Topic 1 

Proper Language

ภาษาที่ถูกกาลเทศะ (Proper Language) เหมาะสมกับคู่สนทนาย่อมแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสิ่งต่อไปนี้

situation (ซิชชุเอชัน) สถานการณ์

occasion (อะเคชัน) โอกาส

personal status (เพอร์ซะเนิล สเททัส) สถานภาพบุคคล

background (แบคกราวน์ด) ภูมิหลัง


สถานการณ์เป็นตัวกำหนดระดับของภาษาที่ใช้ (language level) เพราะมีทั้งสถานการณ์ที่เป็นทางการ (formal situation) และ

สถานการณ์ที่ไม่เป็นทางการ (informal situation)


ตัวอย่างสถานการณ์ที่เป็นทางการ เช่น การประชุม การติดต่อทางโทรศัพท์กับผู้ที่ไม่รู้จักมาก่อน การติดต่อตามสถานที่และหน่วยงาน

ต่าง ๆ เป็นต้น


โอกาสกำหนดระดับของภาษาที่ใช้ได้เช่นกัน ได้แก่ งานเลี้ยงระหว่างบุคคลคุ้นเคย การพบปะระหว่างญาติพี่น้อง การไปเที่ยวพักผ่อน

กับเพื่อน การพูดคุยกับผู้ที่รู้จักกันมาก่อน ฯลฯ เป็นสถานการณ์ที่ไม่เป็นทางการ


สถานภาพบุคคลเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการเลือกใช้ระดับของภาษา คือ ผู้สูงอายุ (old aged people) ผู้ใหญ่ (adult) วัยรุ่น (teenager) 

เด็ก (children)


การเลี้ยงดูเป็นตัวกำหนดความแตกต่างทางภาษาของบุคคล เด็กอายุน้อยอาจใช้ภาษาที่ฟังแล้วเป็นผู้ใหญ่ น่าเชื่อถือ ก็ด้วยการเลี้ยงดู

ในวัยเด็กที่ได้รับจากครอบครัว


ดังนั้น ความเหมาะสมของภาษาหรือภาษาที่ถูกกาลเทศะ (Proper Language) จึงแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ

  - formal language (ฟอร์เมิล แลงกวิจ) ภาษาที่เป็นทางการ

  - informal language (อินฟอร์เมิล แลงกวิจ) ภาษาที่ไม่เป็นทางการ

ตัวอย่างภาษาที่เป็นทางการ :

In the Meeting

ที่มาจาก http://www2.thaiembassy.be/ 7 ส.ค. 57

Manager : Please present your interesting ideas on our new project.

Mark : I would suggest our building should provide at least 3 more

parking floors.

Manager : And what about you, Michael? What do you think?

Michael : I think we should have a room on the ground floor. So the

drivers will wait for their boss down there.

Manager : I agree that we should have more parking floors and drivers

room for safety and convenience.

ในการประชุม

ในการประชุมของบริษัทแห่งหนึ่ง ผู้จัดการร้านได้ให้มาร์คและไมเคิลแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการใหม่ของบริษัท ซึ่งมาร์คเสนอ

ให้จัดเตรียมชั้นจอดรถเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 3 ชั้น ส่วนไมเคิลให้ความเห็นว่าควรมีห้องที่ชั้นล่างสักหนึ่งห้อง เพื่อให้พนักงานขับรถมีที่สำหรับรอเจ้านายของเขาที่ชั้นล่าง ซึ่งผู้จัดการเห็นด้วย

คำศัพท์ในเรื่องนี้ที่น่าสนใจ ได้แก่

manager (แมนนิจเจอะ) ผู้จัดการ

please (พลีซ) กรุณา โปรด

present (พรีเซนท์) นำเสนอ

interesting ideas (อินเทอะริสทิง ไอเดียส์) ความคิดที่น่าสนใจ ในที่นี้ interesting ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายคำนาม ideas 

   จึงมีความหมายว่า ความคิดที่น่าสนใจ

ลองดูตัวอย่าง 2 ประโยคต่อไปนี้ แล้วเปรียบเทียบกัน

- They have interesting ideas.

  พวกเขามีความคิดที่น่าสนใจ

- The manager is interested in their ideas.

  ผู้จัดการสนใจในความคิดของพวกเขา


on our new project ในเรื่อง หรือ เกี่ยวกับโครงการใหม่ของพวกเรา

I would suggest ผมจะเสนอแนะ (ว่า)

our building อาคารของพวกเรา

should provide ควรมี ควรจัดหา ควรเตรียม

at least อย่างน้อย

3 more parking floors ชั้นจอดรถอีก 3 ชั้น

on the ground floor ที่ชั้นล่าง

ที่มาจาก http://thinkofliving.com/ 7 ส.ค. 57

ground floor ชั้นล่าง เป็น ภาษาอังกฤษแบบอังกฤษ (British English) หมายถึงชั้นที่อยู่ระดับเดียวกับพื้นดิน

first floor ชั้นแรกที่อยู่เหนือชั้นล่าง

second floor ชั้นสอง เป็นชั้นที่อยู่เหนือชั้นแรกตามลำดับ

แต่ภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน (American English) จะเรียกโดยเริ่มจาก 

first floor ชั้นแรก หรือ ชั้นที่หนึ่งอยู่ระดับเดียวกับพื้นดิน

second floor ชั้นสอง อยู่เหนือชั้นแรกตามลำดับ

นี่เป็นความแตกต่างของ British English กับ American English ซึ่งจำเป็นต้องเข้าใจและจดจำเพื่อใช้ได้อย่างถูกต้อง

to wait for someone หรือ to wait for something เป็นสำนวนที่หมายถึงคอยใครสักคน หรือรอคอยอะไรบางอย่าง

their boss (แธร์ บอส) เจ้านายของพวกเขา

down there (ดาวน์ แธร์) ที่ข้างล่างนั่น

I agree (ไอ อะกรี) ฉันเห็นด้วย

drivers’ room ห้องของพนักงานขับรถ สังเกตว่ามีเครื่องหมายapostrophe หรือ ’ อยู่หลัง คำว่า drivers เป็น drivers’ แปลว่า ของ

พนักงานขับรถ อาจสงสัยว่าทำไมไม่ใช้ ’s ที่เป็นเช่นนี้เพราะ drivers เป็นพหูพจน์ ท้ายคำมี s อยู่แล้ว จึงเติมเฉพาะเครื่องหมาย ’ เท่านั้นแต่ถ้า driver เป็นเอกพจน์ คือ พนักงานขับรถคนเดียว ดังนั้น ของพนักงานขับรถจึงใช้ driver’s

นอกจากนี้ อาจสังเกตเห็นคำศัพท์บางคำที่ใช้ apostrophe เพียงอย่างเดียว เช่น

florists’ (ฟลอริสท์ส) ร้านขายดอกไม้

butchers’ (บูชเชอะส์) ร้านขายเนื้อ

dressmakers’ (เดรสเมคเคอะส์) ร้านตัดเสื้อ

hairdressers’ (แฮร์เดรสเซอร์ส) ร้านทาผม

เมื่อเห็นตัวอย่างเหล่านี้แล้ว จะสังเกตได้ว่า florist หมายถึง คนขายดอกไม้ 1 คน ดังนั้น คนขายดอกไม้หลายคนจะเติม s และเมื่อใส่ ’ 

หลัง florists เป็น florists’ จะหมายถึง ร้านขายดอกไม้

safety (เซฟที) ความปลอดภัย

convenience (คันเวนเยินซ์) ความสะดวก

ขอให้นักศึกษาลองศึกษาภาษาที่เป็นทางการอีกตัวอย่างหนึ่ง

ตัวอย่างภาษาที่เป็นทางการ :

Telephone Call

Operator : Hello, this is Maboon Building. What can I do for you?

Customer : Hello, I’d like to speak to someone about the renting office space, please.

Operator : Just a moment, please. I’ll put you through to Mr.Sukit who is in the rental department. I’m sure he can help you.

Customer : Thank you.


----------------------------A few minutes past.------------------------------------

Operator : The line is busy now. Would you like to hold?

Customer : Yes, I do.

Operator : May I have your name, please?

ลูกค้าติดต่อเข้ามาที่ออเปอเรเตอร์ของตึกมาบุน เพื่อสอบถามเกี่ยวกับการเช่าพื้นที่ว่างในตัวอาคาร ออเปอเรเตอร์จึงโอนสายไปยัง

คุณสุกิตที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ แต่สายไม่ว่างจึงถามลูกค้าว่าจะรอสายหรือไม่ ลูกค้าบอกว่าจะรอ ออเปอเรเตอร์จึงถามชื่อลูกค้าไว้

ให้นักศึกษาสังเกตว่านี่คือการพูดโทรศัพท์อย่างเป็นทางการ เพราะเป็นการติดต่อทางธุรกิจ ขอให้นักศึกษาจำสำนวนสำหรับพูดอย่าง

สุภาพไว้ดังนี้

- What can I do for you?

- ผมจะช่วยอะไรได้บ้างครับ

ถ้านักศึกษายังจำได้ เราอาจจะใช้ประโยคว่า

- May I help you?

- ขอให้ผมช่วยได้ไหม

- Can I help you?

- ผมสามารถจะช่วยได้ไหม

นอกจากนั้นยังมีสำนวนที่ใช้พูดทางโทรศัพท์ ได้แก่

- I’ ll put you through .................

- ผมจะโอนสายไปยัง ..............ให้นะครับ

- The line is busy now.

- สายไม่ว่างในขณะนี้

- Would you like to hold?

- คุณจะถือสายรอไหมครับ

- May I have your name, please?

- ขอทราบชื่อคุณหน่อยได้ไหมครับ

คราวนี้นักศึกษาลองศึกษาภาษาที่ไม่เป็นทางการดูบ้าง

ตัวอย่างภาษาที่ไม่เป็นทางการ :

On the Beach

Jack : Hi, Sue!


Sue : Hi, Jack!


Jack : What are you doing here?


Sue : Just relax for 3 days.


Jack : Good for you. Are you alone?


Sue : No. Mindy went back to the bungalow. We’ll have lunch together. Come and join us.


Jack : Sure. I’ll be back at noon.


Sue : O.K. See you then.


Jack : See you. Bye!


Sue : Bye!


ที่มาจาก www.radiotimes.com 6 ส.ค. 57

ที่มาจาก www.oknation.net 6 ส.ค. 57

แจ็คเจอซูที่ชายหาดจึงถามว่ามาทาอะไรที่นี่ ซูก็บอกว่ามาพักผ่อนแค่ 3 วัน แจ็คจึงถามว่ามาคนเดียวหรือ ซูตอบว่ามากับมินดี้ เดี๋ยว

กลางวันจะไปทานข้าวกลางวันด้วยกัน แจ็คจะไปด้วยกันหรือไม่ แจ็คตกลงและบอกกับซูว่าเจอกันตอนเที่ยง


จากการพูดคุยแบบไม่เป็นทางการระหว่างแจ็คกับซู จะเห็นว่าใช้ภาษาที่ไม่เต็มรูปแบบนัก เพราะเป็นการพูดคุยในบรรยากาศ โอกาส

และสถานการณ์ที่ไม่เป็นทางการ คนทั้งสองอยู่ในวัยเดียวกัน มีความเป็นเพื่อนกัน ภาษาที่ใช้พูด ได้แก่

Hi. สวัสดี ใช้ทักทายคนที่สนิทและคุ้นเคยกัน

What are you doing here? เธอมาทำอะไรที่นี่น่ะ

แต่ต้องสังเกตว่ามีคำถามคล้ายกัน ถามว่า What do you do here? หมายความว่า

คือถามว่า เธอทำงานอะไรที่นี่หรือ

Just relax   แค่มาพักผ่อน

Good for you   ดีแล้วล่ะ ดีนะ

alone   คนเดียว

Come and join us. ในที่นี้หมายถึง มากินด้วยกันสิ เป็น imperative sentence หรือประโยคคำสั่ง ขึ้น     ต้นประโยคด้วยกริยาช่อง 1 ซึ่งเป็น verb without to หรือ คำกริยาที่ไม่มี to นำ           หน้า 

Sure.   แน่นอน ได้เลย การพูดรับคำอย่างนี้อาจใช้คำศัพท์อื่นได้ เช่น Okay. หรือ 

O.K. All right. หรือ Alright.

Of course.

Certainly.

Why not. ทำไมจะไม่ล่ะ

See you then.   แล้วเจอกัน

See you.   เจอกันนะ

การพูดแบบไม่เป็นทางการสามารถเรียนรู้ได้ง่ายกว่าแบบเป็นทางการ เพราะรูปแบบประโยคไม่เป็นแบบแผนมากนัก และมักใช้คำ

พูดสั้น ๆ เมื่อฟังเป็นประจำแล้วสามารถเข้าใจ ก็จะจดจำและนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ต่างจากการพูดแบบเป็นทางการ ซึ่งผู้พูดจำเป็นต้องมีพื้นฐานไวยากรณ์อังกฤษที่ถูกต้อง จึงจะมั่นใจและกล้าพูด กล้าแสดงออก


ในการเดินทางนักศึกษาอาจจะต้องใช้ทั้งภาษาที่เป็นทางการและภาษาที่ไม่เป็นทางการ ทั้งในการเดินทางท่องเที่ยว การไปประชุม

สัมมนา การซื้อของต่าง ๆ การพบปะผู้คนและการทำกิจกรรมทางสังคมต่าง ๆ ขอให้นักศึกษาจดจำคำศัพท์และสำนวนต่าง ๆ แล้วนำไปใช้ให้เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์

เรื่องที่ 1 Vocabulary and Idiom

ควรทำความเข้าใจวิธีใช้คำศัพท์ที่หลากหลายและความหมายที่พอจะใช้แทนกันได้ แม้ความหมายของคำนั้น ๆ อาจต่างไปบ้างเล็ก

น้อย ดังนั้น การสังเกตการใช้คำศัพท์ในประโยคต่าง ๆ อยู่เสมอจะช่วยให้เข้าใจภาษาอังกฤษได้ดียิ่งขึ้น

คราวนี้จะให้นักศึกษาลองดูการเขียนระเบียบข้อบังคับของการใช้สระว่ายน้ำบ้านกล้วย ที่ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา ถนน

สุขุมวิท เอกมัย กรุงเทพมหานคร ว่ากำหนดไว้อย่างไรบ้าง

Ban Kluay Swimming Pool Regulations

1. Purchase the ticket before swimming.

2. Clean your body and hair thoroughly.

3. Take your shoes off, store them on the provided shelves, and clean your feet before entering the pool area.

4. Wear polite swimming suit.

5. Wear swimming cap if you have long hair.

6. No food or drink in the pool area except drinking water.

7. No running, playing, and teasing in the pool area.

8. Those who do not swim must wait on the grandstands on both sides of the pool, NOT in the pool area.

9. All members MUST strictly follow the pool regulations and the staff instructions.

10. Violating the regulations and the instructions will lead to the CANCELLATION of the membership.

การใช้สระว่ายน้ำบ้านกล้วย ผู้ใช้ต้องซื้อตั๋ว (purchase the ticket) ก่อน ก่อนลงว่ายน้ำในสระต้องอาบน้ำและสระผมให้สะอาด ถอด

รองเท้าเก็บไว้ในชั้นที่จัดไว้ให้ (provided shelves) ก่อนเข้าบริเวณสระน้ำ (entering the pool area) ใส่ชุดว่ายน้ำที่สุภาพ (polite swimming suit) ถ้าผมยาวต้องใส่หมวกว่ายน้ำด้วย (swimming cap) ห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มเข้าไปรับประทานบริเวณสระว่ายน้ำ ยกเว้น (except) น้ำดื่ม ห้ามวิ่งเล่นและหยอกล้อกัน (teasing) บริเวณสระน้ำ ผู้ที่ไม่ได้ลงสระน้ำให้รออยู่บนที่นั่งทั้งสองข้างของสระน้ำ (the grandstands on both sides of the pool) ห้ามเข้าไปบริเวณสระน้ำ สมาชิกทุกคนต้องปฏิบัติตามระเบียบของการใช้สระน้ำและคำแนะนำของผู้ดูแลสระว่ายน้ำอย่างเคร่งครัด (strictly) ผู้ที่ปฏิบัติผิดระเบียบ (violating the regulations) และข้อแนะนำ (the instructions) จะถูกเพิกถอนการเป็นสมาชิก (the cancellation of the membership)

ขอให้นักศึกษาสังเกตว่าวิธีการเขียนระเบียบหรือกติกาต่าง ๆ จะใช้รูปประโยค imperative sentence หรือประโยคคำสั่ง เพราะสั่ง

ให้ปฏิบัติตาม จึงขึ้นต้นประโยคด้วยคำกริยา (Verb) ซึ่งละประธานคือ You ได้ และในการเดินทางเราต้องปฏิบัติตามกฎกติกาที่สถานที่หรือสถานบริการหรือหน่วยงานต่าง ๆ กำหนดไว้ เมื่อเห็นกฎ กติกา ระเบียบหรือข้อบังคับต่าง ๆ ที่ติดประกาศหรือแจ้งไว้ นักศึกษาต้องทำความเข้าใจและปฏิบัติตาม

ทีนี้ลองกลับมาดูว่าเมื่อตั้งใจจะเดินทางคงต้องนึกถึงคำศัพท์ตามลำดับ การเดินทางออกนอกประเทศหรือต่างประเทศ oversea อาจ

ใช้ภาษาอังกฤษอีกคำหนึ่งได้ นั่นคือ abroad การเริ่มวางแผน การเดินทาง trip คงต้องติดต่อบริษัทท่องเที่ยว travel agency เพื่อทำการจอง reservation

การจองตั๋วเครื่องบิน plane ticket booking ต้องดูว่าเราต้องการซื้อตั๋วที่นั่งชั้นธุรกิจ business class หรือไม่ เพราะราคาแพงนั่ง

สบาย มีจำนวนที่นั่งไม่มาก มีบริการบนเครื่องอย่างดี แต่ถ้าซื้อตั๋วที่นั่งชั้นประหยัด economy class ราคาถูกกว่ามาก แต่ที่นั่งไม่กว้างขวาง มีความแออัดมากกว่า บริการไม่มากเท่าชั้นธุรกิจ แต่จ่ายค่าโดยสาร fare น้อยกว่า

เมื่อซื้อตั๋วก็ต้องมีการยืนยัน confirm และยืนยันซ้า reconfirm ผู้เดินทางจะทราบเที่ยวบิน flight วัน date และเวลาออกเดินทาง 

departure time

เราในฐานะผู้โดยสาร passenger ก็ต้องเตรียมเอกสารให้พร้อม รวมทั้งของใช้ส่วนตัว personal effects หรืออาจใช้ว่า personal 

belongings หรือ personal property ก็ได้ตั๋วที่ซื้อไว้ขึ้นอยู่กับ ความต้องการของผู้โดยสารว่าจะซื้อตั๋วเที่ยวเดียว one - way ticket ซึ่งอาจเรียก single ticket ได้ หรือจะซื้อตั๋วไปกลับ return ticket หรือ round trip ticket ก็ได้

ในวันเดินทางต้องเตรียมเอกสารสำคัญให้พร้อม ทั้งหนังสือเดินทาง passport วีซ่า visa ของใช้ส่วนตัว personal effects ให้เป็นไป

ตามกฎและระเบียบของสนามบิน ระวังน้ำหนักของกระเป๋าเดินทางอย่าให้เกินตามที่สายการบินกำหนด (luggage) และอย่านำของต้องห้าม เช่น อาวุธ มีด กรรไกร ของเหลว ปริมาณมากเกิน 100 ml. เป็นต้น ขึ้นเครื่องบิน (prohibited items)

ที่มาจาก http://www.bloggang.com/ 6 ส.ค. 57

เมื่อถึงสนามบิน airport จะตรงไปที่ check in counter เพื่อชั่งน้ำหนักกระเป๋าเดินทางและรับบัตรขึ้นเครื่องบิน (boarding pass) 

ดังตัวอย่าง boarding pass นี้

จากนั้นผ่าน Passport Control เพื่อตรวจหนังสือเดินทางแล้วผ่านร้านค้าต่าง ๆ ที่สนามบิน รวมทั้งร้านค้าปลอดภาษี (Duty - free 

Shop หรือ DFS) แล้วผ่านประตู (Gate) ที่ระบุไว้ในบัตรขึ้นเครื่องบินเพื่อไปสู่ห้องผู้โดยสารขาออก (Departure lounge)

ผู้โดยสาร (passenger) จะเดินจากอาคารขึ้นเครื่องบินโดยผ่าน jet bridge หรือ connecting bridge หรือที่คนไทยหลายคน เรียก

ว่า งวงช้าง เมื่อเดินเข้าไปในเครื่องบินแล้วจะนั่งตามหมายเลขที่นั่ง

จากนั้นเก็บกระเป๋าสะพายไว้ในช่องเก็บของเหนือศีรษะ (compartment) เมื่อเห็นไฟสีแดงมีรูปเข็มขัดสว่างขึ้นก็ให้รัดเข็มขัด 

(fasten seat belt)

บนเครื่องมีลูกเรือ (cabin crew หรือ flight attendant) พร้อมกับนักบิน (pilot) และกัปตัน (captain)

เครื่องบินขับเคลื่อน (taxi) ไปบนลานบิน (run way) จนมีความเร็วพร้อมที่จะยกลำตัวเครื่องบิน ปรับลักษณะปีก เพื่อเชิดหัวเครื่อง

บินขึ้น (take off)

นี่เป็นวิธีฝึกเรื่องคำศัพท์ที่ต้องใช้เมื่อคราวจำเป็น เนื่องจากสถานการณ์ต่าง ๆ จะเป็นตัวกำหนดให้ค้นคว้าหาคำศัพท์เพิ่มเติมได้ด้วย

ตนเอง

ขอให้นักศึกษาลองศึกษาบทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางโดยเครื่องบินต่อไป

ที่ขายตั๋วของสายการบิน XYZ (XYZ Airline) ลูกค้ามาขอจองตั๋ว (to book) เพื่อที่จะไปโทรอนโตพรุ่งนี้ก่อน 9.00 น. ซึ่งมีตั๋วเหลืออยู่

พอดี พนักงานจึงถามว่าต้องการตั๋วชั้นธุรกิจ (business class) หรือชั้นประหยัด (economy class) ซึ่งลูกค้าซื้อตั๋วชั้นประหยัดและจ่ายค่าตั๋ว 1,250 บาท พนักงานจึงยื่นตั๋วให้และลูกค้าถามว่าต้องยืนยัน (confirm) การเดินทางหรือไม่ พนักงานตอบว่าไม่ต้อง ลูกค้าสามารถไปขอเลขที่นั่งที่เคาน์เตอร์เช็คอินได้เลยเพราะจะเดินทางพรุ่งนี้แล้ว และอวยพรให้เดินทางโดยสวัสดิภาพ

เช่นเคยผู้ให้บริการจะเสนอให้บริการโดยใช้รูปประโยค

- May I help you?

ฉันจะช่วยคุณอะไรได้บ้าง


ซึ่งนักศึกษาอาจจะใช้รูปประโยคอื่น ๆ ได้แก่

- Can I help you?

- Could I help you?

- What can I do for you?

ที่นั่งในเครื่องบินจะมี 3 ประเภท คือ

1. ชั้นหนึ่ง (First class) เป็นชั้นที่ได้รับบริการเป็นพิเศษ มีที่นั่งกว้างขวาง สะดวกสบาย ซึ่งราคาแพงที่สุดบนเครื่องบิน ที่นั่งจะอยู่

ด้านหัวเครื่องบิน ผู้โดยสารสามารถนำสัมภาระไปได้ไม่เกิน 40 กิโลกรัมต่อคน

2. ชั้นธุรกิจ (Business class) เป็นชั้นที่ได้รับบริการพิเศษรองจากชั้นหนึ่ง (First class) ราคาแพงรองลงมา ที่นั่งจะอยู่ถัดจากที่นั่งผู้

โดยสารชั้น 1 ผู้โดยสารสามารถนำสัมภาระขึ้นเครื่องได้ไม่เกิน 30 กิโลกรัมต่อคน

3. ชั้นประหยัด (Economy class) เป็นชั้นที่ผู้โดยสารนิยมนั่งมากที่สุด เพราะราคาถูกที่สุด ที่นั่งเริ่มตั้งแต่ช่วงกลางตัวเครื่องบินถึง

หางเครื่องบิน ผู้โดยสารสามารถนำสัมภาระขึ้นเครื่องได้ไม่เกิน 20 กิโลกรัมต่อคน

เมื่อไปถึงสนามบินแล้ว จะขึ้นเครื่องบินจะต้องทำอย่างไรบ้าง ขอให้นักศึกษาศึกษาบทสนทนาต่อไปนี้

ผู้โดยสารไปที่เคาน์เตอร์เช็คอินสำหรับการเช็คอินของเที่ยวบินที่ TG781 พนักงานขอตั๋วเครื่องบินและหนังสือเดินทาง (ticket and 

passport) และถามว่ามีกระเป๋าเดินทางที่จะฝากขึ้นเครื่องบินกี่ใบ ผู้โดยสารตอบว่า 2 ใบ และขอที่นั่งริมหน้าต่าง (a window seat) ซึ่งพนักงานให้ที่นั่งหมายเลข 36A ผู้โดยสารขออาหารมังสวิรัติ (vegetarian food) ซึ่งพนักงานบอกว่าผู้โดยสารแจ้งไว้แล้ว (have already informed) ผู้โดยสารจึงบอกว่าต้องการยืนยัน (reconfirm) อีกครั้งหนึ่ง แล้วพนักงาน จึงยื่นบัตรขึ้นเครื่องบิน (boarding pass) และหางบัตรสำหรับรับกระเป๋าเดินทาง (baggage claim tag) รวมทั้งคืนตั๋วและหนังสือเดินทางให้ พร้อมบอกให้ขึ้นเครื่องได้ที่ประตูหมายเลข 12 (gate 12) และขอให้ไปที่นั่นก่อนเวลาบิน (scheduled flight) 30 นาที รวมทั้งอวยพรให้สนุกกับการเดินทางเที่ยวบินนี้ (Enjoy your flight)

การเดินทางโดยเครื่องบินมีกรรมวิธีหลายขั้นตอน นักศึกษาไม่สามารถถือตั๋วแล้วเดินไปขึ้นเครื่องเลยได้ ต้องทำตามขั้นตอนที่

กำหนดไว้

นักศึกษาลองศึกษาบทสนทนาเกี่ยวกับการเดินทางโดยเครื่องบินอีกบทหนึ่งเกี่ยวกับ การโดยสารเครื่องบิน

ในเครื่องบินเมื่อเครื่องจะลงจอดจะมีเสียงประกาศให้ผู้โดยสารทราบและเตือนให้ผู้โดยสารปรับพนักที่นั่งให้อยู่ในสภาพตรงและรัด

เข็มขัด รวมทั้งให้นั่งอยู่กับที่จนกว่าไฟสัญญาณดับลง ลูกเรือจะเดินดูว่าผู้โดยสารปฏิบัติตามประกาศแล้วหรือไม่ ในเรื่องนี้มีผู้โดยสารคนหนึ่งยังไม่ได้ส่งถาดอาหารคืน ลูกเรือจึงขอเก็บถาดอาหารและให้ผู้โดยสารปรับพนักที่นั่งให้ตรงและรัดเข็มขัดด้วย ซึ่งผู้โดยสารขอแบบฟอร์มการเข้าประเทศ (arrival form) ลูกเรือจึงไปหยิบมาให้

ความรู้ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากหนังสือเรียนเท่านั้น แต่ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยความตั้งใจและความมานะพยายามที่มีอยู่ เรื่องราว

ที่หยิบยกมาให้เรียน เป็นเพียงแนวทางหนึ่งเท่านั้น ลองตั้งโจทย์เองแล้วหาคำศัพท์ที่จำเป็นต้องใช้ให้พร้อม จะช่วยให้รู้จักคำศัพท์กว้างขวางยิ่งขึ้น

ที่สำคัญอย่ากลัวพูดผิด ไม่มีใครที่พูดภาษาอังกฤษได้ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าใครก็ผิดพลาดได้ทั้งนั้น ฝึกพูดบ่อย ๆ แล้วทุกคน

จะประสบความสำเร็จ

ภาษาอังกฤษมีสำนวนต่าง ๆ เช่นเดียวกับภาษาไทยและภาษาอื่นใดในโลก

idiom สำนวน เป็นภาษาที่มีลักษณะจำเพาะหรือแบบจำเพาะ หรืออาจหมายถึงภาษาจากความเคยชิน

สำนวนต่าง ๆ ตามตัวอย่างที่กล่าวถึงต่อไปนี้ เรามักได้ยินและได้ใช้กันอยู่เป็นประจำ เรียกได้ว่าเป็นสำนวนที่ใช้กันจนติดปาก หากจด

จำสำนวนเหล่านี้ได้ รับรองว่าจะพูดภาษาอังกฤษได้คล่องขึ้นมาก

บางสำนวนอาจใช้คำศัพท์มาแทนกันได้ ดังนี้

หากศึกษาภาษาอังกฤษต่อไปเรื่อย ๆ เราจะเห็นว่ามีคำศัพท์และสำนวนเป็นจำนวนมากที่ใช้ แทนกันได้ ถ้ารู้จักปรับเปลี่ยนการใช้คำ

ศัพท์และสำนวนอยู่เสมอ ความรู้ในเรื่องนี้จะกว้างขวางขึ้น

สำนวนที่ใช้บ่อยมีดังนี้

ที่มาจาก http://www.bloggang.com/ 6 ส.ค. 57

ที่มาจาก http://www.manager.co.th/ 7 ส.ค. 57

ที่มาจาก http://www.weddingsquare.com/ 7 ส.ค. 57

ในบางโอกาสนักศึกษาอาจจะต้องแวะทำกิจกรรมต่าง ๆ ในระหว่างการเดินทางโดยไม่ได้คาดหมายไว้ ขอให้นักศึกษาลองศึกษาบท

สนทนาต่อไปนี้

ประภาทำนาฬิกาข้อมือหล่น มันจึงไม่เดิน ประภาได้นำนาฬิกาไปซ่อมที่ร้าน เจ้าของร้านบอกว่าใช้เวลาสองถึงสามวันจึงจะซ่อม

เสร็จ เพราะต้องสั่งอะไหล่มาจากบริษัท ประภาจึงบอกว่าต้องใช้นาฬิกาทุกวัน ขอให้ทำให้เสร็จพรุ่งนี้ได้หรือไม่ เจ้าของร้านจึงตอบว่าจะพยายาม ให้โทรมาถามพรุ่งนี้บ่าย ประภาจึงกล่าวขอบคุณเจ้าของร้าน

สิ่งที่ควรทำต่อเนื่องอย่างยิ่ง คือ เมื่อรู้จักสำนวนใดแปลกใหม่ ควรบันทึกไว้ เมื่อมีเวลาว่าง สามารถทบทวนเพื่อนำไปใช้ให้ถูกต้อง

อย่าลืมว่าบางสำนวนมีความหมายใกล้เคียงกันก็จริง แต่เวลาใช้อาจแตกต่างกันเล็กน้อย เช่น บางสำนวนต้องใช้บุพบทหรือ 

preposition มาประกอบจึงจะถูกต้อง เป็นต้น

สิ่งที่ควรทำต่อเนื่องอย่างยิ่ง คือ เมื่อรู้จักสำนวนใดแปลกใหม่ ควรบันทึกไว้ เมื่อมีเวลาว่าง สามารถทบทวนเพื่อนำไปใช้ให้ถูกต้อง

อย่าลืมว่าบางสำนวนมีความหมายใกล้เคียงกันก็จริง แต่เวลาใช้อาจแตกต่างกันเล็กน้อย เช่น บางสำนวนต้องใช้บุพบทหรือ 

preposition มาประกอบจึงจะถูกต้อง เป็นต้น

เรื่องที่ 2 Short Statement

ในชีวิตประจำวัน ทุกคนจะพูดเพื่อสื่อสารระหว่างกันและกัน สร้างความเข้าใจที่ดีและถูกต้อง การใช้คำกล่าวอย่างสั้นหรือการพูด

ข้อความอย่างสั้น เป็นการพูดภาษาอังกฤษที่ง่ายและฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วกว่าการพูดภาษาอังกฤษชนิดเต็มรูปแบบ

ภาษาอังกฤษที่พูดเต็มรูปแบบต้องอาศัยพื้นความรู้ไวยากรณ์อังกฤษที่ถูกต้อง จดจำได้อย่างแม่นยำ จะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้

อย่างราบรื่น แต่ภาษาที่เป็นคำกล่าวอย่างสั้นจะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วกว่า ไม่ต้องใช้ไวยากรณ์อังกฤษครบถ้วนทั้งหมด

คำพูดอย่างสั้นมีหลายประเภท ได้แก่ การตอบรับ การแสดงความเห็น การถาม การบอกกล่าว การเสนอแนะ การสั่ง การอุทานเพื่อ

แสดงความรู้สึก การปลอบโยน การแสดงความสงสัย การอนุญาต การเตือน ฯลฯ

ในบางโอกาสที่นักศึกษาไปท่องเที่ยว และเยี่ยมเยือนเพื่อน อาจจะพบสถานการณ์ต่าง ๆ ขอให้นักศึกษาลองศึกษาบทสนทนาต่อไป

นี้

มาลีไปหาเจนแต่เจนไม่อยู่บ้าน (She’s not in.) วัยรุ่นที่ออกมาต้อนรับถามว่านัดไว้หรือไม่ มาลีบอกว่านัดไว้ วัยรุ่นคนนั้นจึงเชิญให้

มานั่งรอข้างใน แล้วหากาแฟให้ทาน ซึ่งมาลีทานกาแฟดำใส่น้ำตาล 1 ช้อน

แจงรำพันกับทาทาว่าปีนี้แข่งขันแบดมินตันแพ้ ไม่ได้เหรียญทองเป็นเรื่องน่าอาย รู้สึกผิดหวังมาก อยากเลิกเล่นแบดมินตัน แต่ทาทา

ให้กำลังใจว่าให้สู้ต่อไป อย่ายอมแพ้และเชื่อว่าแจงสามารถทำได้ ในปีหน้า

คำพูดลักษณะนี้มีหลากหลาย แต่เลือกมาให้เรียนเฉพาะที่ได้ยินและพบเห็นกันทั่วไป คำพูดอย่างสั้นต่อไปนี้เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก

น้อยเท่านั้น ลองพิจารณาและเลือกใช้ได้ตามความจำเป็น ดังนี้

ขอให้นักศึกษาลองศึกษาบทสนทนาอีกตัวอย่างหนึ่ง

มีอุบัติเหตุ (an accident) รถชนกันบริเวณสี่แยก (at the crossroad) รถปิคอัพ (a pick-up) ชนรถยนต์ (a car) คนขับรถยนต์ได้รับ

บาดเจ็บสาหัส (seriously injured) มีคนเรียกรถพยาบาล (an ambulance) ทันที (at once) ส่วนคนขับรถปิคอัพหนีไป (fled the scene of the accident) มีผู้คนมากมายเห็นเหตุการณ์และสามารถเป็นพยาน (a witness) เอซึ่งเป็นผู้เห็นเหตุการณ์จึงไปแจ้งตำรวจ (inform the police) ที่สถานีตำรวจที่ใกล้ที่สุด (the nearest police station)

ขอให้นักศึกษาอ่านและทำความเข้าใจกับบทสนทนานี้และจำคำศัพท์และสำนวนไว้ใช้ในชีวิตประจำวัน

ตัวอย่างคำกล่าวอย่างสั้นจะช่วยให้การพูดภาษาอังกฤษง่ายยิ่งขึ้น การฝึกพูดบ่อย ๆ จะช่วยให้จดจำและนำไปใช้ได้อย่าง

คล่องแคล่ว หลายคนบอกว่า การเรียนรู้ด้านภาษาที่ดีคือการฝึกพูดเป็นประจำเพื่อให้เกิดความคุ้นเคย จากนั้นความคุ้นเคยจะเปลี่ยนไปเป็นทักษะทั้งการฟังและการพูด ส่วนทักษะการเขียนขึ้นอยู่กับความขยันในการจดบันทึกเป็นประจำและสม่ำเสมอ หากตั้งใจจริงและยึดแนวทางปฏิบัติเช่นนี้ ทุกคนจะก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนและประชาคมโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ