ความสัมพันธ์ของการค้าระหว่างประเทศมีวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปจากการค้าในอดีต ทั้งในรูปแบบทางการค้า ขอบข่ายกิจกรรมทางการค้า ประเทศคู่ค้าและ
เทคโนโลยีสารสนเทศที่อำนวยความสะดวกทางการค้า การเจรจาทางการค้าเป็นเรื่องสำคัญ และเป้าหมายหลักของผู้เจรจาทางการค้าที่มาจากภาครัฐ คือ เพื่อสิทธิประโยชน์ทางการค้าของชาติตนเอง เนื่องจากการแข่งขันทางการค้า ประเทศต่าง ๆ จึงมีนโยบายและมาตรการที่ใช้บิดเบือนทางการค้า ซึ่งทำให้การค้าระหว่างประเทศขาดความเป็นธรรมและขาดความเป็นเสรี การเจรจาทางการค้านั้น มุ่งหวังว่าจะเป็นการแลกเปลี่ยนหรือลดหย่อนสิทธิพิเศษทางการค้า
1. ข้อตกลงการให้สิทธิพิเศษทางศุลกากร (Preferential Tariff Agreement) เป็นข้อตกลงเพื่อลดภาษีให้แก่กันและกัน โดยอัตราภาษีที่เรียกเก็บจะน้อยกว่าอัตราภาษีที่เรียกเก็บจากประเทศที่สาม เช่นการรวมตัวกันของกลุ่ม LAIA (Latin American Integration Association) , ASEAN และ Trade Expansionand Cooperation Agreement เป็นต้น
2. สหภาพศุลกากรบางส่วน (Partial Customs Union) การรวมตัวทางเศรษฐกิจในรูปแบบนี้ประเทศที่ทำข้อตกลงกันยังคงอัตราภาษีไว้ในระดับเดิม แต่มีการกำหนดอัตราภาษีศุลกากรในการค้ากับประเทศภายนอกกลุ่มร่วมกัน
3. เขตการค้าเสรี (Free Trade Areas) ในเขตการค้าเสรี การซื้อขายสินค้าและบริการระหว่างประเทศภาคี สามารถทำได้อย่างเสรีปราศจากข้อกีดกันทางการค้า ทั้งมาตรการทางภาษีและมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี ในขณะเดียวกันแต่ละประเทศสมาชิกยังคงสามารถดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้ากับประเทศนอกกลุ่มได้อย่างอิสระ เช่น การรวมตัวกันของกลุ่ม EFTA , NAFTA และ CER เป็นต้น
4. สหภาพศุลกากร (Customs Union) เป็นรูปแบบของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่มีระดับความเข้มข้นสูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง โดยการรวมกลุ่มในลักษณะนี้ นอกจากจะขจัดข้อกีดกันทางการค้าออกไปแล้วยังมีการกำหนดพิกัดอัตราภาษีศุลกากรในการค้ากับประเทศภายนอกกลุ่มร่วมกัน และให้มีอัตราเดียวกันด้วย
5. ตลาดร่วม (Common Market) รูปแบบของการรวมกลุ่มประเภทนี้ นอกจากจะมีลักษณะเหมือนกับสหภาพศุลกากรแล้ว การเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิต (แรงงาน ทุน และเทคโนโลยี) สามารถทำได้อย่างเสรี เช่น การรวมตัวกันของกลุ่ม EU ก่อนปี 1992
6. สหภาพทางเศรษฐกิจ (Economic Union) นอกจากจะมีการค้าเสรี การเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิตอย่างเสรี และนโยบายการค้าร่วมแล้ว ยังมีการประสานความร่วมมือกันในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจทั้งนโยบายการเงิน และการคลังอีกด้วย เช่น การรวมตัวของกลุ่ม EU ในปัจจุบัน
7. สหภาพทางเศรษฐกิจแบบสมบูรณ์ (Total Economic Union) เป็นการรวมตัวทางเศรษฐกิจ
ที่มีความเข้มข้นมากที่สุด จะมีการจัดตั้งรัฐบาลเหนือชาติ และมีนโยบายทางเศรษฐกิจเดียวกัน
แกตต์หรือองค์การการค้าโลก (WTO) ในปัจจุบันมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญประการหนึ่งคือ ต้องการให้การค้าโลกดำเนินไปอย่างเสรี บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกัน คือ ไม่มีการเลือกปฏิบัติระหว่างประเทศภาคีสมาชิกการจัดตั้งกลุ่มเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคไม่ว่าจะอยู่ในรูปทวิภาคีหรือพหุภาคีความเป็นเสรีทางการค้า
WTO จะเห็นได้ว่า การรวมกลุ่มหรือการทำความตกลงทางการค้าระดับภูมิภาคเช่นนี้เป็นสิ่งที่ดำเนินการได้ ถือว่าเป็น “ข้อยกเว้น” อย่างหนึ่งของ WTO ที่ประเทศภาคีสมาชิกสามารถเลือกปฏิบัติได้ระหว่างประเทศในกลุ่มกับประเทศนอกกลุ่ม
1. กลุ่มอาเซียน หรือ สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian
Nations : ASEAN) ประกอบด้วย 6 ประเทศ ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บรูไน และไทยสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซียองค์กรนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี สังคมและวัฒนธรรม
2. กลุ่มเอเปค (Asia-Pacific Economic Cooperation : APEC) ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ นิวซีแลนด์ มาเลเซีย ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย แคนาดาบรูไน ออสเตรเลีย และไทยองค์กรนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือในการแก้ปัญหาร่วมกัน ส่งเสริมการค้าเสรี ตลอดจนการปรับปรุงแบบแผนการติดต่อการค้าระหว่างกัน และเพื่อตั้งรับการรวมตัวเป็นตลาดเดียวกันระหว่างประเทศสมาชิก
3. คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (Economic and SocialCommission for Asia and pacific : ESCAP)องค์กรนี้เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยองค์การสหประชาชาติ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมความร่วมมือ
ในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสมาชิกที่อยู่ในเอเชียและแปซิฟิก
4. ข้อตกลงทั่วไปว่าด้วยภาษีศุลกากรและการค้า (General Agreement of Tariffs and Trade :GATT) องค์กรนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมระบบการค้าเสรีและส่งเสริมสัมพันธ์ภาพทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ประเทศไทย มีการผลิตสินค้าที่ส่งออกขายทั่วโลก สินค้าเกษตรส่งออกสำคัญที่นำรายได้เข้าประเทศ
สูงสุด 10 อันดับแรก ได้แก่ ยางพาราและผลิตภัณฑ์ ข้าวและผลิตภัณฑ์ ปลาและผลิตภัณฑ์ กุ้งและผลิตภัณฑ์ไม้และผลิตภัณฑ์ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ น้ำตาลและผลิตภัณฑ์ ผลไม้และผลิตภัณฑ์กระดาษและผลิตภัณฑ์เนื้อไก่
ญี่ปุ่น การส่งออกของญี่ปุ่นสินค้าส่งออกของญี่ปุ่นที่สำคัญเป็นประเภทยานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่งเครื่องจักร และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เรือ ผลิตภัณฑ์เภสัชกรรม เครื่องสำอาง รถไฟ/รถรางและอุปกรณ์ รวมถึงผลิตภัณฑ์จากกระดาษ เช่น การบรรจุภัณฑ์
สิงคโปร์ ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติของตนเอง ไม่มีแร่ธาตุใดๆ แม้กระทั่งน้ำจืดยังไม่มีเพียงพอ
สาธารณรัฐประชาชนลาว สินค้าส่งออกของลาว ได้แก่ ไม้และไม้แปรรูป สินค้าประมงและสัตว์แร่ธาตุ สินค้าการเกษตร เช่น ชา กาแฟ เครื่องเทศ ฯลฯ เครื่องนุ่งห่ม พาหนะและอะไหล่ หนังสัตว์และผลิตภัณฑ์หนังฟอก
สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า (เมียนมาร์) รัฐบาลพม่าประกาศนโยบายตั้งแต่เข้ายึดอำนาจการปกครองใหม่ ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจพม่าจากระบบวางแผนส่วนกลาง (Centrally-planned economy)เป็นระบบตลาดเปิดประเทศ รองรับและส่งเสริมการลงทุนจากภายนอก ส่งเสริมการส่งออก การท่องเที่ยว และขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับภูมิภาค
ประเทศจีน มีประชากรมาก และอาณาเขตกว้างขวางเป็นที่สองของโลก ผลผลิตต่าง ๆ ส่วนใหญ่เพื่อเลี้ยงชีพคนในประเทศ แต่อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้กำหนดนโยบายเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจให้สามารถส่งออกไปยังนานาประเทศได้ โดยเน้นศักยภาพของพลเมืองเป็นสำคัญ เช่น ทางตะวันตกเฉียงเหนือ มีแร่เหล็กมากก็จะเน้นการเจริญเติบโตด้านการผลิตเหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเหล็ก