Topic 2 Purchase and Service

การซื้อสินค้าและการบริการเป็นเรื่องของกิจวัตรประจาวัน มีสินค้ามากมายหลายชนิดที่ นักเดินทางจำเป็นต้องใช้

purchase การซื้อ เป็นคำนาม แต่ถ้าเป็นคำกริยา หมายถึง ซื้อ

คำว่าซื้อที่เป็นคำกริยา นอกจาก to purchase แล้ว ยังมีอีก 2 คำ คือ to buy และ to shop ซึ่งมีความหมายว่า ซื้อ เช่นเดียวกัน 

นอกจากนี้อาจเห็นการใช้คำอื่นมาแทน คือคำว่า to get หรือ to have หรือ to take ทั้ง 3 คำนี้เรียกได้ว่าใช้ได้ครอบจักรวาลโดยเฉพาะในภาษาพูด

ต่อไปเป็นตัวอย่างประโยคที่นำมาฝาก

- GM company purchases 20 brand new cars.

- บริษัท จี เอ็ม ซื้อรถใหม่ 20 คัน

- Michael buys a white lace dress for his wife’s birthday.

- ไมเคิลซื้อชุดลูกไม้สีขาวสำหรับวันเกิดของภรรยาเขา

- Sue shops at the Baker street for almost half a day.

- ซูซื้อของที่ถนนเบเคอร์เป็นเวลาเกือบครึ่งวัน

คราวนี้ลองสังเกตการใช้คำศัพท์ประเภทครอบจักรวาลกันบ้าง

- Jenny! I’ll go and get some vegetables. I’ll be back for dinner.

- เจนนี่ ฉันจะไปซื้อผักสักหน่อย ฉันจะกลับมากินข้าวเย็นนะ

- I think I’ll have this pearl ring.

- ฉันคิดว่าฉันจะซื้อแหวนมุกวงนี้

- I’ll take that teddy bear. The one next to the cat.

- ฉันจะซื้อหมีตัวนั้น ตัวที่ถัดจากแมว

การซื้อสินค้าเกี่ยวข้องกับลักษณะนามของสินค้าชนิดนั้น ๆ ได้แก่

เรื่องที่ 1 Buying Goods and Bargaining

ในการใช้ชีวิตต่างถิ่นของนักเดินทางย่อมมีเวลาซื้อข้าวของกันบ้าง แม้ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย (luxurious things) แต่ก็เป็นของใช้ที่

จำเป็นสำหรับชีวิต (necessary things for life)

โทนี่ไปซื้อรองเท้าคู่ใหม่เพราะรองเท้าคู่เก่าขาด โดยต้องการรองเท้าหนังแท้ ซึ่งผู้ขายก็บอกว่ามีและนำโทนี่ไปดู โทนี่เลือกรองเท้าสี

น้ำตาล แต่คู่ที่ลองเล็กไป ขอดูคู่ที่ขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อใส่ได้ก็ตกลงซื้อคู่นั้น

สังเกตได้ว่าการพูดจาระหว่างโทนี่กับคนขายใช้ข้อความสั้น ๆ ซึ่งเข้าใจได้ไม่ยาก ไม่เป็นทางการแต่ใช้ได้ในชีวิตประจำวัน

real leather ones รองเท้าหนังแท้ ones แทนรองเท้า ที่เติม s เพราะมี 2 ข้าง

real leather หนังแท้ ขยาย ones โดยวางไว้ข้างหน้า ones ซึ่งเป็นคำนาม

over there ทางโน้น ถ้าบอกว่า ทางนี้ ใช้ over here

sir คุณ/ท่าน คนขายใช้ sir ต่อท้าย เพื่อแสดงว่าให้ความเคารพคนที่พูดด้วย ถ้าเป็นหญิงสาวใช้ miss และ

  ถ้าเป็นหญิงที่มีอายุสักหน่อย เรียกว่า madame

Let me… ให้ฉัน... ตามด้วยคำกริยาที่ไม่มี to เช่น Let me go. (ให้ฉันไปนะ) 

  Let me drive. (ให้ฉันขับรถนะ เป็นต้น)

Please… กรุณา... หรือ โปรด... ตามด้วยคำกริยาที่ไม่มี to เช่นกัน เช่น

Please speak louder. (กรุณาพูดดังกว่านี้) 

Please clean the kitchen. (กรุณาทำความสะอาดครัว)

quite ค่อนข้าง อาจใช้ rather แทนได้

fit พอดี พอเหมาะ ศัพท์คำนี้ใช้ทับศัพท์ว่าฟิต ทำให้หลายคนเข้าใจผิดไปว่า ฟิต หมายถึง คับ แต่ที่จริงแล้ว

ไม่ใช่

worn out ขาด


นักศึกษาลองทบทวนการใช้คำศัพท์และสำนวนต่าง ๆ ในการซื้อของอีกครั้งหนึ่ง แล้วศึกษาบทสนทนาเรื่องต่อไป

พรพรรณไปซื้อผ้าไหมที่ร้านโอทอป (OTOP Shop) ต้องการผ้าสีม่วงอ่อนจำนวน 3 เมตร จึงบอกให้ผู้ดูแลร้านหาให้ แต่ผู้ดูแลร้านก็

พยายามที่จะขายผ้าไหมมัดหมี่ให้ พรพรรณก็ยืนยันว่าชอบผ้าสีพื้น

ขอให้นักศึกษาสังเกตสำนวน sell by the metre or the yard ขายเป็นเมตรหรือขายเป็นหลา ใช้สำนวน sell by the metre or the 

yard และโทนของสีถ้าสีอ่อนจะเติมคำว่า “light” ข้างหน้า เช่น light purple หมายถึงสีม่วงอ่อน แต่ถ้าเป็นสีเข้มให้เติมคำว่า “dark” เช่น dark blue หมายถึงสีน้ำเงินเข้มหรือสีกรมท่า สำนวนที่สำคัญคือ “made of” ซึ่งจะมีสำนวนที่ใกล้เคียงคือ “made from” คำว่า “made from” หมายถึงสิ่งของที่ไม่สามารถเห็นวัสดุนั้นว่าคืออะไร ตัวอย่างเช่น

- This chair is made of wood. (เก้าอี้ตัวนี้ทำจากไม้)

- This glass is made from sand. (แก้วใบนี้ทำจากทราย)

การซื้อและการบริการ (purchase and service) เป็นของคู่กัน เมื่อมีการซื้อ ผู้ขายก็จะให้บริการในสิ่งที่ผู้ซื้อ (buyer) หรือลูกค้า 

(customer) ต้องการ

จูดี้ไปซื้อแหวนเทอร์คอยที่ร้านเครื่องประดับ ซึ่งมีแต่เบอร์ 58 และจูดี้ใส่ไม่ได้ คนขายจึงบอกว่าจะขยายเป็นเบอร์ 60 ให้ และให้ไป

รับวันรุ่งขึ้น

Bargaining

การดำเนินชีวิตแต่ละวันไม่ว่านักเดินทางหรือประชาชนทั่วไป ต้องจับจ่ายใช้สอยตามความจำเป็น การต่อรองราคา (bargaining) จึง

เป็นเรื่องที่ทุกคนพบเห็นกันโดยตลอด ลูกค้าสามารถต่อรองราคาสินค้าได้เฉพาะร้านที่ไม่มีราคาตายตัว (fixed price) เท่านั้น เช่น ร้านค้าย่อย (store หรือ shop) แผงลอย (stall) ซุ้มขายของ (booth) ตลาด (market) เป็นต้น

ขอให้นักศึกษาสังเกตการต่อรองราคาต่อไปนี้

ลอร่าไปซื้อผ้าเช็ดมือในร้านขายของ ซึ่งอยู่บนชั้น ลอร่าซื้อสีฟ้าอ่อน (blue) สีแดงเข้ม (crimson) สีฟ้าอมเขียว (turquoise) และ

เขียวมะกอก (olive - green) คนขายบอกว่าทั้งหมดราคา 6 เหรียญ ลอร่าต่อเหลือ 5 เหรียญ แต่คนขายให้แค่ 50 เหรียญ 50 เซ็นด์ ลอร่าจึงจ่ายให้ตามราคา ที่คนขายลดให้

นาตาลีไปหาซื้อไม้ดอกที่ตลาดขายดอกไม้ (flower market) และชอบดอกเยอเบร่าสีงาช้าง จึงถามราคาคนขาย คนขายบอกว่า

กระถางละ 2 เหรียญ นาตาลีจึงถามว่าถ้าซื้ออย่างน้อย 15 กระถาง จะลดให้เท่าไร คนขายบอกว่าคิด 28 เหรียญ ถ้าซื้อ 15 กระถาง นาตาลีขอให้ลดอีกหน่อย คนขายจึงบอกว่านี่เป็นราคาที่ลดสุด ๆ แล้ว


ขอให้นักศึกษาศึกษาคำศัพท์และสำนวนที่ใช้ในบทสนทนาให้เข้าใจ ดังนี้

คราวนี้ลองดูตัวอย่างเฉพาะข้อความหรือประโยคที่ใช้ต่อรองราคากันบ้าง

- Can you make it cheaper?

- ลดราคาลงหน่อยได้ไหม

- Can you give me a special price?

- ขอราคาพิเศษหน่อยได้ไหม

- Any discount?

- ลดราคาหน่อยได้ไหม

- What’s the last price?

- ลดราคามากที่สุดได้เท่าไร

- What’s the net price?

- ราคาขาดตัวเท่าไร

- What’s the cheapest price?

- ราคาถูกที่สุดเท่าไร

- Can you reduce the price?

- (คุณ)ลดราคาหน่อยได้ไหม

- Can I get any reduction?

- ลดให้ฉันบ้างได้มั้ย

- Can you lower the price?

- (คุณ)ลดราคาให้หน่อยได้ไหม

กลับมาที่คำว่า price และ cost กันบ้าง ประโยคยอดนิยมที่มักใช้ถามราคา :

- What’s the price?

- ราคาเท่าไร

- How much does it cost?

- (ของ)ราคาเท่าไร

เท่าที่สังเกต ในชีวิตของคนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ (mother tongue language) หรือเจ้าของภาษา (native speaker) 

มักถามด้วยข้อความสั้น ๆ คือ

- How much?

- เท่าไร


สำหรับผู้ชำนาญการพูดภาษาอังกฤษ อาจพูดต่อท้ายด้วย

- How much is it?

- ของนี่ราคาเท่าไร

- How much is this?

- ของชิ้นนี้ราคาเท่าไร

- How much are these?

- ของพวกนี้ราคาเท่าไร

- How much are that?

- ของชิ้นนั้นราคาเท่าไร

- How much are those?

- ของพวกนั้นราคาเท่าไร

- How much altogether?

- ทั้งหมดราคาเท่าไร

อย่าลืมว่าการต่อรองราคาสินค้า (bargaining) ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมของราคา ไม่ใช่ต่อรองจนคนขายไม่พอใจก็อาจเกิดเหตุ

ขึ้นได้ ขอให้นักศึกษาโชคดีในการต่อรองราคาสินค้า

เรื่องที่ 2 Duty - free Shop

คนจำนวนมากที่เดินทางโดยเครื่องบินสามารถซื้อสินค้าที่ร้านปลอดภาษี (duty - free shop) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสายการบิน

ระหว่างประเทศ (international flight)

สนามบินขนาดใหญ่จะมีร้านค้าที่ขายสินค้าปลอดภาษีมากมายหลายชนิด ทั้งสินค้าชั้นดีจากต่างประเทศและสินค้าท้องถิ่น (local 

goods) ซึ่งเป็นสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ

สำหรับประเทศไทยมีสนามบินหลายแห่งที่เป็นสนามบินระหว่างประเทศ (international airport) ทั้งที่กรุงเทพฯ หาดใหญ่ 

เชียงใหม่ ภูเก็ต สนามบินเหล่านี้จึงมีสินค้าของร้านปลอดภาษี ทั้งจากต่างประเทศและสินค้าของจังหวัดหรือภาคที่สนามบินนานาชาติตั้งอยู่

สินค้าที่วางจำหน่ายในร้านปลอดภาษีมักเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย (luxuries) จากประเทศชั้นนำ ทั้งในยุโรปและอเมริกา

Local made goods at various airports

ตามท่าอากาศยานนานาชาติในประเทศต่าง ๆ (various airports) มีสินค้าที่แปลกตามากมาย โดยเฉพาะสินค้าท้องถิ่น (Local made goods) เช่นที่สนามบินปักกิ่ง (At Beijing airport) ประเทศจีน ลองดูสิว่าสินค้าที่เด่นและน่าสนใจมีอะไรบ้าง

สนามบิน อินชอน (Incheon airport) ประเทศเกาหลีใต้ เป็นสนามบินนานาชาติที่ดีมาก เคยได้รับรางวัลสนามบินที่ดีที่สุดในโลกมาก่อน

สินค้าที่นักเดินทางนิยมซื้อกันมาก ได้แก่

ที่สนามบิน จอห์น เอฟ เคนเนดี้ (John F. Kenedy Airport) หรือเรียกว่า JFK Airport ที่ New york ประเทศสหรัฐอเมริกา

นักศึกษาลองศึกษาบทสนทนาต่อไปนี้เกี่ยวกับการซื้อของที่สนามบินจอห์น เอฟ เคนเนดี้

At Changi Airport ที่สนามบินชางงี ประเทศสิงคโปร์

สนามบินชางงีเป็นสนามบินนานาชาติของสิงคโปร์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสนามบินที่ดีที่สุดในโลก นักศึกษาลองศึกษา

สถานการณ์ร้านค้าปลอดภาษีดูอีกสักแห่งหนึ่ง