ปัญหาเกี่ยวกับดินที่พบในแต่ละพื้นที่มีหลายประการ ดังนี้
๑. ดินขาดความอุดมสมบูรณ์สาเหตุสำคัญที่ทำให้ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ เช่น การเพาะปลูกพืชแบบซ้ำซาก การเพาะปลูกและเตรียมดินอย่างไม่ถูกวิธี ดินเกิดกษัยการหรือการพังทลายของดิน (Soil Erosion )
๒.ดินมีสภาพเป็นกรด ด่าง หรือเกลือดินกรดหรือดินที่มีสภาพเป็นกรด ( Acid Soil ) หมายถึงดินที่มีปฏิกิริยาทางเคมีเป็นกรดทั่ว ๆ ไป หรือมีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง( pH ) ต่ำกว่า 7ดินด่าง หรือดินที่มีสภาพเป็นด่าง ( Alkaline Soils ) หมายถึงดินที่มีปฏิกิริยาทางเคมีเป็นด่าง มีความเป็นกรดเป็นด่างมากกว่า
๓.ดินอินทรีย์หรือดินพรุ ดินอินทรีย์ ( Organic Soils ) หมายถึงดินที่เกิดจากการสลายตัวเน่าเปื่อยผุพังของพืชพรรณไม้ตามธรรมชาติที่ขึ้นอยู่ในแอ่งที่ลุ่มน้ำแช่ขัง ล้มตายทับถมกันเป็นเวลานานนับพันปีจน เป็นชั้นหนา ซากพืชที่เกิดจากการทับถมกันนี้ จะมีสีน้ำตาลแดงเข้ม หรือสีน้ำตาลคล้ำจนถึงดำ มีอินทรียวัตถุเป็นองค์ประกอบอยู่มากกว่า 20 % ดินชั้นล่าง เป็นดินเหนียวมีสภาพเป็นกรดจัด สำหรับคำว่า ” พรุ ” จะหมายถึงบริเวณที่ลุ่มมีน้ำขังอยู่ตลอดปีมีพืชพรรณขึ้นอยู่และตายทับถมกันเป็นเวลานานหลายพันปี เกิดเป็นชั้นดินที่มีอินทรียวัตถุ ล้วน ๆ ความหนา ของชั้นดินไม่แน่นอน แต่ใจกลางพรุจะหนามากที่สุด
๔. ดินทรายจัด ( Sandy Soils ) หมายถึงดินที่มีเนื้อดินเป็นดินทรายหรือดินทรายปนดินร่วนเกิดเป็นชั้นหนามากกว่า ๕๐ เซนติเมตร เนื้อดินประกอบด้วยเม็ดทรายล้วน ๆ มีขนาดค่อนข้างหยาบ มีความโปร่งตัวน้ำไหลซึมผ่านลงไปในดินล่างได้สะดวก ไม่สามารถอุ้มน้ำหรือเก็บความชื้นไว้ในดินได้ ธาตุอาหารพืชถูกชะล้างไปได้ง่าย จึงทำให้มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ปลูกพืชไม่ค่อยจะได้ผล
๕. ดินตื้น ( Shallow Soils ) หมายถึงดินที่มีลูกรัง ศิลาแลง ก้อนกรวดหรือเศษหินเป็นจำนวนมากอยู่ในดินตื้นกว่า ๕๐ เซนติเมตร หรือเป็นชั้นของหิน ที่กีดขวางการชอนไชของรากพืช ทำให้ปริมาณของเนื้อดินน้อยลง จนขาดแหล่งเก็บความชื้นและธาตุอาหารสำหรับพืช เป็นอุปสรรคไม่เหมาะสมกับการ ปลูกพืชเศรษฐกิจต่าง ๆ
๖. มลพิษในดิน หมายถึงภาวะที่ดินได้รับสารปนเปื้อนในปริมาณที่มากกว่าอัตราการสลายตัวหรือการเสื่อมฤทธิ์ของสารนั้น จนทำให้เกิดการสะสมของสารพิษหรือเชื้อโรคต่าง ๆ ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายต่อการ เจริญเติบโตและการเจริญพันธุ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศนี้