ประวัติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบอร์น (MOUNT AUBURN) รัฐแมสซาชูเซตต์ (MASSACHUSETTS)ประเทศสหรัฐอเมริกา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระนามเดิมว่า “พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช” ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก)และหม่อมสังวาล มหิดล ณ อยุธยา ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
เมื่อพระชนมายุได้ 5 พรรษา ทรงเริ่มเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพมหานครต่อจากนั้นทรงเสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จากการศึกษาดังกล่าว ทรงรอบรู้หลายภาษาได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และ ละติน ในระดับอุดมศึกษา ทรงเข้าศึกษาในแผนกวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเมืองโลซานน์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2481 ได้เสด็จนิวัตกลับประเทศไทยพร้อมด้วยพระบรมเชษฐาธิราช(พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8) พระบรมราชชนนี และพระเชษฐภคินี
(สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์)
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต รัฐบาลโดยความเห็นชอบของรัฐสภาได้อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช พระชนมพรรษา 18 พรรษา เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องจากยังทรงพระเยาว์และยังมีพระราชกิจด้านการศึกษา จึงเสด็จพระราชดำเนินกลับไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยทรงเลือกศึกษาวิชากฎหมายและวิชารัฐศาสตร์แทน
ราชพิธีราชาภิเษกสมรส วันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2493 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯนิวัติประเทศไทยโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2493 ต่อมาเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2493 ทรงโปรดเกล้าฯให้จัดการราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ที่วังสระปทุม และได้ทรงสถาปนาหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชินี-สิริกิติ์
วันที่ 5 พฤษภาคม 2493 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณขัตติยราชประเพณี ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระมหาราชวังเฉลิมพระปรมาภิไธยตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหิตลาธิเบศร รามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร” และได้พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ในการนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศ สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ ต่อมาเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2493 พระบาทสมเด็จพระปรมินรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้เสด็จฯพร้อมด้วย สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีกครั้ง เพื่อทรงรักษา พระสุขภาพ และเสด็จพระราชดำเนินนิวัติพระนคร เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2494 ประทับ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และพระที่นั่งอัมพรสถาน ทั้งสองพระองค์มีพระราชธิดา และพรราชโอรส 4 พระองค์ดังนี้
1. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติเมื่อวันที่ 5 เมษายน
2494 ณ โรงพยาบาลมองซัวชี นครโลซาน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
2. สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ฯ ประสูติเมื่อวันที่ 28 กรกฏคม 2495 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ต่อมา ทรงได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ฯสยามมกุฎราชกุมาร เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2515
3. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ ประสูติเมื่อวันที่ 2 เมษายน2498 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ภายหลังทรงได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2520
4. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประสูติเมื่อวันที่ 4 กรกฏคม2500 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน
วันที่ 22 ตุลาคม 2499 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงพระผนวช ณวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงจำพรรษา ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ปฏิบัติพระศาสนกิจเป็นเวลา 15 วัน ระหว่างนี้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ต่อมาจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ประชาชนชาวไทยหรือแม้แต่ชาวต่างชาติ จะมองพระมหากษัตริย์พระองค์นี้ว่ามีพระปรีชาชาญด้านการเกษตรหรือการพัฒนาแหล่งน้ำเป็นหลัก เพื่อแก้ปัญหาการอยู่ดีกินดีของราษฎร ซึ่งสะท้อนผ่านโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริมากมายทั่วประเทศ หรือแม้แต่โครงการหลวงที่ทรงรับสั่งเป็นพิเศษอยู่เนือง ๆจนเรื่องราวเหล่านี้ได้บดบังพระอัจฉริยภาพด้านอื่น ๆ ของพระองค์ ซึ่งล้วนมีความโดดเด่นไม่แพ้กันซึ่งหลาย ๆ เรื่องไม่ใช่สิ่งที่เร้นลับปิดบัง หรือแม้แต่การกล่าวอ้างที่เกินจริง
เช่นในหมู่ศิลปินได้ยกย่องพระองค์เป็น “อัครศิลปิน” เนื่องจากพระอัจฉริยภาพอันสูงส่งด้านจิตรกรรมที่พระองค์ทรงปฏิบัติด้วยพระราชหฤทัยมานาน เช่นเดียวกับงานด้านดนตรีที่รับรู้กันในหมู่ นักดนตรีระดับโลก ในหมู่นักอ่านก็เช่นที่รับรู้กันว่าพระองค์มีพระอัจฉริยภาพอันล้ำลึกด้านการประพันธ์ หรือแม้แต่งาน
พระราชนิพนธ์แปล ล้วนจัดเป็นวรรณกรรมอมตะที่ฝากไว้ในบรรณพิภพ
ด้านการกีฬาก็เป็นที่รู้กันว่าพระองค์ทรงเป็นนักกีฬาเหรียญทองในกีฬาซีเกมส์ จากการแข่งขันเรือใบ ที่พระองค์ทรงประดิษฐ์เองในชื่อ “ซุปเปอร์มด”
ในด้านงานช่างก็เป็นที่ประจักษ์กันว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงสน พระทัยและทรงมีฝีมือ ไม่ว่าจะเป็นงานช่างไม้ ช่างโลหะ ช่างกล ตลอดถึงการเป็นนักประดิษฐ์คิดค้นนวัตกรรม ใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา
นับแต่เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงปฏิบัติ
พระราชภารกิจอย่างมิทรงเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย เพื่อให้ประชาชนของพระองค์มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
คนไทยทุกคนรู้สึกและรับรู้ตลอดมาว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงงานหนัก
เพื่อให้ประชาชนของพระองค์มีความสุข นอกจากจะทรงสนพระราชหฤทัยในเรื่องการพัฒนาด้านทรัพยากร
และสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ แล้ว พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ยังทรงให้ความสำคัญต่อการ
พัฒนาคนทั้งกายและจิตใจเป็นอย่างมาก ทั้งด้านการศึกษา ศาสนา ศิลปวัฒนธรรมและด้านสาธารณสุข
รวมทั้งการให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงให้ความ
ช่วยเหลือประชาชนของพระองค์ครอบคลุมวิถีชีวิตในทุก ๆ ด้าน ดังนี้
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆหลายประเทศ ทั้งในทวีปเอเชีย ทวีปยุโรปและทวีปอเมริกาเหนือ เพื่อเป็นการเจริญทางพระราชไมตรีระหว่างประเทศไทยกับบรรดามิตรประเทศเหล่านั้น ที่มีความสัมพันธ์อันดีอยู่แล้วให้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นทรงนำความปรารถนาดีของประชาชนชาวไทยไปยังประเทศต่าง ๆ นั้นด้วยทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักอย่าง กว้างไกลมากยิ่งขึ้น
ด้านการศึกษา
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเห็นความสำคัญของการศึกษาว่าเป็นปัจจัยในการสร้างและพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติและคุณธรรมของบุคคล การศึกษาจึงเป็นการพัฒนาคนซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม จึงพระราชทานความเกื้อหนุนด้านการศึกษา
ทั้งในระบบและนอกระบบโรงเรียน ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาไปจนถึงอุดมศึกษา ดังที่มีพระราชดำรัสว่า“การศึกษาเป็นปัจจัยในการสร้างและพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติและคุณธรรมของบุคคล สังคมและบ้านเมืองใดให้การศึกษาที่ดีแก่เยาวชนได้อย่างครบถ้วน ล้วนพอเหมาะกันทุก ๆ ด้านสังคมและบ้านเมืองนั้นจะมีพลเมืองที่มีคุณภาพ ซึ่งสามารถธำรงรักษาความเจริญมั่นคงของประเทศชาติไว้ และพัฒนาให้ก้าวหน้าต่อไปได้โดยตลอด”
ด้านการศาสนา
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเลื่อมใสศรัทธาพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปภัมภกของพระพุทธศาสนา ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อส่งเสริมพระพุทธศาสนา เช่น เสด็จพระราชดำเนินบำเพ็ญ พระราชกุศลในวันสำคัญทางศาสนาอย่างสม่ำเสมอ เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชารวมทั้งการเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐินตามพระอารามต่าง ๆ และทรงร่วมในงานพิธีทางศาสนาที่ประชาชนกราบบังคมทูลเชิญ
ด้านศิลปวัฒนธรรม
ศิลปวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นมาของบ้านเมืองที่ประกอบด้วยคนหลายชาติพันธุ์และความเป็นชาติ แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชจะทรงพระปรีชาสามารถทางดนตรีจิตรกรรม และประติมากรรม แต่ก็ทรงสนพระราชหฤทัยเรื่องศิลปวัฒนธรรมด้านอื่น ๆ และการจัดการทรัพยากรวัฒนธรรมทุกแขนง รวมทั้งภาษาไทยอันเป็นภาษาประจำชาติด้วย
การจัดการทรัพยากรน้ำ พระราชกรณียกิจด้านการพัฒนาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร-มหาภูมิพลอดุลยเดช ที่สำคัญยิ่งคือ งานพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ศาสตร์ทั้งปวงที่เกี่ยวกับน้ำทั้งการพัฒนาการจัดหาแหล่งน้ำการเก็บกักน้ำ การระบาย การควบคุม การทำน้ำเสียให้เป็นน้ำดี ตลอดจนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม พระราชกรณียกิจในช่วงต้น ๆ แห่งการเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ ทรงเน้นเรื่องความสำคัญของแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการอุปโภคและการเกษตรกรรม ดังพระราชดำรัสที่ว่า
...หลักสำคัญต้องมีน้ำบริโภค น้ำใช้เพื่อการเพาะปลูก เพราะว่าชีวิตอยู่ที่นั่น ถ้ามีน้ำคนอยู่ได้ ไม่มีไฟฟ้าคนอยู่ได้ แต่ถ้ามีไฟฟ้า ไม่มีน้ำ คนอยู่ไม่ได้...
จากนั้นโครงการ “ฝนหลวง” หรือ “ฝนเทียม” จึงเกิดขึ้นภายใต้การพระราชทานคำแนะนำของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชอย่างใกล้ชิด โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2498และได้เริ่มทำฝนเทียมครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมพ.ศ. 2512
การแก้ไขปัญหาน้ำเสีย แนวพระราชดำริเกี่ยวกับเรื่องน้ำที่สำคัญมีหลายโครงการ เช่น เรื่อง “น้ำดีไล่น้ำเสีย” ในการแก้ไขปัญหามลพิษทางน้ำ โดยทรงใช้น้ำที่มีคุณภาพดีจากแม่น้ำเจ้าพระยาให้ช่วยผลักดันและเจือจางน้ำเน่าเสียให้ออกจากแหล่งน้ำของชุมชน พระราชดำริบำบัดน้ำเสียโดยหลักการนี้เป็นวิธีการที่ง่ายประหยัดพลังงาน และสามารถปฏิบัติได้ตลอดเวลา
การแก้ไขปัญหาน้ำท่วม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมด้วยวิธีการต่าง ๆ อย่างเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ เช่น การก่อสร้างคันกั้นน้ำการก่อสร้างทางผันน้ำ การปรับปรุงตกแต่งสภาพลำน้ำเพื่อให้น้ำที่ท่วมทะลักสามารถไหลไปตามลำน้ำได้สะดวก
หรือช่วยให้กระแสน้ำไหล เร็วยิ่งขึ้น อันเป็นการบรรเทาความเสียหายจากน้ำท่วมขังได้ นอกจากนี้ การก่อสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำเป็นมาตรการการป้องกันน้ำท่วมที่สำคัญประการหนึ่งในการกักเก็บน้ำที่ไหลท่วมล้นในฤดูน้ำหลาก โดยเก็บไว้ทางด้านเหนือเขื่อนในลักษณะอ่างเก็บน้ำ
การจัดการทรัพยากรป่าไม้ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงสนพระราชหฤทัยและทรงตระหนักถึงความสำคัญของป่าไม้เป็นอย่างยิ่ง ทรงห่วงในเรื่องปริมาณป่าไม้ที่ลดลง ได้ทรงคิดค้นวิธีการต่าง ๆ ที่จะเพิ่มปริมาณป่าไม้ให้มากขึ้นพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระราชดำริที่จะอนุรักษ์ป่าไม้ ด้วยการสร้างความสำนึกให้รักป่าไม้ร่วมกันมากกว่าวิธีการใช้อำ นาจบังคับดังพระราชดำริที่พระราชทานให้มีการปลูกต้นไม้ 3 ชนิด ที่แตกต่างกัน คือ ไม้ผล ไม้โตเร็ว และไม้เศรษฐกิจ
การจัดสรรพื้นที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน ให้แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน ตามอัตราส่วน 30 : 30 : 30 :10 ซึ่งหมายถึง พื้นที่ส่วนที่ 1 ประมาณร้อยละ 30 ให้ขุดสระเก็บกักน้ำ เพื่อใช้เก็บกักน้ำฝนในฤดูฝน และใช้เสริมการปลูกพืชในฤดูแล้ง ตลอดจนการเลี้ยงสัตว์น้ำและพืชน้ำต่าง ๆ พื้นที่ส่วนที่ 2 ประมาณร้อย 30 ให้ปลูกข้าวในฤดูฝนเพื่อใช้เป็นอาหารประจำวันสำหรับครอบครัวให้เพียงพอตลอดปี เพื่อตัดค่าใช้จ่ายและสามารถพึ่งตนเองได้ พื้นที่ส่วนที่ 3 ประมาณร้อยละ 30 ให้ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พื้นที่ส่วมี่ 4 ที่อยู่อาศัย
โครงการหลวง
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงก่อตั้งโครงการหลวงขึ้น
โดยเริ่มจากการเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ และได้ทอดพระเนตรความเป็นอยู่ของชาวเขาที่มีฐานะยากจน ปลูกฝิ่น และทำลายป่าไม้ต้นน้ำลำธาร จึงทรงริเริ่มส่งเสริมการเกษตรแก่ชาวเขาโดยพระราชทานพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ เพื่อ ทดแทนการปลูกฝิ่น ใน พ.ศ. 2512ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้งโครงการส่วนพระองค์ขึ้นชื่อโครงการพระบรมราชานุเคราะห์ชาวเขา ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นโครงการหลวงพัฒนาชาวเขา
เป็นโครงการที่ทรงวางแผนเพื่อการพัฒนา ซึ่งเกิดจากการที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมราษฏรในภูมิภาคต่าง ๆ
ทั่วประเทศ และทรงพบเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเกษตรกรรม จึงได้พระราชทานคำแนะนำเพื่อนำไปปฏิบัติจนได้ผลดี และได้รับการยอมรับจากผู้ปฏิบัติงานทั้งหลายว่าสมควรยิ่งที่จะดำเนินตามพระราชดำริ พระราชดำริเริ่มแรกซึ่งเป็นโครงการช่วยเหลือประชาชนเริ่มขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2494 โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมประมงนำพันธุ์ปลาหมอเทศจากปีนัง ซึ่งได้รับจากผู้เชี่ยวชาญด้านการประมงขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติเข้าไปเลี้ยงในสระน้ำ พระที่นั่งอัมพรสถาน และเมื่อวันที่ 7พฤศจิกายน พ.ศ. 2496 ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพันธุ์ปลาหมอเทศแก่กำนันและผู้ใหญ่บ้านทั่วประเทศ นำไปเลี้ยงเผยแพร่ขยายพันธุ์แก่ราษฏรในหมู่บ้านของตน เพื่อจะได้มีอาหารโปรตีนเพิ่มขึ้น
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้จัดตั้งขึ้นตามแนวพระราชดำริในทุกภาคจำนวน 6 ศูนย์ ได้แก่
(1) ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน จังหวัดฉะเชิงเทรา
(2) ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย จังหวัดเพชรบุรี
(3) ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบน จังหวัดจันทบุรี
(4) ศูนย์ศึกษาการพัฒนาภูพาน จังหวัดสกลนคร
(5) ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ จังหวัดเชียงใหม่
(6) ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง จังหวัดนราธิวาส
งานด้านการประดิษฐ์
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงห่วงใยสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติที่จำเป็นต่อการมีชีวิตอยู่อย่างผาสุกของประชาชนชาวไทยที่เสื่อมโทรมลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเรื่องน้ำเสีย ที่นับวันมีเพิ่มมากขึ้นทุกทีและทำความเสียหายแก่แหล่งน้ำสะอาดตามธรรมชาติ ทำให้สัตว์ต่าง ๆ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา และ อื่น ๆ ที่อยู่ในแหล่งน้ำนั้น
งานด้านวรรณกรรม
ผลงานด้านวรรณกรรมของพระองค์มีทั้งพระราชนิพนธ์ที่ทรงแต่งและแปล
ซึ่งมีอยู่หลายเรื่องด้วยกัน เช่น พระราชนิพนธ์เรื่อง“พระราชานุกิจรัชกาลที่ 8 ” ตามคำกราบบังคมทูลขอพระราชทานของหม่อมเจ้าหญิงพูนพิสมัย ดิศกุล ซึ่งโปรดเกล้าฯให้พิมพ์พระราชทานในการพระราชกุศล 100 วัน พระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2489พระราชนิพนธ์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวกิจวัตรของรัชกาลที่ 8 ทั้งในส่วนพระองค์ พระราชกิจและพระราชานุกิจขณะเสด็จประพาสสถานที่ต่าง ๆ ทรงใช้ภาษาที่สั้น กระชับและได้ใจความชัดเจน- พระราชนิพนธ์เรื่อง “เมื่อข้าพเจ้าจากสยามสู่สวิตเซอร์แลนด์” ได้พระราชทานเป็นพิเศษแก่หนังสือวงวรรณคดี ฉบับเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2490 ใช้รูปแบบบันทึกประจำวัน ตั้แต่เสด็จฯ จากประเทศไทย
งานแปล
- ติโต เป็นผลงานแปลชิ้นแรกของพระองค์ โดยทรงแปลจาก Tito ของ Phyllis Auty ในปี พ.ศ.2519 เพื่อให้ข้าราชบริพารได้ทราบถึงบุคคลที่น่าสนใจคนหนึ่งของโลก ติโตเป็นผู้ที่ทำประโยชน์ให้ประเทศยูโกสลาเวีย ซึ่งมีประชาชนมาจากหลากหลายชนเผ่า มีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม
และประวัติศาสตร์ แต่สามารถรวมตัวกันได้เป็นปึกแผ่นในยามที่ประเทศชาติมีวิกฤติเพื่อร่วมกันรักษาความเป็นปึกแผ่น และความเจริญของประเทศไว้ หนังสือติโตนี้วางจำหน่าย ในปี พ.ศ. 2537
งานด้านดนตรี
ความสนพระราชหฤทัยด้านดนตรีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงสนพระราชหฤทัยดนตรีมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ทรงอ่านหนังสือเกี่ยวกับการดนตรีตั้งแต่ทรงศึกษาอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงได้รับการฝึกฝนตามแบบฉบับการศึกษาวิชาดนตรีอย่างแท้จริง คือการเขียนโน้ตและบรรเลงแบบคลาสสิกเครื่องดนตรีที่โปรด คือเครื่องเป่าแทบทุกชนิด เช่น แซกโซโฟน คลาริเน็ต ทรัมเป็ต
- พ.ศ. 2519 ประธานรัฐสภายุโรปและสมาชิกร่วมกันทูลเกล้าฯ ถวาย “เหรียญรัฐสภายุโรป”
- พ.ศ. 2529 ประธานคณะกรรมาธิการเพื่อสันติของสมาคมอธิการบดีระหว่างประเทศทูลเกล้าฯถวาย “รางวัลสันติภาพ”
- พ.ศ. 2530 สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ทูลเกล้าฯ ถวาย “เหรียญทองเฉลิมพระเกียรติคุณในการนำชนบทให้พัฒนา”
- พ.ศ. 2535 ผู้อำนวยการใหญ่โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ทูลเกล้าฯ ถวาย“เหรียญทองประกาศพระเกียรติคุณด้านสิ่งแวดล้อม” และผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO)ทูลเกล้าฯ ถวาย “เหรียญทองสาธารณสุขเพื่อมวลชน”
- พ.ศ. 2536 คณะกรรมการสมาคมนิเวศวิทยาเชิงเคมีสากล (International Society ofChemical Ecology) ทูลเกล้าฯ ถวาย “เหรียญรางวัลเทิดพระเกียรติในการสงวนรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ” และหัวหน้าสาขาเกษตร ฝ่ายวิชาการภูมิภาคเอเชียของธนาคารโลก ทูลเกล้าฯ ถวาย “รางวัลหญ้าแฝกชุบสำริด” สดุดีพระเกียรติคุณในฐานะที่ทรงเป็นนักอนุรักษ์ดินและน้ำ
- พ.ศ. 2537 ผู้อำนวยการบริหารของยูเอ็นดีซีพี (UNDCP) แห่งสหประชาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวาย
“เหรียญทองคำสดุดีพระเกียรติคุณด้านการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติด”
ด้านการส่งเสริมศิลปาชีพ
เป็นโครงการที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงก่อตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ยากไร้ในชนบท โดยส่งเสริมอาชีพแก่ชาวบ้าน เพื่อให้มีรายได้ทดแทนกรณีที่ผลผลิตทางการเกษตรเสียหายจากภัยธรรมชาติ โครงการส่งเสริมศิลปาชีพขยายสาขาไปทั่วประเทศ ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้งเป็นมูลนิธิ พระราชทานนามว่า"มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษในพระบรมราชินูปถัมภ์" และเมื่อ พ.ศ. 2528 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งนอกเหนือจากการส่งเสริมอาชีพแล้ว ยังเป็นการอนุรักษ์และส่งเสริมงานศิลปะหัตถกรรมพื้นบ้านในหลากหลายสาขา อาทิ การปั้น การทอ การจักสาน
ด้านการสาธารณสุข
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ยังทรงเอาพระทัยใส่ในกิจการด้านสาธารณสุขโดยได้ทรงดำรงตำแหน่งสภานายิกาสภากาชาดไทย และหากเสด็จฯ เยือนต่าประเทศ ก็มักจะทรงถือโอกาสเสด็จฯทอดพระเนตรกิจการกาชาดของประเทศนั้น ๆ เพื่อทรงนำมาปรับปรุงกิจการสภากาชาดไทยอยู่เสมอ
ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงสนพระราชหฤทัยในเรื่องการอนุรักษ์น้ำทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อให้ชุมชนอยู่ร่วมกับธรรมชาติโดยพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ทำให้ราษฎรทุกหมู่เหล่าต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ได้ร่วมแรงร่วมใจกันอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ใกล้ชุมชน เป็นผลให้ป่าไม้ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มรักษาไว้ได้มากขึ้น นอกจากนี้ได้พระราชทานแนวพระราชดำริให้ราษฎรอยู่ร่วมกับป่าไม้อย่างสันติสุข พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน โดยชุมชนหรือหมู่บ้านได้มีการจัดตั้งองค์การในการร่วมกันดูแลรักษาป่า ต้นน้ำลำธารและสภาพแวดล้อม
ด้านการทหาร
พระราชกรณียกิจด้านการทหารนั้น ทรงดำรงตำแหน่งพันเอกผู้บังคับการพิเศษ กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ ทรงให้ความสนพระทัยต่อการดำเนินงานของกรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ตลอดมา โดยผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 21 จะเข้ามาถวายรายงานถึงผลการปฏิบัติงานพร้อมกับรับพระราช-เสาวนีย์ตลอดจนคำแนะนำไปดำเนินการปฏิบัติอยู่เป็นประจำในด้านความมั่งคงของประเทศ พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมทหารที่ปฏิบัติการสู้รบต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายตามชายแดนถึงฐานปฏิบัติการต่าง ๆ
ด้านการเกษตรและชลประทาน
ในด้านการเกษตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จะทรงเน้นในเรื่องการค้นคว้าทดลอง และวิจัยหาพันธุ์พืชใหม่ ๆ ทั้งพืชเศรษฐกิจ พืชสมุนไพร รวมถึงการศึกษาเกี่ยวกับแมลงศัตรูพืชและพันธุ์สัตว์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับสภาพท้องถิ่นนั้น ๆ ซึ่งแต่ละโครงการจะเน้นให้สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง มีราคาถูก
ใช้เทคโนโลยีง่าย ๆ ไม่สลับซับซ้อน เกษตรกรสามารถดำเนินการเองได้ นอกจากนี้ ยังทรงพยายามไม่ให้เกษตรกรยึดติดกับพืชผลทางการเกษตรเพียงอย่างเดียว เพราะอาจเกิดปัญหาอันเนื่องมาจากความแปรปรวนของสภาพดินฟ้าอากาศ หรือความแปรปรวนทางการตลาด แต่เกษตรกรควรจะมีรายได้จากด้านอื่นนอกเหนือไปจากการเกษตรเพิ่มขึ้นด้วย เพื่อจะได้พึ่งตนเองได้ในระดับหนึ่ง
ด้านการศึกษา
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถสนพระราชหฤทัยในด้านการศึกษาและทรงยึดมั่นในคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า "ปัญญาทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์" สติปัญญาเกิดขึ้นได้ด้วยการศึกษาหาความรู้โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการอ่านหนังสือพระราชกรณียกิจด้านการศึกษานานัปการ
ที่พระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทยนั้นประกอบด้วยทรงส่งเสริมการศึกษาในระบบโรงเรียน เช่น พระราชทานทุนการศึกษาแก่นักเรียน สร้างโรงเรียน พระราชทานพระราชทรัพย์อุดหนุนโรงเรียน พระราชทานอุปกรณ์การเรียน ทรงรับโรงเรียนไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมโรงเรียน เป็นต้น ด้านการศึกษานอกโรงเรียน เช่น ทรงสอนหนังสือชาวบ้าน ทรงสร้างศาลาร่วมใจ
ด้านการศาสนา
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นพุทธมามะกะและเป็นอัคร-ศาสนูปถัมภก ประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพในการนับถือศาสนาตามที่ตนเชื่อและศรัทธา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงตระหนักว่าศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจมนุษย์มิให้ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่เป็นความชั่ว และเป็นแนวทางให้มนุษย์เลือกกระทำแต่ความดี
สงครามเย็น
เป็นลักษณะการเผชิญหน้า ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง คำว่าสงครามเย็นเป็นคำใหม่ ที่เกิดขึ้นก่อนสงครามยุติลง และเรียกต่อมาเป็นการอธิบายลักษณะความตึงเครียดระหว่างประเทศ หรือระหว่างกลุ่มที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีการจับอาวุธขึ้นต่อสู้ เพราะถ้ามีการใช้อาวุธ สถานการณ์จะเปลี่ยนไปเป็นสงครามร้อน (hot war) ซึ่งจะมีขอบเขตกว้างขวางและก่ออันตรายอย่างใหญ่หลวงแก่มนุษยชาติ วิธีการที่ใช้มากในสงครามเย็น คือ การโฆษณาชวนเชื่อ สงครามจิตวิทยา การแข่งขันกันทางกำลังอาวุธ และการสร้างความนิยมลัทธิของตน ในประเทศเล็กๆ ที่อาจถูกรวมเข้ามาเป็นประเทศบริวารของแต่ละฝ่ายสมัยเริ่มต้นสงครามเย็น น่าจะอยู่ในสมัยวิกฤตการณ์ทางการทูตในตอนกลางและปลาย ค.ศ. 1947เมื่อสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตเกิดขัดแย้งเรื่องการจัดตั้องค์การสันติภาพในตุรกี ยุโรปตะวันออกและเยอรมนี ซึ่งทำให้สหรัฐอเมริกาเริ่มตระหนักว่าเป็นหน้าที่ของตน ที่จะต้องเป็นผู้นำต่อต้าน แผนการยึดครองโลกของสหภาพโซเวียต ที่เป็นผู้นำฝ่ายคอมมิวนิสต์