Topic 2

Language Difference

ทุกภาษาย่อมมีความแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ควรเข้าใจอย่างยิ่งคือความแตกต่างของภาษาอังกฤษ ซึ่งมีที่มาและพัฒนาการแตกต่างกัน 

และเทคโนโลยีปัจจุบันภาษาอังกฤษที่ใช้กันอยู่จะมีสำเนียงคำศัพท์และวิธีใช้แตกต่างกัน ที่สำคัญ 2 ประเภท ได้แก่

1. British English ภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ

2. American English ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน

หากสังเกตดูแล้ว ภาษาอังกฤษทั้ง 2 แบบ แตกต่างกัน ดังนี้

1. Pronunciation การออกเสียง สำเนียง

2. Spelling การสะกดคำ หรือตัวสะกด

3. Words การใช้คำ

ตัวอย่างความแตกต่างแต่ละด้านมีดังนี้

1. Difference in Pronunciation

ความแตกต่างในการออกเสียง หรืออาจพูดได้ว่าสำเนียง (accent) ในการออกเสียงต่างกัน ที่เห็นได้ชัดเจน เช่น

tomato มะเขือเทศ คนอังกฤษกับคนอเมริกันออกเสียงต่างกัน เนื่องจาก a (เอ) เป็นสระ เมื่อผสมกับพยัญชนะ คือ m เป็น ma คนไทย 

จะออกเสียง เม เป็น โท เม โท

คนอังกฤษ ออกเสียง โท-มา-โท

คนอเมริกัน ออกเสียง   โท-เม-โท และ โท-แม-โท ขึ้นอยู่ว่าเป็นคนอเมริกันอยู่ที่รัฐใด ถ้าอยู่แถบลุ่มแม่น้ำ Mississippi จะออกเสียงสระ เอ เป็นสระ แอ ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงได้ยินการออกเสียง คำนั้นเป็น โท-แม-โท แต่ อย่าคิดว่าเมื่อเห็นสระ a จะต้องออกเสียงตามนี้ทั้งหมด คนที่รักภาษา สนใจและสังเกต จะเห็น ความแตกต่างและข้อยกเว้นมากมาย 

คนทุกชาติทุกภาษามีภาษาที่ใช้อยู่ในชีวิต คุ้นเคยกับการออกเสียงแบบใด ก็จะยึดติดอยู่กับ การออกเสียงแบบนั้นอิทธิพลทางภาษาเกิด

จากสาเหตุหลายประการ เรื่องหลักคือการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางภาษา ทำให้ภาษาเปลี่ยนแปลงไป อิทธิพลจากเชื้อชาติ การเลี้ยงดูและสื่อประเภทต่าง ๆ ที่เข้ามามีอิทธิพลในสังคม เกิดการลอกเลียนแบบ ภาษาจึงเปลี่ยนไปจากเดิม

พยัญชนะ t เมื่อผสมอยู่ในค เช่น คว่า water น้ำ

คนอังกฤษ ออกเสียง วอ-เทอะ

คนอเมริกัน ออกเสียง วอ-เตอร์ 

สำเนียงทั้งสองจึงต่างกัน

city เมืองใหญ่

คนอังกฤษ ออกเสียง ซิ-ทิ

คนอเมริกัน ออกเสียง ซิ-ติ

ความแตกต่างในการออกเสียง หรือต่างสำเนียงจึงไม่ใช่ข้อจำกัดในการเรียนรู้ด้านภาษา ออกเสียงอย่างไรก็เข้าใจได้ทั้งนั้น เพียงแต่

ถนัดออกเสียงแบบใด ก็เลือกเสียงแบบนั้นจะน่าฟังกว่า

2. Difference in Spelling

ความแตกต่างในการสะกดคำ มีให้เห็นได้ทั้ง 2 แบบ ว่าสะกดแบบอังกฤษหรือสะกดแบบอเมริกัน จากคำภาษาอังกฤษที่ใช้อยู่ประจำ 

ทำให้สังเกตเห็นการสะกดคำที่แตกต่างกัน แต่ออกเสียงเช่นเดียวกัน ในที่นี้จะยกตัวอย่างเฉพาะคำที่พบเห็นและใช้อยู่ประจำ และขอเรียกสั้น ๆ ว่าอังกฤษ หรืออเมริกัน

• อังกฤษใช้ ou : favourite เป็นที่ชื่นชอบ

   colour             สี

   honour         เกียรติ

   doughnut โดนัท

• อเมริกันใช้ o : favorite

color

honor

donut

• อังกฤษใช้ re : metre เมตร

centre ศูนย์กลาง

litre ลิตร

kilometre กิโลเมตร

อเมริกันใช้ er : meter

center

liter

kilometer

• อังกฤษใช้ se : advertise   โฆษณา

organise จัดการ

merchandise สินค้า

dramatise ให้เป็นละคร

อเมริกันใช้ ze : advertize

organize

merchandize

dramatize

นอกจากนี้ยังมีคำอื่นที่พบเห็นอยู่เสมอ ได้แก่

3.Difference in Words

ความแตกต่างในการใช้คำอังกฤษ และอเมริกัน เรียกของสิ่งเดียวกันด้วยคำที่ต่างกัน

ความแตกต่างของภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ กับภาษาอังกฤษแบบอเมริกันทั้ง 3 ลักษณะนี้ คงพอช่วยให้ผู้เรียนภาษาอังกฤษได้ทราบ

ถึงความหลากหลายในการใช้ภาษา เพราะจะใช้แบบใดก็ไม่ผิด เว้นแต่ว่าถ้าถนัดหรือเคยชินกับการใช้ภาษาอังกฤษแบบใดก็พยายามใช้แต่แบบนั้น เพราะคนฟังเข้าใจ อย่าให้ผู้ใช้งงเสียเอง

ถ้ามองอดีตที่ผ่านมา ครูสมัยก่อนเรียนมาอย่างไร ก็สอนลูกศิษย์อย่างนั้น เมื่อก่อนเรียนอังกฤษแบบอังกฤษ คนที่เรียนภาษาอังกฤษก็

มักไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ หรือประเทศที่เคยอยู่ภายใต้ การปกครองของอังกฤษมาก่อน จึงอยู่ในกรอบที่เจ้าของภาษากหนดไว้ ต่อมาการคมนาคมติดต่อสื่อสารกว้างขวางขึ้น ผู้คนนิยมไปเรียนต่อต่างประเทศ จึงรับวัฒนธรรมทางภาษาของประเทศนั้น ๆ กลับมา ซึ่งแตกต่างไปจากภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ กฎ ระเบียบ ที่มีอยู่ในไวยากรณ์อังกฤษก็เปลี่ยนไป ไม่เคร่งครัดในการใช้เช่นเดิม เช่น เครื่องหมายต่าง ๆ เริ่มหายไป ไม่ค่อยใช้ขีดระหว่างค หรือ hyphen กลายเป็นสิ่งที่ถูกลืม เป็นต้น แต่ในช่วงที่มีการเปิดประเทศ ภาษาอังกฤษนับว่าเป็นภาษากลางที่สื่อสารระหว่างกันได้ตลอดเวลา ยิ่งการสื่อสารในยุคที่ใช้ internet ด้วยแล้ว ภาษาอังกฤษจึงมีบทบาทสคัญอย่างยิ่ง

เรื่องที่ 1 British English

ภาษาอังกฤษตามแบบฉบับดั้งเดิม (British English) มีกฎที่เป็นไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ (English Grammar) ที่เคร่งครัด มีแบบแผน 

แต่ปัจจุบันกระแสของวัฒนธรรมทางภาษาเปลี่ยนแปลงไป คนรุ่นเก่าจึงต้องปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย แต่ยังคงหลักไวยากรณ์เดิมเป็นส่วนใหญ่

ลักษณะของทุกภาษาที่มนุษย์ใช้สื่อสารกันย่อมมีระดับความสุภาพของภาษาและความแตกต่างดังที่กล่าวมาแล้ว

สิ่งที่ต้องระวังคือข้อห้ามที่ไม่ควรปฏิบัติ อยู่ในสังคมที่ผู้คนประพฤติปฏิบัติอย่างไรให้เป็นที่ยอมรับ ก็ควรพิจารณาและสังเกตอย่าง

ถี่ถ้วนและไม่ปฏิบัตินอกกรอบของสังคมนั้น

จอห์นถามจิมว่ากี่โมงแล้ว (What time is it?) จิมตอบว่าเก้าโมงยี่สิบห้านาที (twenty-five past nine) แล้วถามว่า ถามทำไม จอห์นจึง

อธิบายว่าจะต้องไปหาคุณลุงเวลาสิบเอ็ดโมงห้าสิบนาที (ten to twelve) แล้วไปมหาวิทยาลัยเวลาบ่ายสองโมงครึ่ง (half past two) จิมก็บอกว่าจะต้องไปดูภาพยนตร์กับเจนเวลาเที่ยงสี่สิบห้านาที (a quarter to one) และไปซื้อของสี่โมงสิบห้านาที (a quarter past four)

การบอกเวลาแบบอังกฤษ (British English) จะแบ่งเวลาในหนึ่งวันเป็น 12 ชั่วโมง 2 ครั้ง และใช้ตัวเลข 1-12 ในการบอกเวลา โดยใน

ครั้งแรก ตั้งแต่หลังเที่ยงคืนถึงเที่ยงวันจะใช้ตามด้วย a.m. (ante meridiem/ante meridian) และหลังเที่ยงวันถึงเที่ยงคืนจะตามด้วย p.m. (post meridiem/post meridian)

เช่น 11.00 a.m. (ทเวลฟ เอ เอ็ม) หมายถึง eleven o’clock in the morning

03.00 p.m. (ทรี พี เอ็ม) หมายถึง three o’clock in the afternoon

การพูดถึงเรื่องเวลาในภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ มีดังนี้

1. เวลาที่เต็มชั่วโมง คือเข็มยาวชี้ที่เลข 12 จะเติมคำว่า “o’clock” ท้ายประโยค สำหรับเวลาเที่ยงวันให้ใช้คำว่า “noon” และเวลา

เที่ยงคืนให้ใช้คำว่า “midnight”

ตัวอย่างเช่น

- It is ten o’clock.

- She’ll go three at noon.

- Santa Claus will come at midnight.


2. เวลาที่เกินชั่วโมงมาแล้ว ไม่เกิน 15 นาที ให้ใช้บอกเวลาตามประโยคที่เรียนผ่านมาแล้ว ให้ใช้คำว่า past และเวลาให้เติม a.m. หรือ 

p.m. ตามเวลาที่พูดถึง

ตัวอย่างเช่น

- I wake up at 7.10 a.m.

- I wake up at ten minutes past seven.

- ฉันตื่นนอนเวลา 7.10 น.


3. เวลาเข็มยาวอยู่ที่เลข 3 (15 นาที) ใช้ a quarter

ตัวอย่างเช่น

- She will go out at 3.15 p.m.

- She will go out at a quarter past three.

- เธอจะออกไปเวลา 3.15 น.


4. เวลาที่ผ่านไปไม่เกิน 30 นาที ให้บอกนาทีตามด้วยคำว่า “past” และชั่วโมงที่ผ่านไปแล้ว

ตัวอย่างเช่น

- I went to bed at 11.25 p.m.

- I went to bed at twenty-five minutes past eleven.


5. เวลาที่ผ่านไปครึ่งชั่วโมงพอดี ให้ใช้คำว่า “half”

ตัวอย่างเช่น

- She went shopping at 10.30 a.m.

- She went shopping at half past ten.


6. เวลาที่ผ่านไปเกิน 30 นาที มาแล้ว ให้บอกนาทีที่เหลือตามด้วย “to” ตามด้วยชั่วโมงถัดไป

ตัวอย่างเช่น

- He will visit me at 10.35 a.m.

- He will visit me at twenty-five minutes to eleven


ในการพูดสามารถพูดสั้น ๆ ได้ ดังนี้

08.00 a.m. = eight o’clock in the morning/8 a.m.

05.00 p.m. = five o’clock in the afternoon/5 p.m.

09.15 a.m. = a quarter past nine

09.20 a.m. = twenty minutes past nine

06.30 a.m. = half past six

11.50 a.m. = ten to twelve

02.45 p.m. = a quarter to three

เรื่องที่ 2 American English

คนไทยคุ้นเคยกับภาษาอังกฤษแบบอเมริกันอย่างมาก เนื่องจากรับสื่อต่าง ๆ รวมทั้งภาพยนตร์และมีชาวอเมริกันที่มาตั้งรกรากที่เมือง

ไทย รวมทั้งประกอบธุรกิจในหลายวงการ ดังนั้น ภาษาอังกฤษแบบอเมริกันจึงเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นยุคใหม่ ประกอบกับคนไทยไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาเป็นจำนวนมาก ด้วยวิทยาการที่ก้าวไกลและได้รับความสนใจจากผู้ปกครองชาวไทย ทำให้เกิดช่องทางประกอบอาชีพโดยมีภาษาเป็นสื่อที่ช่วยสร้างโลกทัศน์ให้กว้างขวางผ่านทางเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT : Information Technology) นั่นคือการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง นอกจากการเรียนรู้ผ่านตำราหรือเรียนรู้จากครูผู้สอน

ทอมบอกว่าจะต้องเข้าไปประชุม (a meeting) บ่ายนี้ และคิดว่าน่าจะต้องไปแล้ว (time to go) จึงถามโทนี่ว่ากี่โมงแล้ว โทนี่บอกว่า

เกือบบ่ายสามโมงแล้ว (nearly half past fifteen) จะไปแล้วใช่หรือไม่ ประชุมกี่โมง ทอมตอบว่าสี่โมงเย็น โทนี่จึงบอกว่าทอมควรไปได้แล้วและกล่าวลาซึ่งกันและกัน

ในบทสนทนาดังกล่าวเป็นการถาม บอกเวลาโดยใช้ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน (American English) ในการถามเวลานั้นนักศึกษา

สามารถถามได้หลายแบบ คือ

- What time is it?

- What time’s it?

- At what time shall we go?

- Do you have the time?

- Have you got the time?

- What time do you make it? (สำหรับถามเวลาที่ทราบแล้วว่าผู้ตอบจะทำอะไร)

การบอกเวลาแบบอเมริกัน (American English) จะใช้เวลา 24 ชั่วโมง ใน 1 วัน ตั้งแต่ 0 นาฬิกา ถึง 24 นาฬิกา ไม่ใช้ a.m. และ p.m. 

โดยจะบอกตัวเลขชั่วโมงก่อนแล้วจึงบอกตัวเลขนาที หากมีตัวเลขศูนย์ระหว่างตัวเลขเวลา จะใช้เสียง O (โอ) แทน

ตัวอย่างเช่น

09.15 = nine fifteen

08.05 = eight-o-five

15.30 = fifteen thirty

16.50 = sixteen fifty

เราสามารถใช้คำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) เติม โดยพูดถึงเวลาโดยประมาณได้ คือ about, around หรือ nearly

ตัวอย่างเช่น

06.02 = It’s about six o’clock.

08.24 = It’s nearly eighty thirty.

09.58 = It’s around ten.


ขอให้นักศึกษาศึกษาและเปรียบเทียบวิธีการบอกเวลาแบบอังกฤษ (British English) และแบบอเมริกัน (American English) และใช้ให้

ถูกต้องกับคนที่เราติดต่อด้วย