ทรัพยากรธรรมชาติป่าไม้
ป่าไม้ (อังกฤษ: Forest, Jungle) ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ หมายถึง ที่ดินที่ไม่มีบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ครอบครองตามกฎหมายที่ดินโดยทั่วไป หมายถึง บริเวณที่มีต้นไม้หลายชนิด ขนาดต่าง ๆ ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นและกว้างใหญ่พอที่จะมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมในบริเวณนั้น เช่น ความเปลี่ยนแปลงของลมฟ้าอากาศ ความอุดมสมบูรณ์ของดินและน้ำ มีสัตว์ป่าและสิ่งมีชีวิตอื่นซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน
๑. ป่าไม้ในอุทยานแห่งชาติแม่ยม
ในปีงบประมาณ ๒๕๕๖ อุทยานแห่งชาติแม่ยมได้ทำการสำรวจพื้นที่ในป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่สอง ตำบลสะเอียบ ตำบลเตาปูน อำเภอสอง จังหวัดแพร่ เพิ่มเติมในท้องที่ บ้านป่าเลา ท้องที่หมู่ที่ ๓ บ้านป่าเลาเหนือ ท้องที่หมู่ที่ ๑๐ บ้านท่าว๊ะ ท้องที่หมู่ที่ ๘ บ้านห้วยโป่ง ท้องที่หมู่ที่ ๗ ตำบลสะเอียบ บ้านนาไร่เดียวท้องที่หมู่ที่ ๔ บ้านข่วงชมพู ท้องที่หมู่ที่ ๕ ตำบลเตาปูน อำเภอสอง จังหวัดแพร่ เนื้อที่ ๗๘.๘๐๐ ไร่ หรือ ๑๒๖ ตารางกิโลเมตร รวมพื้นที่ทั้งหมดที่อุทยานแห่งชาติแม่ยมสำรวจและควบคุม ๒๘๓,๐๒๕ ไร่ หรือ ๔๔๗.๙๖ ตารางกิโลเมตร เพื่อผนวกเป็นอุทยานแห่งชาติแม่ยม สภาพป่ามีความอุดมสมบรูณ์และมีความหนาแน่นของพืชพรรณ ตลอดจนมีความหลากหลายทางระบบนิเวศ จากการสำรวจโดยวิธี Line Plot Systm ทำการสุ่มโดยวิธี Systemtic Randem มีป่าไม้ ๓ ชนิดอยู่ด้วยกัน คือ
๑. ป่าเต็งรัง (Dry Deciduous Dipterocarp Forest) พบในพื้นที่ที่มีความสูงจาก
ระดับน้ำทะเลปานกลาง ตั้งแต่ ๕๐๐ – ๙๐๐ เมตร มีพรรณไม้เด่น จำพวก เต็ง (Shorea obtuse) รัง (Shorea Siamensis) เหียง มะขามป้อม มะกอกเกลือน พลวง ( Dipterocarpus tuberculatus) ติ๋ว ตะคร้อ สมอไทย รกฟ้า ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ ๓๐ ตารางกิโลเมตร หรือ ๑๘,๗๕๐ ไร่
๒. ป่าผสมผลัดใบหรือป่าเบญจพรรณ(Mixed Deciduous Forest) พบในพื้นที่ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ ๓๐๐ – ๔๐๐ เมตร มีพรรณไม้เด่น จำพวก แดง ( Xylia kerrii) ประดู่ (Paerocarpus macrocarpus) ฉนวน กะพี้ มะเฟืองป่า ตะแบก (Largerstroemiacaly cuata) ปรู๋ มะค่าโมง (Afzelia xylocarpa) โมกหลวง ผ่าเสี้ยน มะเกลือ สมพง อ้อยช้าง พืชวงศ์ย่อยไผ่ (Bambusoideae) ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ ๖๐ ตารางกิโลเมตร หรือ ๓๗,๕๐๐ ไร่
๓. ป่าดิบแล้ง ( Dry evergreen Forest) พบในพื้นที่อยู่ตามหุบเขาและลำห้วย ที่มีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีพรรณไม้เด่น จำพวก ตะเคียนหิน ตะเคียนทอง ( Hopeaodorata) กะบก มะเดื่อ ไม้สกุลไทร (Ficus spp.) ลำไยป่า มะม่วงป่า ต้นสมพง ไม้พื้นล่างพบพืชสกุลหวาย พืชสกุลเฟิร์น ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ ๑๐ ตารางกิโลเมตร หรือ ๖,๒๕๐ ไร่
ซึ่งป่าในพื้นที่ทั้งหมดเป็นป่าต้นน้ำที่ไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำแม่สกึ๋น อ่างเก็บน้ำแม่สองอยู่ในเขตของอำเภอสอง จังหวัดแพร่ ประกอบกับป่าดังกล่าวยังเป็นป่าที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่ขึ้นอย่างหนาแน่น จึงเป็นพื้นที่ป่าที่เหมาะแก่การผนวกเพิ่มเติมให้เป็นเขตอุทยานแห่งชาติต่อไป
๒. ประเภทของป่าไม้
ในประเทศไทยเราสามารถแบ่งประเภทของป่าออกได้เป็น ๒ประเภทด้วยกันได้แก่
๑. ป่าไม่ผลัดใบ (Evergreen Forest) ป่าประเภทนี้มีประมาณ ๓๐% ของเนื้อที่ป่า ทั้งประเทศสามารถแบ่งย่อยออกไปได้อีก ๔ ชนิด ดังนี้
ป่าดิบเมืองร้อน (Tropical Evergreen Forest)
ป่าสน (Coniferous Forest)
ป่าพรุ (Swamp Forest)
ป่าชายหาด (Beach Forest)
๒. ป่าผลัดใบ (Deciduous Forest) แบ่งได้ ๓ชนิด คือ
ป่าเบญจพรรณ (Mixed Deciduous Forest)
ป่าแพะ ป่าแดง ป่าโคก หรือป่าเต็งรัง (Deciduous Dipterocarp Forest)
ป่าหญ้า (Savanna Forest)
ป่าดิบเมืองร้อน
เป็นป่าไม่ผลัดใบ เป็นป่าที่อยู่ในเขตที่มีมรสุมพัดผ่านอยู่เกือบตลอดทั้งปี มีปริมาณน้ำฝนมาก ดินมีความชื้นอยู่ตลอดเวลา ขึ้นอยู่ทั้งในที่ราบและที่เป็นภูเขาสูง มีกระจายอยู่ทั่วไปตั้งแต่ภาคเหนือไปถึงภาคใต้ ป่าดิบเมืองร้อนจะเกิดขึ้นได้ต้องมีสภาพภูมิอากาศ ค่อนข้างชื้นและฝนตกชุก ได้รับอิทธิพลของลมมรสุมอย่างมาก แบ่งย่อยตามสภาพความชุ่มชื้นและความสูงต่ำของภูมิประเทศ ได้ดังนี้
ป่าดิบชื้น
ป่าดิบชื้น (Tropical Rain Forest) มีอยู่ทั่วไปในทุกภาคของประเทศ และมากที่สุดแถบชายฝั่งภาคตะวันออก เช่น ระยอง จันทบุรี และที่ภาคใต้ กระจัดกระจาย ตามความสูงตั้งแต่ ๐–๑๐๐เมตรจากระดับน้ำทะเลซึ่งมีปริมาณน้ำฝนตกมากกว่าภาคอื่น ๆ ลักษณะทั่วไปมักเป็นป่ารกทึบ ประกอบด้วยพันธุ์ไม้มากมายหลายร้อยชนิด ต้นไม้ส่วนใหญ่เป็นวงศ์ยาง ไม้ตะเคียน กะบาก อบเชย จำปาป่าส่วนที่เป็นพืชชั้นล่างจะเป็นพวกปาล์ม ไผ่ ระกำ หวายบุก ขอน เฟิร์น มอส
กล้วยไม้ป่าและ เถาวัลย์ชนิดต่าง ๆ
ป่าดิบแล้ง
ป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest) มีอยู่ทั่วไปตามภาคต่าง ๆ ของประเทศ ตามที่ราบเรียบหรือตามหุบเขา มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ ๕๐๐เมตร และมีปริมาณน้ำฝนระหว่าง ๑,๐๐๐-๑,๕๐๐ ม.ม. พันธุ์ไม้ที่สำคัญ เช่น ยางแดง มะค่าโมง เป็นต้น พื้นที่ป่าชั้นล่างจะไม่หนาแน่นและค่อนข้างโล่งเตียนทำไมจึงเรียกว่าป่าดิบแล้ง คำว่า “ป่าดงดิบ หรือ “ป่าดิบ” (evergreen) หมายถึง ป่าที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้สีเขียวตลอดปีซึ่งมิได้หมายความว่าป่าชนิดนี้จะไม่ยอดผลัดใบเลยแต่เป็นการค่อย ๆ ทยอยกันผลัดใบและทยอยกันผลิใบอย่างต่อเนื่องทั้งปีโดยไม่เป็นฤดูกาล (season) ซึ่งแตกต่างกับ “ป่าผลัดใบ” (deciduous) ที่มีการทิ้งใบโกร๋นทั้งต้นทั้งป่าในช่วงฤดูหนาวที่เรียกกันว่า “ป่าดงดิบแล้ง” เนื่องจากป่าชนิดนี้ชอบขึ้นอยู่ในที่ซึ่งแห้งแล้ง (dry)
กว่าป่าดงดิบชื้น ป่าดงดิบแล้งมีลักษณะก้ำกึ่งหรือเป็นป่าลูกผสม (กะเทิน) ระหว่างป่าดงดิบชื้น (Moistevergreen forest) กับป่าเบญจพรรณ(Mixed deciduous forest) ดังนั้นจึงไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าป่าชนิดนี้เป็นป่าชนิดใดกันแน่ จึงตั้งชื่อป่าลูกผสม หรือ“ป่ากะเทิน” นี้ใหม่ว่า“ป่าดงดิบแล้ง” (Dry evergreen forest) ป่าดงดิบแล้วแตกต่างจากป่าดงดิบชื้นเพราะ พื้นที่ซึ้งป่าดงดิบชื้นขึ้นอยู่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง มีแถบเมฆปกคลุม (Cloud belt) และมีแนวทรงตัวของหมอก (fog belt) ครอบคลุมเกือบตลอดทั้งปี ทำให้มีแสงสว่างที่พืชจะได้รับน้อยอุณหภูมิต่ำ ความชื้นในอากาศ (Moisture) สูง ปัจจัยดังกล่าวมีผลกระทบต่อพืช ดังนี้คือ
๑) เกิดการแก่งแย่ง (competition) แสงสว่างกันในหมู่ของสังคมพืช ทำให้ต้นไม้
สูงมาก
๒) โครงสร้างด้านตั้ง (stratification) ประกอบด้วย ไม้เด่น ไม้รอง ไม้ระดับกลางและไม้ที่ถูกบดบัง จึงเร่งการเจริญเติบโตไปอยู่ด้านบน
๓) เนื่องจากแสงสว่างแทบจะตกลงมาไม่ถึงพื้นเลย ต้นไม้จึงต้องรับแสงด้านข้างของเรือนยอดแทน ทำให้รูปร่างของเรือนยอดมีรูปร่างของเรือนยอดมีรูปทรงแบบรูปไข่
๔) ไม้เลื้อย (climbing) เช่น หวาย เถาวัลย์ ที่ชอบแสงสูงจะเลื้อยพันขึ้นไปบนยอดไม้เป็น เอกลักษณ์ พืชอิงอาศัย (Epiphyte) ที่ชอบอุณหภูมิต่ำความชื้นสูง เช่น กล้วยไม้ มอสส์ ขึ้นหนาแน่นตามลำต้น หรือตัวชี้วัด ( indicator) ของป่าดงดิบชื้น
๕ ) ป่าดงดิบแล้งมีระดับความสูงต่ำกว่าจึงมีลักษณะภูมิอากาศ (climate) ค่อนข้างร้อนและแห้งแล้งกว่าจึงมีสังคมพืช แตกต่างจากป่าดงดิบชื้น และที่สำคัญที่สุดก็คือจะพบจอมปลวกที่หนีความชื้นสูงมาอาศัยอยู่ในป่าดงดิบแล้งป่าดงดิบแล้งคล้ายกับป่าเบญจพรรณเนื่องจาก
เนื่องจาก ดินในป่าดงดิบแล้ง เกิดจากการผุพังสลายตัว (weathering) หินทราย (sandstone) จึงได้เนื้อดิน (texture) เป็น(sand) ซึ่งเป็นดินเนื้อหยาบ (coarse) จึงมีระดับธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อพืชต่ำกว่าดินเนื้อละเอียด (fine) ในป่าดงชื้นดินทรายจัดเป็นชั้นดินที่มีการชะล้างรุนแรง (albic horizon) ธาตุอาหารและอินทรีย์วัตถุที่เป็นประโยชน์พืชถูกชะล้างลงไปสะสมในดินชั้นล่างด้วยปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับดิน (Edaphic factors) ดังกล่าวจำเป็นต้องยอมให้ป่าเบญจพรรณแทรกเข้าไปอยู่อาศัยอยู่กันจนกลายเป็นป่าดงดิบแล้ง
ป่าผลัดใบ
ป่าผลัดใบ เป็นป่าไม้ที่ผลัดใบตามฤดูกาล (seasonal) พบทั่วไปทุกภาคที่มีช่วงฤดูแล้งยาวนานชัดเจนระหว่าง ๔ – ๗ เดือน ยกเว้นภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงใต้ (จันทบุรี– ตราด) เมื่อถึงฤดูแล้งที่มีปริมาณความชุ่มชื้นในดินและบรรยากาศลดลงอย่างมาก ต้นไม้ในป่าประเภทนี้จะผลัดใบร่วงลงสู่พื้นดิน และเตรียมผลิใบอ่อนขึ้นมาใหม่เมื่อถึงต้นฤดูฝนหรือเมื่อป่ามีความชุ่มชื้นมากขึ้น พืชพรรณในป่าผลัดใบส่วนใหญ่เป็นพรรณไม้ผลัดใบ(deciduous species) แทบทั้งสิ้น ป่าผลัดใบในช่วงฤดูฝนมีเรือนยอดเขียวชอุ่มเช่นเดียวกับป่าไม้ผลัดใบ ในฤดูแล้ง (มกราคม – มีนาคม) ใบไม้แห้งจะกองทับถมบนพื้นป่า ทำให้ เกิดไฟป่าลุกลามในป่าผลัดใบได้ง่ายแทบทุกปี
๑. ป่าเบญจพรรณหรือป่าผลัดใบผสมมีอยู่มากทางภาคเหนือ ภาคกลาง และพบกระจัดกระจายเป็นหย่อมเล็ก ๆ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนทางภาคใต้ไม่พบป่าชนิดนี้เลย ป่าเบญจพรรณมีลักษณะเป็นป่าโปร่งมากหรือน้อยประกอบด้วยไม้ต้นขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็กปนกันหลากชนิด โดยเฉพาะพรรณไม้ของวงศ์ Leguminosae, Combretaceaeและ Verbenaceae แต่จะไม่ปรากฏพรรณไม้กลุ่มยาง-เต็ง-รังที่ผลัดใบ (deciduousdipterocarp) บางแห่งมีไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ ขึ้นเป็นกอสูง ๆ แน่นหรือกระจัดกระจาย พื้นดินมักเป็นดินร่วนปนทราย มีความชุ่มชื้นในดินปานกลาง หากเป็นดินที่สลายมาจากหินปูนหรือดินตะกอนที่อุดมสมบูรณ์ตามฝั่งแม่น้ำ มักจะพบไม้สักขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ เช่น ป่าเบญจพรรณในภาคเหนือลงมาถึงภาคกลางในเขตจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งประกอบด้วยภูเขาหินปูนเป็นส่วนใหญ่ในช่วงฤดูแล้ง (มกราคม - มีนาคม) ต้นไม้ส่วนใหญ่จะผลัดใบ ทำให้เรือนยอดของป่าดูโปร่งมาก เมื่อเข้าฤดูฝนต้นไม้จึงผลิใบเต็มต้นและกลับเขียวชอุ่มเหมือนเดิม ป่าเบญจพรรณในท้องที่มีดินตื้นหรือดินเป็นกรวดทราย ค่อนข้างแห้งแล้งและมีไฟป่าในฤดูแล้งเป็นประจำ ต้นไม้จะมีลักษณะแคระแกร็น เรือนยอด เป็นพุ่มเตี้ยๆ ตามลำต้นและกิ่งมักจะมีหนามแหลม เช่น กระถินพิมาน Acacia tomentosa, A. Harman diana (Leguminosae), สีฟันคนฑา Harrisonia
๒. ป่าเต็งรัง ป่าแพะ ป่าแดงหรือป่าโคก พบมากที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ของป่าชนิดต่าง ๆ ที่มีอยู่ในภาคนี้ทั้งหมด นอกจากนี้ยังพบทั่วไปในภาคเหนือ และค่อนข้างกระจัดกระจายลงมาทางภาคกลาง พบทั้งในที่ราบและเขาที่ต่ำกว่า ๑,๐๐๐ เมตรลงมา ขึ้นได้ในที่ดินตื้นค่อนข้างแห้งแล้งเป็นดินทรายหรือดินลูกรัง ถ้าเป็นดินทรายก็มีความร่วนลึกระบายน้ำได้ดี แต่ไม่สามารถจะเก็บรักษาความชุ่มชื้นไว้ได้เพียงพอในฤดูแล้ง ถ้าเป็นดินลูกรังดินจะตื้นมีสีค่อนไปทางแดงคล้ำบางแห่งเรียกว่า ป่า “ป่าแดง”ลักษณะของป่าเต็งรัง เป็นป่าโปร่ง ประกอบด้วยต้นไม้ผลัดใบขนาดกลางและขนาดเล็กขึ้นห่าง ๆ