมีการจุดปะทัดและยิงปืน เทศกาลนี้อาจถือเป็นเทศกาลที่นำไปสู่ฤดูกาลใหม่อีกฤดูกาลหนึ่ง คือจะเริ่มเข้าหน้าหนาว และหลังจากเทศกาลนี้เสร็จก็ยังสามารถทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้หลากหลาย ได้แก่ การแต่งงาน การละเล่นเป่าแคน การออกไปล่าสัตว์ เสมือนการออกพรรษาของไทย
ประเพณีกินข้าวใหม่ (ยอพูนองหมื่อเช้เออ)
พิธีเลือกฤกษ์วันดีและกินข้าวใหม่ของอาข่า ถือเป็นพิธีที่สำคัญอีกพิธีหนึ่งที่ชนเผ่าอาข่าที่สืบทอดและปฏิบัติกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ พิธียอพูนองหมื่อเช้เออนี้หมายถึง การกำหนดฤกษ์วันดีของชุมชนเพื่อจะให้สมาชิกในชุมชน สามารถที่จะประกอบพิธีกรรมกินข้าวใหม่ หรือเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าว ชนเผ่าอาข่า เรียกว่า “แช้นึ่มจึเออ” พิธีนี้จะมีส่วนสำคัญของกิจกรรมอยู่ 2 รูปแบบคือ การเก็บเชื้อข้าวพันธุ์ใหม่ “แช้นึ้มยู้เออ” และการกินข้าวใหม่ “แช้นึ้มจึจ่าเออ” อนึ่งประเพณีนี้จะใช้ระยะเวลาในการประกอบพิธีเพียง 1 วัน ซึ่งการเลือกฤกษ์วันดีของชุมชนนั้น จะให้ผู้นำศาสนา
หรืออาข่าเรียกว่า "เจ่วมา" ดูตับหมูเกี่ยวกับผลผลิตของชุมชน อาข่าเรียกการดูตับนี้ว่า “หยะผี่ท้องเออ” เมื่อทราบว่าในวันรุ่งขึ้น จะมีการอยู่กรรมเพื่อถือเป็นวันฤกษ์ดีของชุมชนแล้ว ในตอนกลางคืนก็จะมีการประกาศที่เรียกว่า “ลองกู้กู้เออ” ซึ่งจะประกาศให้คนในชุมชนหยุดการทำงาน อย่าเก็บของป่า อย่ายุ่งเรื่องเพศ และทำจิตใจให้บริสุทธิ์ เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นคนในชุมชนก็จะอยู่บ้าน ไม่ออกไปทำงาน แต่บรรดาสตรีก็อาจมีการเย็บผ้า ปักผ้าบ้าง ตอนเย็นก็จะมีการละเล่นสะบ้าได้
ปีใหม่ลูกข่าง (ค๊าท้องอ่าเผ่ว)
เป็นประเพณีเปลี่ยนฤดูกาลทำมาเลี้ยงชีพ จัดขึ้นประมาณเดือนธันวาคมของทุกปี ตรงกับเดือนอาข่า คือ “ท้องลาบาลา” คนทั่วไปนิยมเรียกประเพณีนี้ว่า ปีใหม่ลูกข่าง ประเพณีนี้มีประวัติเล่ากันมาว่า เป็นประเพณีที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงฤดูกาลทำมาหากิน ซึ่งภายหลังจากที่มีการเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์จากท้องไร่นา เสร็จแล้วก็จะเข้าสู่ฤดูแห่งการพักผ่อน ถือเป็นประเพณีของผู้ชาย โดยผู้ชายทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ จะมีการทำ ลูกข่าง “ฉ่อง” แล้วมีการละเล่นแข่งตีกัน เพื่อฉลองการเปลี่ยนแปลงวัยที่มีอายุมากขึ้น พร้อมทั้งชุมชนแต่ละครัวเรือน ก็จะมีการแลกเปลี่ยนดื่มเหล้ากันในชุมชน ดังสุภาษิตที่ว่า “ค๊าท้องจี้ฉี่” แปลว่า ประเพณียกเหล้า ฉะนั้น หากประเพณีนี้ถ้ามีคนเมาเหล้าก็ถือว่า เป็นเรื่องปกติ และเป็นการเริ่มต้นกินข้าวที่เก็บไว้ในฉางข้าว ส่วนผู้หญิงก็จะมีการเล่นสะบ้าในลานชุมชน
ศาสนา ความเชื่อ และพิธีกรรมของชนเผ่าอาข่า
ชนเผ่าอาข่าไม่มีคำว่า “ศาสนา” แต่มีคำว่า “บัญญัติอาข่า” ซึ่งครอบคลุมไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณีและพิธีการทุกอย่างในการดำเนินชีวิต มีความเชื่อในเรื่องผี โชคลาง และการเสี่ยงทายเป็นที่สุด ผีหรือ “แหนะ” ได้เข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิตของชาวอาข่า ชนเผ่าอาข่ามีความเชื่อถือผี และสิ่งเร้นลับในธรรมชาติ จึงต้องคอยระมัดระวังไม่ ให้เกิดการกระทบกระเทือนต่อสิ่งดังกล่าว ดังนั้นก่อนทำสิ่งใดอีก้อจะตรวจดูโชคลางเสียงก่อน บางทีก็มีการเสี่ยงทาย บางทีก็ถือเอาปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติว่าเป็นการบอกลางดีลางร้าย นอกจากนี้ยังพบว่าชนเผ่าอาข่านับถือผีบรรพบุรุษ โดยทุกครัวเรือนจะมีหิ้งผีบรรพบุรุษไว้เซ่นไหว้ปีละ 9 ครั้ง รองลงมาได้แก่ผีใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นหัวหน้าผีทั้งปวง และเป็นตนเดียวที่อยู่บนสวรรค์มีหน้าที่ดูแลความทุกข์สุข ผีตามความเชื่อของอาข่า มีดังนี้
ความเชื่อเกี่ยวกับผี
ผีเรือน หรือผีบรรพบุรุษ ชาวอาข่าถือว่าเป็นผีที่ดีที่สุด เพราะเป็นวิญญาณบรรพบุรุษที่คอยคุ้มครองดูแลครอบครัวมาโดยตลอดหลายชั่วอายุคน
ผีหมู่บ้าน คือ ผีที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านคอยปกป้องรักษาคนในชุมชนให้อยู่เย็นเป็นสุข จะสถิตย์อยู่ที่ศาลผีประจำหมู่บ้าน บริเวณทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ซึ่งศาลนี้จะต้องสร้างก่อนที่จะตั้งหมู่บ้าน
ผีทั่วไป เป็นผีที่สิงอยู่ประจำที่ต่าง ๆ ทั่วไปนอกจากผีที่บอกมาในเบื้องต้นแล้วก็ยังมีผีไฟ ผีดิน ผีน้ำ ผีดอย ผีฟ้าผ่า ผีจอมปลวก เป็นต้น
ผีเร่ร่อน คือ ผีตายทั้งกลมกับผีตายโหง ตามความเชื่อของอาข่าถือว่าทั้งสองประเภทนี้เป็นผีที่ไม่ดี เป็นผีที่ไม่มีที่อยู่ ร่อนเร่ไปทั่ว บางครั้งคอยหลอกหลอนคนที่จิตใจไม่เข้มแข็ง
ความเชื่อเกี่ยวกับการเกิดของสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นอยู่บนโลก
ชนเผ่าอาข่ามีตำนานและความเชื่อเกี่ยวกับการเกิดของสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นอยู่บนโลก ซึ่งสามารถแบ่งแยก ออกเป็นตอนใหญ่ ๆ ได้ 3 ตอน ดังนี้
ตอนที่ ๑ การเกิดของสรรพสิ่งต่าง ๆ ที่มีชีวิต และไม่มีชีวิต เรียกว่า "ปรึ่มกา" หมายถึงขั้นตอนของการเกิดสิ่งต่าง ๆ อาทิ ดิน น้ำ อากาศ มนุษย์ ฯลฯ และสิ่งอื่น ๆ ที่มีอยู่บนปฐพี ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต
ตอนที่ ๒ การเกิดกฎระเบียบ พิธีกรรม ประเพณี เรียกว่า “ย้องกา” เป็นขั้นตอนของการเกิดของสัตว์ที่อาข่าเชื่อว่าไม่ดี และไม่นำมาเลี้ยงเด็ดขาด หรือถ้ามีก็ต้องนำมาฆ่ากิน และเซ่นไหว้ผีเสียหมูที่เกิดลูกน้อยกว่า 3 ตัว อาข่าเชื่อว่าธรรมชาติของหมูต้องเกิดลูกมากกว่า
ตอนที่ ๓ ขั้นตอนการเกิดดินแดนที่อยู่อาศัย เรียกว่า "จ้อกา" ปัจจุบันอาข่าที่นับถือดั้งเดิม ยังมีการใช้หลักความเชื่อในการดำรงชีวิตอยู่ แต่ชนเผ่าอาข่าบางส่วนก็หันไปนับถือศาสนาคริสต์และอิสลาม เนื่องจากความซับซ้อนและความหลากหลายของพิธีกรรม บวกกับสภาพเศรษฐกิจของปัจจุบันที่ไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิต เพราะการนับถือดั้งเดิมจะต้องเคร่ง ในการ ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา จะขาด หรือ ผิดพลาดไม่ได้ ในขณะเดียวกันต้องใช้สัตว์ต่าง ๆ ในการทำพิธีเซ่นไหว้เป็นจำนวนมาก เป็นเหตุทำให้หลาย หมู่บ้านต้องทิ้งความเป็นดั้งเดิม แล้วหันไปนับถือศาสนาอื่น
พิธีถวายทานให้ผีเปรต
ชนเผ่าอาข่าเป็นชนเผ่าที่มีความเชื่อในเรื่องวิญญาณ ภูตผี ปีศาจ ไสยศาสตร์สิ่งเร้นลับ พิธีกรรม และคำสอนที่ได้รับการปลูกฝังมาจาก บรรพบุรุษที่สืบทอดปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด การประกอบพิธีกรรมนี้ทำเพื่อเชื้อเชิญวิญญาณเจ้าเมือง ทาส ผีเปรต ของเผ่าต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่ในชุมชนออกจากชุมชนไป รวมทั้งสิ่งเลวร้ายหรือโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับมนุษย์และสัตว์ ไม่ให้มารังควานในชุมชนอีกต่อไป พิธีกรรมนี้จะทำก็ต่อเมื่อมีโรคระบาดในชุมชน ไม่ว่าโรคที่เกิดขึ้นกับมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยง ซึ่งถ้าหากมีโรคมาระบาดในชุมชน ชุมชนนั้น ๆ ก็จะประกอบพิธีถวายทานให้ผีเปรต โดยใช้เวลาในการประกอบพิธีเพียง ๑ วัน ดังนั้นเมื่อถึงวันกำหนดจะประกอบพิธีถวายทานให้ผีเปรต “ค๊าด่าฉี่เออ” ชุมชนจะเลือกวันฤกษ์ดีขึ้นมา จากนั้นก็จะทำการประกอบพิธี ซึ่งในการประกอบพิธีจะแบ่งได้ ๓ รอบดังนี้ คือ รอบแรก “ถี่ข่า” จะเริ่มประกอบพิธีหลังจากปลูกสร้างประตูหมู่บ้านแล้ว ช่วงประมาณเดือนเมษายนถึงตุลาคม รอบที่ ๒ “หยี่ข่า” ประกอบพิธีหลังจากประเพณีไล่ผี “ค้องแย๊ะแย๊ะเออ” หรือออกพรรษาอาข่า ช่วงระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม รอบที่ 3 “ซึ้มข่า” ประกอบพิธีหลังประเพณีปีใหม่ลูกข่าง “ค๊าท้องพ๊าเออ” ช่วงระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม
พิธีบูชาศาลพระภูมิเจ้าที่
ศาลพระภูมิเจ้าที่เป็นศาสนสถานที่สำคัญของชุมชนอาข่า เป็นที่กราบไหว้บูชาของชุมชนอาข่า ศาลพระภูมิเจ้าที่จะมีการสร้างประมาณเดือนเมษายนของทุกปี หลังจากปลูกสร้างประตูหมู่บ้านแล้ว และจะมีการบูชาทุกปี ปีละครั้ง หรือถ้าปีไหนมีโรคระบาดเยอะ หรือมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันมาเยือนชุมชนบ่อย ๆ ก็อาจประกอบพิธี 2 ครั้งใน 1 ปี สร้างไว้ทางทิศเหนือของชุมชน ห่างจากชุมชนประมาณ ๕๐๐ เมตร ทำเลในการจะสร้างศาลพระภูมิเจ้าที่จะต้องอยู่สูงกว่าระดับ การตั้งของชุมชน สามารถมองเห็นชุมชนได้อย่างทั่วถึง ทั้งนี้ตามความเชื่อของอาข่า เพื่อให้เจ้าที่สามารถดูแลและปกปักรักษาคนในชุมชนได้อย่างทั่วถึง ในการประกอบพิธีกรรมที่ศาลพระภูมิเจ้าที่จะใช้เวลาเพียง ๑ วัน โดยก่อนที่จะมีการทำพิธี หัวหน้าครัวเรือนทุกครัวเรือนจะต้องไปรวมตัวกันที่บ้านของผู้นำศาสนา มีการเตรียมเครื่องหรืออุปกรณ์ในการเซ่นไหว้ต่าง ๆ ให้พร้อม จากนั้นก็จะเดินทางไปบริเวณที่ก่อตั้งศาลพระภูมิเจ้าที่ ผู้หญิงหรือแม่บ้านจะไม่เข้าร่วม เพราะว่าตามประเพณีของอาข่า นอกจากผู้หญิงที่ได้ผ่านการยกตำแหน่งเทียบเท่าผู้ชายแล้วเท่านั้น จึงสามารถที่จะประกอบพิธีได้ แต่เด็กตัวเล็ก ๆ สามารถไปร่วมรับประทานอาหารได้ เมื่อไปถึงบริเวณศาลทุกคนก็จะช่วยกัน ทำความสะอาดบริเวณศาล แล้วเลือกต้นไม้ต้นหนึ่งที่ไม่โต หรือไม่เล็กเกินไป เพื่อจะทำเป็นที่บูชา เมื่อเลือกต้นไม้ได้แล้วก็จะมีการแบ่งงานกัน มีกลุ่มที่ต้องไปตัดไม้ไผ่ เพื่อจะนำมาตบแต่งบริเวณศาล โดยทำเป็นเครื่องประดับ อาข่าเรียกว่า “หน่าชิหน่าจะ” และมี ตาแหลว “ด๊าแล้” ทุกคนก็จะช่วยกันสร้างศาลขึ้นมา เมื่อสร้างศาลเสร็จ ก็จะมีการบูชาเซ่นไหว้ ขอพรเจ้าที่เจ้าป่า ให้ดูแลพื้นที่ทำกิน ให้ได้ผลผลิตที่งอกงาม ปลอดแมลงต่าง ๆ ที่จะมารบกวนในพื้นที่ทำกิน หลังจากทำพิธีและขอพรเสร็จ ทุกคนก็จะร่วมรับประทานอาหารในบริเวณศาล หลังจากรับประทานอาหารแล้วก็จะช่วยกันทำความสะอาด แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันกลับบ้าน ถือว่าเสร็จสิ้นพิธีกรรม
พิธีปลูกข้าวเริ่มแรก (แช้คาอ่าเผ่ว)
เป็นพิธีกรรมที่ประกอบการมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ พิธีนี้จะทำประมาณ เดือนพฤษภาคม ก่อนปลูกข้าวไร่ของทุกปี
พิธีทำบุญในไร่ข้าว (อึ่มผี่ล้อเออ)
พิธีนี้จะทำหลังจากทำพิธีปลูกข้าวเริ่มแรกประมาณ ๑ เดือน หรือ ประมาณ ๓ อาทิตย์ของอาข่า (สุ่มนองจ๊อง) ทำเพื่อให้ผลผลิตในไร่ข้าวเจริญงอกงาม ปราศจากสิ่งรบกวน เช่น ตั๊กแตน ปลวก ฯลฯ ในการทำพิธีนี้ต้องนับวันฤกษ์วันดีของครอบครัว (เป็นวันเกิดของคนในครอบครัว แต่ไม่ตรงกับวันตายโหงของคนในครอบครัว) การประกอบพิธี แบ่งออกได้ ๒ ลักษณะ คือ การประกอบพิธีแบบธรรมดาโดยใช้ไก่ และการประกอบพิธีขนาดใหญ่โดยใช้หมู
พิธีถอนขนไก่ (ยาจิจิอ่าเผ่ว)
เป็นพิธีที่สำคัญของอาข่า โดยใช้เวลาในการประกอบพิธีกรรมเพียง ๑ วัน เริ่มพิธิเมื่อถึงวันแกะ “ย้อ” ตามการนับวันรอบสัปดาห์ของอาข่า เนื่องจากวันแกะหรือวันย้อ ถือเป็นวันเกิดของเทพเจ้า “อ่าเผ่วหมี่แย๊” ผู้ให้กำเนิดชีวิตมนุษย์ ดังนั้นเทพเจ้าของอาข่าจึงได้บัญชาให้เหล่าบรรดาปู่ย่าตายายของตระกูลต่าง ๆ ที่ล่วงลับไปแล้วและอาศัยอยู่กับเทพเจ้าเป็นจำนวน ๗ ชั่วโครต อาข่าเรียกว่า “สิจึอ่าเผ่ว” ให้ลงมาจากสวรรค์เพื่อมาสำรวจสมาชิกในโลกมนุษย์ของแต่ละตระกูลว่า เกิด แก่ เจ็บตาย เท่าใด ในวันนี้อาข่าจึงมีการประกอบพิธีถอนขนไก่ ฉะนั้นสมาชิกครอบครัวจะต้องกลับมาที่บ้านเพื่อมาร่วมพิธีกรรมนี้
พิธีเรียกขวัญ
เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการเรียกขวัญ เมื่อประชาชนอาข่าไปในป่าหรือสถานที่ที่ใดที่หนึ่ง แล้วไปสะดุ้งกลัวและเกิดความไม่สบายขึ้นมา เช่น ตัวร้อน ปวดหัว ฯลฯ เมื่อผู้ประสบเหตุกลับมาถึงบ้านก็บอกสมาชิกในครัวครอบให้ประกอบพิธีกรรมนี้ การคัดเลือกฤกษ์ยามในการทำพิธี ต้องไม่ตรงกับวันเกิดและวันตายของสมาชิกในครอบครัว จึงนับว่าเป็นวันดี แต่ถ้าเป็นวันเกิดของผู้ที่ประสบเหตุสะดุ้งนั้นได้ และถือว่าเป็นฤกษ์ยามที่ดีมาก สามารถทำได้ ๓ รูปแบบ ดังนี้ การเรียกขวัญโดยใช้ไข่ "ลา คู คู - เออ ลา แย่ มา เด๊า", การเรียกขวัญโดย ใช้ไก่ "ยา จี ลา คู คู - เออ", และการเรียกขวัญโดยใช้หมู "อ่าหยะ ลา คู คู - เออ"