ระบอบการเมืองการปกครอง หมายถึง การจัดระบบให้คนส่วนใหญ่ในสังคมสามารถดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างมีระเบียบแบบแผน มีความสัมพันธ์กันอันก่อให้เกิดข้อตกลงอันดีงามร่วมกัน บังเกิดความผาสุกและความสามัคคีในสังคม ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ
1. ระบอบการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย
2. ระบอบการเมืองการปกครองแบบมีประธานาธิบดีเป็นประมุข
1. ระบอบประชาธิปไตยแบบมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข รัฐธรรมนูญและการปกครองของไทยทุกฉบับกำหนดไว้อย่างชัดแจ้งว่า เทิดทูนพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันสูงสุด ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ รัฐธรรมนูญกำหนดว่า ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ
มิได้ พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์จึงมีกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยปกติรัฐธรรมนูญกำหนดให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตย
2. ระบอบประชาธิปไตยแบบมีประธานาธิบดีเป็นประมุข ระบบนี้ได้ถูกสร้างขึ้นมานานกว่า 200 ปีแล้ว โดยมีประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นแม่แบบ ซึ่งมีบทบาทสำคัญทางการเมือง คือ ประธานาธิบดี จะเป็นทั้งผู้นำทางการเมืองและเป็นผู้นำประเทศ ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั่วประเทศโดยผ่านคณะผู้เลือกตั้ง ส่วนสมาชิกวุฒิสภาจะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนแต่ละมลรัฐและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งของประชาชนในแต่ละเขตเลือกตั้ง มีการบริหารประเทศโดยมีรองประธานาธิบดีและรัฐมนตรีร่วม
การปกครองแบบเผด็จการ เป็นระบบการเมืองที่รวมอำนาจแบบเบ็ดเสร็จไว้ที่ผู้นำคนเดียวหรือคณะเดียวให้อำนาจการตัดสินใจที่รัฐ การปกครองและการบริหารประเทศให้ความสำคัญกับรัฐมากกว่าประชาชน รวมทั้งประโยชน์ที่รัฐจะได้รับ ประชาชนเปรียบเสมือนเป็นส่วนประกอบ ของรัฐเท่านั้น และที่สำคัญรัฐจะต้องสูงสุดและถูกต้องเสมอ การปกครองแบบเผด็จการ แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ แบบอำนาจนิยมและแบบเบ็ดเสร็จนิยม
1. อำนาจทางการเมืองเป็นของผู้นำ มุ่งหมายที่จะควบคุมสิทธิเสรีภาพของทางการปกครองของประชาชนเป็นสำคัญ
2. การบริหารประเทศดำเนินไปอย่างมีเอกภาพ รวมอำนาจไว้ที่รัฐบาลกลาง ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ
3. ประชาชนต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้นำอย่างเคร่งครัดและต้องไม่ดำเนินการใด ๆ ที่ขัดขวางนโยบายของผู้นำ
4. ควบคุมประชาชนด้วยวิธีการลงโทษอย่างรุนแรงแต่ก็มีการใช้กระบวนการยุติธรรมอยู่บ้าง
5. ลักษณะการปกครองแบบนี้ปัจจุบันยังใช้กันอยู่หลายประการ ทั้งในทวีปอเมริกาใต้ แอฟริกาและเอเชีย
1. สร้างศรัทธาให้ประชาชนยึดมั่นในระบบการปกครองและผู้นำอย่างมั่นคงและต่อเนื่องตลอดไป
2. ควบคุมการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของประชาชนทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพใด ๆ ทั้งสิ้น
3. ประชาชนต้องเชื่อฟังคำสั่งของผู้นำอย่างเคร่งครัดจะโต้แย้งไม่ได้
4. มีการลงโทษอย่างรุนแรง
5. รัฐบาลมีอำนาจอย่างเต็มที่ กิจการในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ศาสนา วัฒนธรรมและการศึกษาจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ
6. มีการโฆษณาชวนเชื่อและอบรมประชาชนในรูปแบบต่าง ๆ
7. ลักษณะการปกครองแบบนี้ ปัจจุบันยังใช้กันอยู่หลายประเทศ เช่น โซเวียตรัสเซีย สาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เขมร เวียดนามและเยอรมนี
1. ประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมกันในด้านกฎหมาย
2. ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสรีภาพในทุก ๆ ด้านเพราะทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมายเช่นเดียวกัน
3. รัฐบาลไม่สามารถผูกขาดอำนาจได้เนื่องจากประชาชนเป็นผู้คัดเลือกรัฐบาลและหากไม่พอใจยังสามารถถอดถอนรัฐบาลได้
4. การแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ยึดถือแนวทางสันติวิธีมีการเจรจาอย่างมีเหตุผลและมีหน่วยงานรองรับกรณีพิพาทระหว่างรัฐและเอกชนเช่น ศาลปกครอง
1. รัฐบาลมีความเข้มแข็ง
2. รัฐบาลมีความมั่นคงเป็นปึกแผ่น
3. การตัดสินใจในกิจการต่าง ๆ เป็นไปอย่างรวดเร็ว
1. การแก้ไขบ้านเมืองบางครั้งมีความล่าช้าเนื่องจากมีกระบวนการหลายขั้นตอนที่ต้องผ่านความเห็นชอบซึ่งบางครั้งอาจแก้ไขได้
ไม่ทันเวลา
2. ในบางประเทศประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ในด้านการเมืองการปกครองในกรณีคัดเลือกผู้แทนบริหารอาจไม่เหมาะสมจะส่งผลกระทบต่อรัฐบาลได้
3. ในการเลือกตั้งแต่ละครั้งจำเป็นต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากดังนั้นประเทศยากจนจึงเห็นว่า เป็นการเสียเงินโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์และควรนำเงินไปใช้ในการพัฒนาประเทศส่งเสริมให้ประชาชนมีงานทำหรือช่วยเหลือประชาชนที่ยากจน
1. ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการปกครอง
2. ไม่คำนึงถึงความต้องการของประชาชน
3. รัฐบาลและประชาชนไม่มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด
4. ประชาชนไม่ได้รับความเป็นธรรมเท่าที่ควร
5. ผู้นำอาจใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องได้
6. การบริหารประเทศอยู่ที่ผู้นำหรือคณะเพียง
กลุ่มเดียว การตัดสินใจ การแก้ไขปัญหาอาจผิดพลาดได้ง่าย
7. ประชาชนไม่มีอิสระในการประกอบอาชีพอย่างเต็มที่ส่งผลให้ความเป็นอยู่ของประชาชนไม่ค่อยดีและอาจทำให้ไม่มีความสุข