Topic 1 Language for Travelling

นักเดินทาง (traveller) ที่ใช้ชีวิตในต่างประเทศ (foreign country) อย่างน้อยต้องรู้และเข้าใจภาษา (language) ที่จะสื่อสาร 

(communicate) กับผู้คนในประเทศนั้น ในตอนที่ 1 นี้จึงจะพูดถึง Language for Travelling หรือ ภาษาเพื่อการเดินทาง คำว่า traveling ที่มี l หนึ่งตัวก็ไม่ผิด เป็นภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน (American English) ส่วนภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ (British English) จะเขียนแบบมี l สองตัว (travelling) ขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้ใช้ว่าชอบเขียนอย่างไร

ภาษาที่ใช้เพื่อการเดินทางไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพียงขอให้สื่อสารได้ด้วย ความสุภาพและน่าฟัง ในหน่วยการเรียนรู้

ที่ 3 จึงพูดถึงเรื่องที่จำเป็นอย่างมากเท่านั้น ได้แก่ การสอบถาม (enquiry) การให้และการขอข้อมูล (giving and asking for information) การขนส่งสาธารณะ (public transportation) เส้นทาง (route) การซื้อขายและบริการ (purchase and service) การซื้อสินค้า (buying goods) การต่อรองราคาสินค้า (bargaining) และร้านค้าปลอดภาษี (duty - free shop)

เรื่องที่ 1 Enquiry

enquiry (เอนไควรี) หรือ inquiry (อินไควรี) หมายถึง การสอบถาม เป็นคำนาม

enquire (เอนไคว) หรือ inquire (อินไคว) เป็นคำกริยา มีความหมายว่า สอบถาม ถามหา

ทุกคนที่ใช้ชีวิตในต่างประเทศคงชินกับการสอบถามเรื่องต่าง ๆ เพราะเมื่อเราอยู่ต่างถิ่น เราไม่มีวันรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง การสอบถามจึง

เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก ลองติดตามประโยคคำถามต่อไปนี้

- Do you know where is number 5, Bellevue Terrace?

- คุณรู้มั้ยว่าบ้านเลขที่ 5 เบลวูเทอเรส อยู่ที่ไหน

- Who is the owner of this house?

- ใครเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้

- At what time is the breakfast?

- เวลารับประทานอาหารเช้ากี่โมง

- Do I have to prepare my dinner?

- ฉันต้องเตรียมอาหารเย็นไหม

- Where’s my bedroom?

- ห้องนอนของฉันอยู่ที่ไหน

- Which bus goes to the language school?

- รถเมล์คันไหนไปโรงเรียนภาษา

- How long does it take from here to the language school?

- จากที่นี่ไปถึงโรงเรียนภาษาใช้เวลานานแค่ไหน

- Do I have to take the same bus back home?

- ฉันต้องขึ้นรถคันเดิมกลับบ้านใช่ไหม

- Do you think I can walk to the language school?

- คุณคิดว่าฉันเดินไปโรงเรียนภาษาได้ไหม

- How much is the bus fare?

- ค่าโดยสารรถเมล์เท่าไร

นี่เป็นเพียงคำถามบางส่วนที่นักเรียนต่างชาติ (oversea student) ถามบุคคลในครอบครัว (family) ในวันแรกที่เดินทางไปถึง เพราะ

จะใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวนี้ในช่วงการเรียนเพื่อฝึกภาษาอังกฤษเป็นเวลา 3 เดือน คำถามที่พูดถึงนี้ไม่ต้องถามทั้งหมด แต่เลือกใช้ตามความต้องการและตามความจำเป็น อย่าถามมากมายจนกลายเป็นเสียมารยาท

การตอบรับเป็นการใช้คำพูดเพื่อแสดงว่าฟังแล้วเข้าใจ มีสมาธิอยู่กับเรื่องที่พูด และที่สำคัญแสดงว่าเราเป็นผู้มีวัฒนธรรม มีมารยาท

ทางสังคม คือมารยาทในการพูด คำตอบรับง่าย ๆ ที่อาจเลือกใช้จะประกอบกับกิริยาท่าทางของผู้ตอบรับ เช่น การมองหน้าระหว่างการพูดและเลือกใช้ข้อความ ดังนี้

- That’s right. ใช่แล้ว

- Right. ใช่ ถูกต้อง

- Yes, I will. ค่ะ/ครับ ฉันจะทำ (อย่างที่คุณพูด)

- Alright. หรือ All right. ตกลง ได้ครับ/ค่ะ เขียนได้ 2 แบบ

- O.K. หรือ Okay. ตกลง เขียนได้ 2 แบบ

- No problem. ไม่มีปัญหา

- It could be. หรือ Could be. เป็นไปได้

- Fine. / That’s fine. / Good. หรือ That’s good. ดีแล้ว

- Very good. ดีมาก

- Excellent! ยอดเยี่ยมไปเลย

- Nice. / That’s nice. / It’s nice. ดี

สังเกตว่า nice เป็นคำครอบจักรวาล เช่น คนหน้าตาดี มารยาทดี อาหารอร่อย อากาศดี บ้านน่าอยู่ รถสวยดี น่าขับ น่านั่ง เสื้อผ้า

สวย น่าใส่ เป็นต้น สรุปว่า nice ใช้ประกอบคำนามในแง่ที่ดี

ยังมีข้อความตอบรับอีกมากมายนอกจากข้อความเหล่านี้ แต่ขอฝากการตอบรับอีกลักษณะหนึ่งที่ใช้กันบ่อย ตัวอย่างเช่น

- The pomelo is sweet, isn’t it?

- ส้มโอหวานไม่ใช่หรือ

- Yes, it is.

- หวานค่ะ/ครับ

- The weather today isn’t warm, is it?

- อากาศวันนี้ไม่อบอ้าว ใช่ไหม

- Yes, it is.

- ใช่ค่ะ/ครับ (อบอ้าว)

สังเกตว่าท้ายคำถามแตกต่างกัน คือ ……………………, isn’t it? (ไม่ใช่หรือ) ออกเสียงต่ำท้ายคำถาม

แต่……………………, is it? …………………… (ใช่ไหม) ออกเสียงสูงท้ายคำถาม

คำตอบของคำถามทั้งสอง คือ Yes, it is. ใช่ค่ะ / ใช่ครับ

โดยทั่วไปชาวต่างชาติจะไม่ตอบเฉพาะ Yes. หรือ No. ซึ่งต่างจากบ้านเรา ตั้งแต่เด็กสอนกันมาว่า

ถ้าใช่ให้ตอบ Yes. และถ้าไม่ใช่ให้ตอบ No. แต่ขอให้ลองสังเกตตัวอย่างต่อไปนี้

- Are you Mr. Bob Brown?

- คุณคือคุณบ็อบ บราวน์ใช่มั้ย

- Yes, I am.

- ใช่ครับ ผมคือบ็อบ บราวน์

ความหมายของคำตอบเป็นอย่างนี้ แต่เจ้าของภาษาตอบแค่ Yes, I am. ก็เป็นที่เข้าใจแล้ว

ดูอีกตัวอย่างหนึ่ง

- Is this your umbrella?

- นี่ร่มของคุณใช่ไหม

- Yes, it is.

- ใช่ค่ะ/ครับ นี่ร่มของดิฉัน/ผม

คำตอบมีความหมายอย่างนี้ แต่ตอบว่า Yes, it is. ก็เข้าใจได้ว่าเป็นร่มของผู้ตอบ เรียกว่าเป็นการตอบอย่างย่อ คือละไว้ในฐานที่

เข้าใจ การตอบเต็มประโยคตามหลักไวยากรณ์จะตอบว่า Yes, it is my umbrella. แต่เจ้าของภาษาไม่ตอบเต็มประโยคอย่างนี้ ถือว่าเป็นการตอบที่เยิ่นเย้อ ฟุ่มเฟือยโดยไม่จำเป็น ดังนั้นการเรียนรู้เกี่ยวกับภาษาจึงเป็นเรื่องละเอียดที่ต้องสังเกตและใส่ใจเป็นพิเศษ ถ้าฟังบ่อย ฝึกพูดบ่อยก็จะเข้าใจมากยิ่งขึ้น

การสอบถามจึงอาจใช้คำถามที่ขึ้นต้นด้วย Wh-question หรือคำถามที่ขึ้นต้นด้วย Wh ดังนี้ : What (อะไร), When (เมื่อไร), Where 

(ที่ไหน), Why (ทำไม), Who (ใคร), Whose (ของใคร), Which (อันไหน) รวมทั้ง How (อย่างไร) และท้ายคำถามต้องใส่เครื่องหมายคำถาม (question mark : ?)

คำถามยังอาจขึ้นต้นด้วย

Verb to do : Do, Does, Did

Verb to be : Is, Am, Are, Was, Were, Will, Shall

Verb to have : Has, Have, Had

ผู้โดยสาร (passenger) คนหนึ่งจะไปซื้อตั๋วรถไฟจึงไปถามนายเอว่าที่ขายตั๋ว (ticket office) อยู่ที่ไหน นายเอจึงบอกให้เดินไปตาม

ทางเดินจนสุดมุมตึก ที่ขายตั๋วจะอยู่ด้านซ้ายมือ ผู้โดยสารจึงเดิน ไปที่ที่ขายตั๋วและขอซื้อตั๋วรถไฟชั้นหนึ่งไป-กลับ แล้วสอบถามราคา คนขายบอกว่าราคา 1,560 บาท ผู้โดยสารจึงให้ธนบัตรใบละ 1,000 บาท ไป 2 ใบ คนขายตั๋วก็ทอนสตางค์ (change) ให้จำนวน 440 บาท พร้อมตั๋ว ผู้โดยสารถามเพิ่มเติมว่ารถไฟจะออกกี่โมง ที่ชานชาลา (platform) ไหน คนขายตั๋วก็ตอบว่า จะออก 18.30 น. ที่ชานชาลา 4 ตรงข้ามกับร้านสะดวกซื้อ (convenience store) และกล่าวอวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ ซึ่งผู้โดยสารก็กล่าวขอบคุณคนขายตั๋ว

นักศึกษาได้เรียนรู้สำนวนภาษาที่สำคัญในการสนทนาดังกล่าว ได้แก่

Excuse me. เป็นคำกล่าวขอโทษก่อนที่จะพูดแทรกหรือจะถามอะไรผู้อื่น เช่น ถามทาง เป็นต้น

- You’re welcome.

- With compliment.

เป็นประโยคกล่าวตอบรับการขอบคุณ เมื่อมีผู้ขอบคุณเราถ้าเป็นการให้บริการหรือการช่วยเหลือในหน้าที่ให้กล่าวประโยคดังกล่าว

แต่ถ้าเป็นเพื่อนที่สนิทกันจะใช้ประโยคว่า

Don’t mention it.

- With pleasure.

- Nothing.

- My pleasure.

ผู้ให้บริการเมื่อต้องการสอบถามความต้องการของลูกค้าจะใช้ประโยคว่า

What can I do for you?

- May I help you?

- Could I help you?

เมื่อจะจากกัน เราจะอวยพรผู้เดินทางว่า

Have a nice trip.

Giving and Asking for Information

แม้ว่าสมัยนี้เราจะให้และขอข้อมูลผ่านข้อมูลสารสนเทศ (Information Technology : IT) แต่การอยู่ในสังคมเราต้องสื่อสารกับ

ผู้คนด้วยการพูดและการถาม มีการให้และการขอข้อมูล (giving and asking for information) ตัวอย่างที่จะยกมาต่อไปนี้เป็นเพียงการให้และการขอข้อมูลตามสถานการณ์ต่าง ๆ ในบางกรณีเท่านั้น แต่สามารถเลือกใช้ประโยชน์ได้ตามความจำเป็นและตามความต้องการ

บิลเข้าไปร้านขายหนังสือถามหาหนังสือประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งคนขายบอกว่ามีทั้งประวัติศาสตร์ไทยในสมัยสุโขทัย อยุธยาและ

รัตนโกสินทร์ บิลบอกว่าอยากจะรู้ประวัติศาสตร์ทุกสมัย แต่วันนี้จะซื้อหนังสือประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัยและอยุธยาก่อน คนขายจึงพาไปดูหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย

บิลเริ่มต้นด้วย Excuse me. เป็นการเรียกความสนใจก่อนเริ่มถามคำถาม แสดงว่า ขอรบกวน ที่จะถามอะไรบางอย่าง

คำศัพท์และสำนวนในบทสนทนาที่สำคัญ คือ

period (เพียเรียด) ยุค ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ เป็นคำนาม

to look for (ทู ลุค ฟอร) มองหา

I’d love (ไอด เลิฟ) ลดรูปมาจาก I would love เป็นการพูดความสุภาพ ซึ่งในที่นี้ I’d love to know.

หมายถึงผมต้องการจะรู้

all (books) (ออล บุคส์) ทั้งหมด ในประโยคนี้ไม่มีคำว่า books แต่ละไว้ในฐานที่เข้าใจ หมายถึงหนังสือ

ทุกเล่ม (all books)

but not today (บัท นอท ทะเด) แต่ไม่ใช่วันนี้ ตัวอย่างอื่น เช่น but not now แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ 

but not this week แต่ไม่ใช่สัปดาห์นี้ 

but not next month แต่ไม่ใช่เดือนหน้า

I’ll buy (ไอล บาย) ลดรูปมาจาก I will buy ฉันจะซื้อ

Come this way, please. (คัม ธิส เว พลีซ) กรุณามาทางนี้ อาจพูดสั้น ๆ ว่า  This way, please. ก็ได้ หมายถึง เชิญทางนี้

Please (พลีซ) โปรด หรือ กรุณา สามารถวางไว้ต้นข้อความก็ได้ คือ

- Please come this way. แต่เมื่อวางท้ายข้อความก่อนคำว่า please ต้องใส่

เครื่องหมาย , (comma)

- Come this way, please.

ตอนนี้จากร้านขายหนังสือเราไปร้านขายดอกไม้กันบ้าง

จิมเข้าไปร้านซื้อช่อดอกไม้ ซึ่งใช้ดอกกล้วยไม้ไทยทำ จิมบอกคนขายว่าขอช่อที่มีสีม่วง ทรงกลม ขนาดใหญ่ สำหรับคนพิเศษ 

คนขายดอกไม้บอกว่าจะทำช่อดอกไม้อย่างสุดความสามารถ


ทีนี้มาดูคำศัพท์ที่ใช้ในบทสนทนานี้กัน ได้แก่

a bunch (อะ บันช์) ช่อ

Thai orchid (ไท ออร์คิด) กล้วยไม้ไทย

special one (สเพเชิล วัน) คนพิเศษ อาจใช้ special person ก็ได้

favourite (เฟเวอะริท) ชื่นชอบ นิยม

any (เอนนี) ใด ๆ

violet tone (ไวอะลิท โทน) โทนสีม่วงครามหรือม่วงอมน้ำเงิน เมื่อพูดถึงสีม่วง จะมีอยู่ 2 แบบ คือ สีม่วงคราม

หรือม่วงอมน้ำเงิน กับสีม่วงแดงหรือม่วงอมชมพูตามแต่จะถนัดเรียก สีม่วงแดง

หรือ ม่วงอมชมพูเรียกว่า purple เพราะฉะนั้น คำว่าสีม่วง ชาวต่างชาติจะเรียกโดย

มีความหมายของสีต่างกันอยู่ คราวนี้ถ้าได้ยินสี violet และสี purple ก็คงแยกได้ว่า

ต่างกันอย่างไร

tone (โทน) มักเรียกทับศัพท์ว่า โทนของสีซึ่งหมายถึงระบบของสี

long bunch (ลอง บันช์) ช่อยาว

round bunch (เรานด์ บันช์) ช่อกลม

size (ไซซ์) ขนาด

make (เมค) ทำ ในที่นี้หมายถึง จัดช่อดอกไม้

rather (ราเธอะ) ค่อนข้าง

to do one’s best (ทู ดู วันซ์ เบสท์) ทำสิ่งที่คนใดคนหนึ่งทำได้ดีที่สุด

คราวนี้ลองมาอ่านบทสนทนาเกี่ยวกับการซื้อดอกไม้อีกสักเรื่องหนึ่ง

วันนี้เป็นวันเกิดของแฟนปีเตอร์ ปีเตอร์จึงไปหาซื้อดอกไม้เพื่อให้เธอ เขาไปที่ร้านขายดอกไม้และซื้อดอกกุหลาบสุดสวยช่อใหญ่

มาให้เธอ คนขายดอกไม้ให้ความเห็นว่า แฟนของปีเตอร์ต้องชอบดอกไม้ช่อนี้แน่ ๆ

ขอให้นักศึกษาสังเกตสำนวนที่ใช้แล้วจำไปใช้ด้วย ได้แก่

- $25 per dozen.

- โหลละ 25 เหรียญ dozen คือ จำนวน 1 โหล

- on sale หมายถึง ลดราคา (สินค้าต่าง ๆ ที่ทำการลดราคาใช้คำว่า “on sale”)

- Splendid หมายถึง วิเศษ ซึ่งอาจจะใช้คำอื่นก็ได้ เช่น Marvellous หรือ Wonderful เป็นต้น

- She should be very pleased with this. (to be pleased หมายถึง ชอบ ในที่นี้หมายถึง แฟนของปีเตอร์จะต้องชอบแน่ ๆ 

เลย)

เรื่องที่ 2 Public Transportation

เมืองใหญ่ในประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องอาศัยการขนส่งสาธารณะ (Public Transportation) ที่มีประสิทธิภาพ เพราะเวลาเดินหน้า

อยู่ตลอดเวลา หากมีปัญหาเรื่องการเดินทางจะทำให้การงานติดขัด ล่าช้า ไม่สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายที่วางไว้

transportation (แทรนซเพอะเทชัน) การขนส่ง การลำเลียง พาหนะขนส่งเป็นคำนาม

transport (แทรนซพอร์ท) ขนส่ง ลำเลียง ขนย้าย เป็นคำกริยา

public (พับลิค) สาธารณชน ชุมชน ประชาชน เป็นคำนามถ้าเป็น adjective หมายถึง 

 เกี่ยวกับสาธารณชนเพื่อประชาชน โดยประชาชนของประชาชน โดย

 ส่วนรวม


ดังนั้น public transportation จึงหมายถึง การขนส่งสาธารณะ นั่นคือ adjective หรือคำคุณศัพท์ public ขยายคำนาม 

transportation

public service (พับลิก เซอวิส) การบริการสาธารณะ การบริการประชาชน


เมื่อพูดถึง public transportation หรือการขนส่งสาธารณะ มักนึกถึงพาหนะต่าง ๆ ทั้ง รถ รถไฟ เรือและเครื่องบิน คำศัพท์เกี่ยวกับ

ระบบขนส่งสาธารณะประเภทต่าง ๆ มีดังนี้

ตัวอย่างการใช้คำศัพท์และประโยคที่เกี่ยวกับการใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ ได้แก่

- You should take a bus to Inverness at platform 8.

- คุณควรขึ้นรถโดยสารไปอินเวอร์เนสที่ชานชาลา 8

- take a bus แปลว่า ขึ้นรถโดยสาร

- The coach from Quebec to Toronto takes many hours.

- รถโดยสารจากควิเบคไปโตรอนโตใช้เวลาหลายชั่วโมง

takes many hours แปลว่า ใช้เวลาหลายชั่วโมง

- Small motor tricycle or tuk – tuk is very popular among foreign tourists.

- รถตุ๊กตุ๊กเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ

among แปลว่า ในหมู่ ท่ามกลาง

- We rented a van to a small town in the north of Scotland last June.

- เราได้เช่ารถตู้เพื่อไปยังเมืองเล็ก ๆ ทางเหนือของสก็อตแลนด์เมื่อเดือนมิถุนายนที่แล้ว rented a van แปลว่า ได้เช่ารถตู้

- Most taxi drivers use an express way to the airport to avoid the traffic.

- คนขับแท็กซี่ส่วนมากใช้ทางด่วนไปสนามบินเพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรติดขัด

taxi drivers แปลว่า คนขับรถแท็กซี่ (หลายคน)

the traffic แปลว่า การจราจรติดขัด รถติด

- Chai drives pick – up to earn his own living.

- ชัยขับรถปิกอัพเพื่อเลี้ยงชีพตนเอง

to earn his own living แปลว่า เลี้ยงชีพตนเอง

- A train from Shanghai to Beijing runs 300 miles per hour at most.

- รถไฟจากเซี่ยงไฮ้ไปปักกิ่งวิ่งความเร็วสูงสุด 300 ไมล์ต่อชั่วโมง

300 miles per hour แปลว่า 300 ไมล์ต่อชั่วโมง

- If you miss the underground, the next one will come within a couple minutes.

- ถ้าคุณพลาดรถไฟใต้ดิน ขบวนต่อไปจะมาภายใน 2-3 นาที

miss แปลว่า พลาด ขึ้นรถไม่ทัน หรือมักพูดกันว่า “ตกรถ”

one ในที่นี้หมายถึง รถไฟใต้ดิน

a couple minutes แปลว่า 2-3 นาที

- Joe takes a sky train from Pleonchit station to Ekamai station every morning.

- โจขึ้นรถไฟลอยฟ้าจากสถานีเพลินจิตไปสถานีเอกมัยทุกเช้า

take a sky train แปลว่า ขึ้นรถไฟลอยฟ้า

- Mike is waiting for a tram in front of the train station to Victoria Hall in Melbourne.

- ไมค์กำลังรอรถรางหน้าสถานีรถไฟเพื่อไปวิคตอเรียฮอลในเมลเบอร์น

is waiting for a tram แปลว่า กำลังรอรถราง

train station แปลว่า สถานีรถไฟ

- Billy takes a carriage as the compliment of the hotel where he stays in Lampang.

- บิลลี่นั่งรถม้าเป็นอภินันทนาการของโรงแรมที่เขาพักในลำปาง

takes a carriage แปลว่า นั่งรถม้า

compliment แปลว่า อภินันทนาการ

- where he stays แปลว่า ที่เขาพัก เป็นข้อความที่ขยายคำว่า hotel ให้รู้ว่าเป็นโรงแรมที่เขาพัก

- Jack is sitting in a tricycle on the road along the Mae Khong River.

- แจ็คกำลังนั่งอยู่ในรถสามล้อบนถนนเลียบลำน้ำโขง

is sitting in แปลว่า กำลังนั่งอยู่ใน

along แปลว่า เลียบ ไปตามแนว

- Bob sits in a boat and rows with difficulties.

- บ็อบนั่งในเรือและพายไปด้วยความยากลาบาก

sits in a boat แปลว่า นั่งอยู่ในเรือ

rows แปลว่า พายเรือ

- Our group bought ferryboat tickets from Dover to Rotterdam to cross the English channel.

- กลุ่มของเราได้ซื้อตั๋วเรือข้ามฟากจากโดเวอร์ไปร็อตเตอร์ดามเพื่อข้ามช่องแคบอังกฤษ 

ferryboat tickets แปลว่า ตั๋วเรือข้ามฟาก

cross the English channel แปลว่า ข้ามช่องแคบอังกฤษ

- Her husband works on an ocean liner.

- สามีของเธอทำงานในเรือเดินสมุทร

works in an ocean liner ทำงานในเรือเดินสมุทร

- Some restaurants provide dinner on cruise ships along the Chao Phraya River.

- ร้านอาหารบางแห่งจัดอาหารเย็นบนเรือโดยสารไปตามลำน้ำเจ้าพระยา

Provide แปลว่า จัด เตรียม

on cruise ships แปลว่า บนเรือโดยสาร

- After accumulating mileages, Henry gets a free plane ticket to Indonesia.

- หลังจากการสะสมไมล์ (ระยะทาง) ที่เดินทางมาแล้ว เฮ็นรี่ได้รับตั๋วเครื่องบินฟรี ไปอินโดนีเซีย 1 ใบ

accumulating mileage แปลว่า การสะสมระยะทางที่เดินทางมาแล้ว

plane ticket แปลว่า ตั๋วเครื่องบิน

- Paul stays at Samed Island during low season. He rents a motor boat to drive back to Bann Pae.

- พอลพักอยู่เกาะเสม็ดช่วงที่ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยว เขาเช่าเรือยนต์เพื่อขับกลับไปยังบ้านเพ

rents a motor boat แปลว่า เช่าเรือยนต์

- Thai people who live along the bank of the canal or river usually drive long-tailed boat in their everyday life.

- คนไทยที่อาศัยอยู่ริมฝั่งคลองหรือริมฝั่งแม่น้ำมักขับเรือหางยาว (สำหรับการเดินทาง) ในชีวิตประจำวัน

drive long tailed boat แปลว่า ขับเรือหางยาว

everyday life แปลว่า ชีวิตประจำวัน


คำกริยาที่ใช้อยู่เสมอ คือ

get on a bus ขึ้นรถ

get off a bus ลงรถ

take a bus นั่งรถ

ผู้โดยสารเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่สนามบิน คนขับรถนำกระเป๋าเดินทาง 2 ใบ (suitcases) ของผู้โดยสารไปไว้ท้ายรถแล้วให้ผู้

โดยสารขึ้นรถ ผู้โดยสารถามว่านานเท่าไรกว่าจะถึงเพราะกำลังรีบ คนขับรถแท็กซี่บอกว่าภายใน 15 นาที ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจร (the traffic) เมื่อไปถึงสนามบินแล้วผู้โดยสารจ่ายค่าโดยสาร 210 บาท แต่มีธนบัตรใบละ 500 บาท อยู่ใบเดียวจึงให้คนขับแท็กซี่ทอน ซึ่งคนขับแท็กซี่ทอนให้ 290 บาท แล้วอวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ

Route

เรื่องสำคัญยิ่งของนักเดินทาง คือ การรู้จักเส้นทาง อย่างน้อยช่วยให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นใจ

route (รูท) เส้นทาง เป็นคำนาม เมื่อเป็นคำกริยา หมายถึง กำหนดเส้นทางวางเส้นทาง นอกจาก 

route อาจใช้ way และ path แต่ต้องพิจารณาความหมายให้ดี

way (เว) เป็นคำนาม หมายถึง ทาง หนทาง เส้นทาง ระยะทางหรืออาจหมายถึง วิธีการ รูปแบบ

path (แพธ) ทาง ทางสายเล็ก ทางเดิน เส้นทาง วิถี

สังเกตได้ว่า route เป็นได้ทั้งคำนามและคำกริยา แต่ way และ path เป็นเพียงคำนามเมื่อใช้ ทั้ง 3 คำบ่อยครั้งจะสังเกตเห็นความ

ต่างของความหมาย มีตัวอย่างประโยคให้พิจารณาต่อไปนี้

- We route to take the motorway from New Castle down south to Brighton.

- เรากำหนดเส้นทางที่จะใช้มอเตอร์เวย์จากนิวคลาสเซิลลงใต้ไปยังไบรตัน

- John is now travelling on the route to Toronto.

- ขณะนี้จอห์นกำลังเดินทางอยู่บนเส้นทางไปโตรอนโต

- It’s a long way from Glasgow to Dundee in the north of Scotland.

- เป็นระยะทางไกลจากกลาสโกว์ถึงดันดีทางเหนือของสก็อตแลนด์

- Another way to get to your office is taking the sky train.

- วิธีอื่นที่จะไปที่ทำงานของคุณคือนั่งรถไฟลอยฟ้า

- Walk along the path on the bank of this stream for 20 minutes. Then you’ll see a small hut where we can rest before 

going on.

- เดินทางไปตามทางเดินริมลำธารราว 20 นาที แล้วคุณจะเห็นกระท่อมหลังเล็กที่คุณพักได้ ก่อนเดินทางต่อ

- Grandma decided to choose her own path. She was eighty so she would spend the rest of her life at the temple.

- คุณยายได้ตัดสินใจเลือกวิถีชีวิตของเธอเอง เธออายุ 80 ปี ดังนั้นเธอจะใช้ชีวิตที่เหลือ อยู่ที่วัด

คงสังเกตเห็นความแตกต่างในการใช้คำศัพท์กันบ้างแล้ว ลองพิจารณาใช้ข้อความและประโยคต่อไปนี้ซึ่งมีทั้งประโยคเต็มรูปแบบ

และประโยคที่ใช้พูดอย่างย่อ แต่ก็ได้ความหมายเดียวกัน

- Which route are we going to take?

- เรากำลังจะไปเส้นทางไหน

- Which route?

- เส้นทางไหนหรือ

- The route to the southern region of Thailand is longer than the route to the northern region.

- เส้นทางไปภาคใต้ของประเทศไทยยาวกว่าเส้นทางไปภาคเหนือ

- The southern route is longer than the northern one.

- เส้นทางใต้ยาวกว่าเส้นทางเหนือ

- It takes a longer way to Pai, isn’t it?

- ใช้เวลานานที่จะไปถึงปาย ใช่มั้ย

- Long way to Pai, isn’t it?

- ไปปายไกล ใช่มั้ย

- We should take another way to go there.

- เราควรใช้เส้นทางอื่นไปที่นั่น

- Take another way.

- ใช้ทางอื่นเถอะ

- Would you like to try another path for your life?

- คุณต้องการลองวิถีอื่นให้กับชีวิตคุณมั้ย

- Try another path?

- ลองวิถีอื่นดูมั้ย

- I notice that this is an old – aged path.

- ฉันสังเกตว่านี่เป็นวิถีของผู้สูงอายุ

- An old – aged path

- วิถีผู้สูงอายุ

สาวิตรีจะไปห้างสรรพสินค้า ABC แต่ไม่ทราบว่าจะไปอย่างไร เผอิญเจอวาสนา แต่วาสนา ก็ไม่รู้ทาง สาวิตรีจึงคิดว่าไปโดย

รถไฟลอยฟ้า (skytrain) ก็ได้ จึงถามวาสนาว่าสถานีรถไฟฟ้าอยู่ที่ไหน วาสนาบอกว่าอยู่ที่มุมถนน แต่สาวิตรีอยากเข้าห้องน้ำ จึงถามวาสนาว่าแถวนี้มีห้องน้ำหรือไม่ ซึ่งวาสนา ตอบว่ามีอยู่ในปั๊มน้ำมัน (gas station) สาวิตรีจึงขอบคุณวาสนาและลาจากไป

ขอให้นักศึกษาสังเกตว่าการทักทายของเพื่อนสนิทกันใช้คำว่า “Hi.” และตอบรับการขอบคุณว่า “No problem.” เมื่อกล่าวลา

กันใช้คำว่า “Bye.” หรือ “Bye bye.”