ซึ่งไทยปกครองในฐานะประเทศราชในปี พ.ศ. 2406 (ไทยตกลงยอมสละอำนาจเหนือเขมรส่วนนอกอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2410) จากนั้นจึงได้ขยายดินแดนในเวียดนามต่อจนกระทั่งสามารถยึดเวียดนามได้ทั้งประเทศในปี พ.ศ. 2426 พรมแดนของสยามทางด้านประเทศราชลาวจึงประชิดกับดินแดนอาณานิคมของ
ฝรั่งเศสอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในระยะเวลาเดียวกัน ในประเทศจีนได้เกิดเหตุการณ์กบฏไท่ผิงต่อต้านราชวงศ์ชิงกองกำลังกบฏชาวจีนฮ่อที่แตกพ่ายได้ถอยร่นมาตั้งกำลังซ่องสุมผู้คนอยู่ในแถบมนฑลยูนนานของจีน ดินแดนสิบสองจุไทยและ
ตามแนวชายแดนประเทศราชลาวตอนเหนือ กองกำลังจีนฮ่อได้ทำการปล้นสะดมราษฎรตามแนวพื้นที่ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง สร้างปัญหาต่อการปกครองของทั้งฝ่ายไทยและฝรั่งเศสอย่างยิ่ง เพราะส่งกำลังไปปราบปรามหลายครั้งก็ยังไม่สงบ เฉพาะกับอาณาจักรหลวงพระบางนั้น ทางกรุงเทพถึงกัต้องปลดพระเจ้ามหินทรเทพนิภาธรเจ้าผู้ครองนครหลวงพระบางออกจากตำแหน่ง เนื่องจากไม่สามารถรักษาเมืองและปล่อยให้กองทัพฮ่อเข้าปล้นสะดมและเผาเมืองหลวงพระบางลงและตั้งเจ้าคำสุกขึ้นเป็นพระเจ้าสักรินทรฤทธิ์ปกครองดินแดนแทนไทย (หรือสยามในเวลานั้น) จึงร่วมกับฝรั่งเศสปราบฮ่อจนสำเร็จ โดยทั้งสองฝ่ายไล่ตีกองกำลังจีนฮ่อจากอาณาเขตของแต่ละฝ่ายให้มาบรรจบกันที่เมืองแถง (เดียนเบียนฟูในปัจจุบัน) แต่ก็เกิดปัญหาใหม่ คือฝ่ายฝรั่งเศสฉวยโอกาสอ้างสิทธิปกครองเมืองแถงและสิบสองจุไทย โดยไม่ยอมถอนกำลังทหารออกจากเมืองแถงเพราะอ้างว่าเมืองนี้เคยส่งส่วยให้เวียดนามมาก่อน ปัญหาดังกล่าวนี้มีที่มาจากภาวะการเป็นเมืองสองฝ่ายฟ้าของเมืองปลายแดน ซึ่งจะส่งส่วยให้แก่รัฐใหญ่ทุกรัฐที่มีอิทธิพลของตนเองเพื่อความอยู่รอดพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) แม่ทัพฝ่ายไทย เห็นว่าถ้าตกลงกับฝรั่งเศสไม่ได้จะทำให้ปัญหาโจรฮ่อบานปลายแก้ยาก จึงตัดสินใจทำสัญญากับฝรั่งเศสในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2431 ให้ฝ่ายไทยตั้งกำลังทหารที่เมืองพวน (เชียงขวาง) ฝรั่งเศสตั้งกำลังทหารที่สิบสองจุไทยส่วนเมืองแถงเป็นเขตกลางให้มีทหารของทั้งสองฝ่ายดูแลจนกว่ารัฐบาลทั้งสองชาติจะเจรจาเรื่องปักปันเขตแดนได้ผลจากสนธิสัญญานี้แม้จะทำให้ฝ่ายไทยร่วมมือปราบฮ่อกับฝรั่งเศสจนสำเร็จ และสามารถยุติความขัดแย้งเรื่องแคว้นสิบสองจุไทยเมืองพวน และหัวพันทั้งห้าทั้งหกยุติลงไปชั่วคราว แต่ก็ต้องเสียดินแดนสิบสองจุไทยโดยปริยายไป
บริษัทอิสต์อินเดียของอังกฤษเข้ามาทำการค้าในประเทศอินเดีย เป็นประวัติศาสตร์ที่ศูนย์อำนาจ
ชาวอังกฤษที่เข้ามาสู่อินเดียนั้นมาในนามของพ่อค้า ความจริงแล้วมีหลายชาติที่เข้ามาทำการค้ากับอินเดีย
ที่สำคัญ เช่น ชาวโปรตุเกส ชาวฮอลันดา ชาวฝรั่งเศส เป็นต้น
โปรตุเกส นับเป็นยุโรปชาติแรก ๆ ที่เข้ามาทำการค้าบนแผ่นดินอินเดีย นับตั้งแต่วัสโกดากามา
เดินทางมาถึงเมืองกาลิกัตทางตะวันตกของอินเดีย ตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 และสามารถสร้างเมืองท่า
ของตัวเองขึ้นเป็นผลสำเร็จที่เมืองกัว (Goa) หลังจากชาวโปรตุเกสแล้ว ก็มีชาวฮอลันดาและชาวฝรั่งเศส
ส่วนอังกฤษนั้นเข้ามาในภายหลังเมื่อชาวโปรตุเกส ฮอลันดา และฝรั่งเศสได้มีกิจการที่อินเดียอยู่ก่อนแล้ว และ
นำศาสนาคริสต์มาเผยแผ่ในอินเดียด้วย
สรุปสาระสำคัญของสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ได้ดังนี้
1. ให้คนในบังคับอังกฤษอยู่ภายใต้การควบคุมของกงสุลอังกฤษ ทำให้คนในบังคับอังกฤษไม่ต้องขึ้นศาลไทย
2. ยกเลิกพระคลังสินค้า ให้คนในบังคับของอังกฤษได้รับสิทธิในการค้าเสรีในทุกเมืองท่า สามารถซื้อขายสินค้าได้โดยตรงกับธุรกิจเอกชนของไทย
3. กำหนดอัตราภาษีศุลกากรขาเข้าของสินค้าทุกชนิดในอัตราร้อยละ 3 นอกจากภาษีศุลกากรห้ามเก็บค่าธรรมเนียมและอากรอื่น ๆ จากพ่อค้าของประเทศคู่สัญญา นอกจากได้รับความเห็นชอบจากสถานกงสุล
4. อังกฤษเป็นประเทศที่ได้รับการอนุเคราะห์จากไทย หมายความว่า ถ้าฝ่ายไทยยอมให้สิ่งใด ๆแก่ชาติอื่น ๆ นอกเหนือไปจากสัญญานี้ ไทยก็ต้องยอมมอบให้อังกฤษเช่นกัน
5. ข้าวเป็นสินค้าหลัก รัฐบาลไทยสงวนสิทธิการส่งออกข้าว ปลา และเกลือ ในยามที่ไทยขาดแคลน
6. ห้ามมีการเปลี่ยนแปลงสัญญานี้จนกว่าจะใช้ไปครบ 10 ปี และถ้าต้องการแก้ไขเปลี่ยนแปลงต้องแจ้งให้คู่สัญญาทราบล่วงหน้า 1 ปี โดยทั้งสองฝ่ายต้องยินยอม
ในการนี้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเซอร์จอห์น เบาว์ริ่งเป็น “พระยาสยามมานุกูลกิจสยามมิตรมหายศ” เป็นการแสดงถึงพระราชไมตรีอันดีที่ไทยมีต่อรัฐบาลอังกฤษอีกด้วย
1. การสูญเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตส่งผลให้รัฐบาลไทยพยายามปรับปรุงแก้ไขระบบกฎหมายและการศาลไทยที่ตะวันตกไม่ยอมรับเพราะขาดความเป็นสากล อีกทั้งระเบียบการพิจารณาคดีและวิธีการลงโทษแบบรุนแรงตามจารีตเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาบ้านเมืองอย่างยิ่ง
2. การเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจของไทยการทำสนธิสัญญเบาว์ริ่ง ทำให้ระบบการค้าแบบผูกขาดสิ้นสุดลง นำไปสู่การที่ไทยต้องเปิดประเทศสู่การค้าเสรีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจ ดังนี้
2.1 การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสินค้าเข้า และสินค้าออกของไทย กล่าวคือ ก่อนทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งไทยส่งสินค้าออกหลายชนิด แต่เมื่อมีการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งแล้วไทยมีสินค้าส่งออกที่สำคัญเพียงไม่กี่ชนิด โดยสินค้าออกที่สำคัญของไทยหลังสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ได้แก่ ข้าว ยางพารา และดีบุก ส่วนสินค้านำเข้าจากเดิมมีอยู่ไม่กี่ชนิด ส่วนใหญ่เป็นประเภทสินค้าฟุ่มเฟือยที่ตอบสนองความต้องการของชนชั้นสูงก็เปลี่ยนเป็นสินค้าหลากหลายชนิดเพื่อให้คนทั่วไปใช้อุปโภคบริโภค
2.2 การเปลี่ยนแปลงวิธีการผลิตสินค้าทำให้ประเทศไทยต้องเปลี่ยนจากการผลิตเพื่อเลี้ยงชีพมาทำหน้าที่ผลิตสินค้าเฉพาะ ที่ถูกกำหนดตามความต้องการของตลาดโลก ซึ่งข้าวกลายเป็นสินค้าสำคัญจึงเกิดการขยายพื้นที่เพาะปลูก และใช้แรงงานคนมากขึ้น ดังนั้น รัฐจึงสนับสนุนให้ประชาชนเพาะปลูกข้าวมากขึ้นโดยวิธีการต่าง ๆ เช่น การขุดคลอง ลดภาษีค่านา ลดการเกณฑ์แรงงาน มีการใช้แรงงานจีนช่วยเสริมกำลังการผลิต และเกิดการจ้างแรงงานเพื่อช่วยในการทำนา
2.3 การค้าระหว่างประเทศขยายตัวมากยิ่งขึ้น เศรษฐกิจของไทยพึ่งพิงต่างประเทศมากยิ่งขึ้น และเกิดระบบเงินตรา เนื่องจากการค้าที่ขยายตัวเงินพดด้วงไม่เพียงพอ จึงมีการผลิตเหรียญกษาปณ์ในสมัยรัชการที่ 4 และการผลิตธนบัตร ในสมัยรัชการที่ 5 ต่อมา
2.4 การลงทุนและพัฒนาการด้านอุตสาหกรรม ด้วยการใช้เทคโนโลยีจากตะวันตกโดยมีนายทุนจากยุโรปและจีนได้ลงทุนอุตสาหกรรม เช่น ไม้สัก มีการลงทุนทำไม้สักทางภาคเหนือ การทำเหมืองแร่ดีบุกในภาคใต้ การทำโรงสีไฟ อู่ต่อเรือสมัยใหม่
3. การเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมเนื่องจากระบบการค้าเสรีส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คนในสังคม ระบบไพร่ - ทาส ไม่ได้เอื้อต่อระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่นำไปสู่กระบวนการยกเลิกทาสและไพร่ในการต่อมาจึงทำให้ระบบความสัมพันธ์ของ
ผู้คนในสังคมเปลี่ยนแปลงไป
ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้าตามแบบตะวันตก โดยการปรับปรุงระบบการบริหารราชการแผ่นดินครั้งใหญ่ ซึ่งเป็น
รากฐานที่สำคัญและส่งผลมาถึงปัจจุบัน การปฏิรูปประเทศมี 3 ด้าน ได้แก่
1) การปฏิรูปด้านการเมืองการปกครอง
2) การปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ และ
3) การปฏิรูปด้านสังคม
ด้านการเมืองการปกครอง
1. มูลเหตุภายใน ทรงพิจารณาเห็นว่าการปกครองแบบเดิมไม่เหมาะสมกับสภาพทางการปกครองและทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ประเทศไทยมีประชากรเพิ่มขึ้น การคมนาคมและการติดต่อสื่อสาร
2. มูลเหตุภายนอก ทรงพิจารณาเห็นว่า หากไม่ทรงปฏิรูปการปกครองแผ่นดินย่อมจะเป็นอันตรายต่อเอกราชของชาติ เพราะขณะนั้น จักรวรรดินิยมตะวันตก ได้เข้ามาแสวงหาอาณานิคมในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนั้น แต่เดิมเราต้องยินยอมให้ประเทศตะวันตกหลายประเทศมีสิทธิภาพนอกอาณาเขต คือ สามารถตั้งศาลกงสุลขึ้นมาพิจารณาความคนในบังคับของตนได้ โดยไม่ต้องอยู่ใต้การบังคับของศาลไทย เพราะอ้างว่า ศาลไทยล้าสมัย
ด้านเศรษฐกิจ
สมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงเห็นว่าถึงแม้รายได้ของแผ่นดินจะเพิ่มพูนมากขึ้นอันเป็นผลมาจากระบบเศรษฐกิจเปลี่ยนไป แต่การที่ระบบการคลังของแผ่นดินยังไม่รัดกุมพอ ทำให้เกิดการรั่วไหลได้ง่าย จึงทรงจัดการปฏิรูปการคลังโดยจัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้น เพื่อปรับปรุงและจัดระบบภาษีให้ทันสมัย
ด้านสังคม
สมัยรัชกาลที่ 5 ประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดยมีสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม ดังนี้
1. สาเหตุภายนอก
- การคุกคามของมหาอำนาจตะวันตกรัชกาลที่ 5 จึงทรงผ่อนปรนต่อการบีบบังคับของประเทศตะวันตกและเร่งปรับปรุงภายในประเทศให้เจริญก้าวหน้าขึ้น
- การรับอิทธิพลแนวความคิดแบบตะวันตก โดยการเรียนรู้และศึกษาศิลปะวิทยาการตลอดจนแนวความคิดแบบตะวันตกมากขึ้น
- การเสด็จประพาสประเทศใกล้เคียง ทำให้เห็นความเจริญของประเทศเหล่านี้ จึงได้ทรงปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้เจริญทัดเทียมประเทศเพื่อนบ้าน
2. สาเหตุภายใน
- การมีระบบไพร่และทาสทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในสังคม
- รัชกาลที่ 5 ทรงเห็นว่าการเกณฑ์แรงงานของไพร่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่
- การมีไพร่อยู่ในความดูแลเป็นจำนวนมาก อาจทำให้ขุนนางผู้ใหญ่ใช้เป็นฐานกำลัง เพื่อแย่งชิงอำนาจทางการเมือง และล้มล้างพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ได้
- การมีระบบทาสทำให้ชาติตะวันตกดูถูกว่าเมืองไทยเป็นเมืองเถื่อนและอาจใช้เป็นข้ออ้างเข้ายึดครองประเทศได้
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีแนวความคิดในการปฏิรูปการปกครอง 3 ประการ คือ
1. การรวมอำนาจเข้าสู่ส่วนกลางมากขึ้นทั้งนี้เพื่อมิให้ชาติตะวันตกอ้างเอาดินแดนไปยึดครองอีก
ถ้าอำนาจของรัฐบาลกลางแผ่ไปถึงอาณาเขตใดก็เป็นการยืนยันว่าเป็นอาณาเขตของประเทศไทย
2. การศาลและกฎหมายที่มีมาตรฐานจากการยอมเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตในรัชกาลที่ 4
เป็นเพราะประเทศอาณานิคมอ้างว่าศาลไทยไม่มีคุณภาพ ไม่ได้มาตรฐาน ดังนั้น รัชกาลที่ 5 จึงทรง
พระราชดำริที่จะปรับปรุงการศาลยุติธรรมและกฎหมายไทยให้เป็นสากลมากขึ้น
3. การพัฒนาประเทศพระองค์ทรงริเริ่มนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาใช้เพื่อพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ
เช่น สร้างถนน ขุดคูคลอง จัดให้มีการปกครองไฟฟ้า ไปรษณีย์ โทรเลข รถไฟ เป็นต้น
1. การปกครองส่วนกลาง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังทรงแต่งตั้ง "สภาที่ปรึกษาในพระองค์" ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนเป็น "รัฐมนตรีสภา" ประกอบด้วย เสนาบดี หรือผู้แทนกับผู้ที่โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง รวมกันไม่น้อยกว่า12คน ยังทรงแต่งตั้ง "องคมนตรีสภา" ขึ้นอีก ประกอบด้วยสมาชิกเมื่อแรกตั้งถึง 49 คน ภายหลังได้ยุบกระทรวงยุทธนาธิการไปรวมกับกระทรวงกลาโหมและยุบกระทรวงมุรธาธิการไปรวมกับกระทรวงวัง คงเหลือเพียง 10 กระทรวงเสนาบดีทุกกระทรวงมีฐานะเท่าเทียมกัน
2. การปกครองส่วนภูมิภาค ตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ ร.ศ. 116 ขึ้น เพื่อจัดการปกครองเป็นมณฑลเมือง อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน ดังนี้
1. ให้จัดระเบียบบริหารราชการหัวเมืองใหม่ ให้ยกเลิกเมืองพระยามหานคร ชั้นเอก โท ตรีจัตวา และหัวเมืองประเทศราช โดยจัดเป็นมณฑลเทศาภิบาล ให้อยู่ในความดูแลของกระทรวงมหาดไทยเพียงกระทรวงเดียว มณฑลเทศาภิบาล ประกอบด้วยเมืองตั้งแต่ 2 เมืองขึ้นไป มีสมุหเทศาภิบาลที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งไปปกครองดูแลต่างพระเนตรพระกรรณ
2. เมือง ประกอบด้วยอำเภอหลายอำเภอ มีผู้ว่าราชการเมืองเป็นผู้รับผิดชอบขึ้นตรงต่อข้าหลวงเทศาภิบาล
3. อำเภอ ประกอบด้วยท้องที่หลาย ๆ ตำบล มีนายอำเภอเป็นผู้รับผิดชอบ
4. ตำบล ประกอบด้วยท้องที่ 10 - 20 หมู่บ้านมีกำนันซึ่งเลือกตั้งมาจากผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้รับผิดชอบ
5. หมู่บ้าน ประกอบด้วยบ้านเรือนประมาณ 10 บ้านขึ้นไป มีราษฎรอาศัยประมาณ 100 คนเป็นหน่วยปกครองที่เล็กที่สุด มีผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้รับผิดชอบต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ยกเลิก มณฑลเทศาภิบาลและเปลี่ยน เมือง เป็น จังหวัด
3. การปกครองส่วนท้องถิ่น การปกครองส่วนท้องถิ่น หมายถึง การให้ประชาชนในท้องที่แต่ละแห่งได้มีโอกาสปกครองและบริหารงานในท้องที่ที่ตนอาศัยอยู่ เพื่อฝึกฝนให้บุคคลในท้องที่รู้จักพึ่งพาและช่วยเหลือตนเองโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ และบางส่วนมาจากการให้ความช่วยเหลือของรัฐบาลกลาง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเป็นการวางรากฐานการปกครองตนเองตามระบอบประชาธิปไตยในระดับท้องถิ่นใน พ.ศ. 2440 โปรดเกล้าให้ตรา พ.ร.บ. ลักษณะการปกครองท้องที่ ร.ศ.116 โดยรัฐบาลให้สิทธิประโยชน์ในการเลือกผู้ใหญ่บ้านเป็นหัวหน้าปกครองประชาชนในหมู่บ้าน และให้ผู้ใหญ่บ้านมีสิทธิเลือกกำนัน
เป็นหัวหน้าปกครองในตำบลของตน การเลือกกำนันผู้ใหญ่บ้านยังเป็นระบบการปกครองส่วนท้องถิ่นที่ใช้กันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันการจัดสุขาภิบาล ใน พ.ศ. 2440 เริ่มจัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อทำหน้าที่รักษา
ความสะอาด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในชุมชน การป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ เป็นต้น ต่อมาจึงขยายงานเป็นกรมสุขาภิบาลสังกัดอยู่ในกระทรวงนครบาล สำหรับต่างจังหวัด เริ่มจัดตั้งสุขาภิบาลเป็นแห่งแรกที่ ตำบล-ท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ประเทศไทยเริ่มต้นพัฒนาทางเศรษฐกิจ เพราะเป็นผลมาจากการติดต่อกับต่างประเทศอย่างกว้างขวาง โดยมีการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ มีดังต่อไปนี้
1. การปฏิรูปด้านการคลังรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้นในปี พ.ศ. 2416ในพระบรมมหาราชวังทำหน้าที่รับผิดชอบรวบรวมเงินภาษีอากรทุกชนิดนำส่งพระคลังมหาสมบัติ ทำบัญชีรวบรวมผลประโยชน์ ตรวจตราการเก็บภาษีอากรของหน่วยราชการต่าง ๆ ให้เรียบร้อยรัดกุมรับผิดชอบการจ่ายเงินเดือนในอัตราที่แน่นอนให้กับข้าราชการฝ่ายพลเรือนและทหารเฉพาะในส่วนกลางแทนการจ่ายเบี้ยหวัดและเงินปี
2. การปฏิรูประบบเงินตรา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปฏิรูประบบเงินตรา ดังนี้
2.1 การประกาศกำหนดมาตราเงินใหม่ ให้มีเพียง 2 หน่วย คือ บาทกับสตางค์ สตางค์ที่ออกมาใช้ครั้งแรก มี 4 ขนาด คือ 20, 10, 5 และ 2 สตางค์ครึ่ง และประกาศยกเลิกใช้เงินพดด้วง
2.2 การออกธนบัตรประกาศใช้พระราชบัญญัติธนบัตร จัดตั้งกรมธนบัตรขึ้น เพื่อทำหน้าที่ออกธนบัตรให้ได้มาตรฐาน
2.3 เปรียบเทียบค่าเงินไทยกับมาตรฐานทองคำ
3. การตั้งธนาคารมีบุคคลคณะหนึ่งร่วมมือก่อตั้งธนาคารของไทยแห่งแรกเรียกว่าบุคคลัภย์(Book Club)
4. การทำงบประมาณแผ่นดิน ใน พ.ศ. 2439 รัชกาลที่ 5 โปรดให้มีการจัดทำงบประมาณแผ่นดินขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อให้การรับจ่ายของแผ่นดินมีความรัดกุม
5. การปรับปรุงทางด้านการเกษตรและการชลประทานมีการขุดคลองเก่าบางแห่งและขุดคลองใหม่อีกหลายแห่ง เช่น คลองนครเนื่องเขต คลองดำเนินสะดวก คลองประเวศบุรีรมย์ คลองเปรมประชา คลองทวีวัฒนา สร้างประตูระบายน้ำ
1. ทรงยกเลิกระบบไพร่ ซึ่งเป็นระบบที่ทางราชการเกณฑ์ประชาชนไปทำงานให้แก่ขุนนาง
2. ทรงเลิกทาส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่าการมีทาสทำให้ประเทศชาติล้าหลัง ขึ้นเมื่อพ.ศ. 2417
3. ปฏิรูปการศึกษา การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญในการพัฒนาประเทศ จึงทรงมุ่งพัฒนาการศึกษาของ
ไทยให้มีความเจริญรุ่งเรืองและเพื่อให้ประชาชนสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข
4. ทรงยกเลิกประเพณีวัฒนธรรมที่ล้าสมัย ดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงประเพณีการสืบสันตติวงศ์ รัชกาลที่ 5
- การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการแต่งกาย ทรงผมโปรดให้ชายไทยในราชสำนัก เลิกไว้ผมทรงมหาดไทยเปลี่ยนเป็นไว้ผมตัดยาวทั้งศีรษะอย่างฝรั่ง ผู้หญิงโปรดให้เลิกไว้ผมปีก ให้ไว้ผมยาวทรงดอกกระทุ่ม
- การเปลี่ยนแปลงประเพณีการเข้าเฝ้าโปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกประเพณีการหมอบคลานในเวลาเข้าเฝ้า แต่ให้ใช้วิธีถวายคำนับแทนและให้นั่งเก้าอี้ ไม่ต้องนั่งกับพื้น
- การใช้ศักราชและวันทางสุริยคติในทางราชการโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ ร.ศ. (รัตนโกสินทร์ศก)แทน จ.ศ. (จุลศักราช) ซึ่งใช้มาตั้งแต่สมัยอยุธยาโดยเริ่มใช้ ร.ศ. ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2431 เป็นต้นไปเริ่ม ร.ศ. 1 ตั้งแต่ปี 2325 ซึ่งเป็นปีที่สถาปนากรุงรัตนโกสินท
สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นเหตุการณ์ที่ไทยได้เข้าสู่ประชาคมนานาชาติ
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงใช้สัญลักษณ์และสร้างสถาบันเพื่อเป็นเครื่องมือ ในการสร้างความเป็นชาติ และเกียรติภูมิของคนไทยให้ปรากฎสู่สายตาประชาคมโลก พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯให้ประดิษฐ์ธงชาติใหม่ ในปี พ.ศ. 2460 ซึ่งมีลักษณะเป็นธง 3 สี ประกอบด้วย สีแดง สีขาว สีน้ำเงิน เพื่อเป็นเครื่องหมายแทนสถาบันสูงสุดของไทย คือชาติศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยพระราชทานชื่อว่า “ธงไตรรงค์” และนำไปใช้ในหน่วยงาน กรม กอง ต่าง ๆ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้คนไทยสำนึกในหน้าที่ รักษาชื่อเสียงเกียรติยศของหมู่คณะ
ในขณะที่มหาอำนาจฝ่ายสัมพันธมิตรกำลังเพลี่ยงพล้ำ โดยเฉพาะฝรั่งเศสที่ต้องยอมแพ้ต่อเยอรมนีวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2483 จึงเป็นโอกาสให้ไทยซึ่งมีแนวคิดชาตินิยมเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศสและได้เกิดเป็นกรณีพิพาทจนเกิดเป็นสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส โดยฝรั่งเศสเข้ามาทิ้งระเบิด
สนามบิน ที่จังหวัดปราจีนบุรี รวมทั้งระดมยิงปืนใหญ่เข้ามาในฝั่งไทย ในวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483ฝรั่งเศส ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดจังหวัดนครพนม และฝ่ายไทยก็ได้ส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดที่พักทหารฝรั่งเศสในวันเดียวกัน หลังจากนั้นก็มีการต่อสู้กันเรื่อยมาจนฝ่ายไทยสามารถเข้ายึดดินแดนบางส่วนของกัมพูชา และลาวจากฝรั่งเศสมาได้ กรณีพิพาทครั้งนี้ ญี่ปุ่นเข้าแทรกแซงโดยเสนอตนเป็นผู้ไกล่เกลี่ย และการลงนามในอนุสัญญาโตเกียว เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ.2484 ส่งผลให้ฝรั่งเศสต้องยอมยกดินแดนบางส่วนของอินโดจีนรวมทั้งดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงที่ฝรั่งเศสยึดไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 คืนแก่ไทยด้วย
ขบวนการเสรีไทยที่เกิดขึ้นในสงครามหาเอเชียบูรพา และเป็นส่วนหนึ่งของสงครามโลกครั้งที่ 2เกิดจากกลุ่มคนไทยที่ต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น และไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลไทยร่วมมือกับญี่ปุ่น และประกาศสงครามของรัฐบาลไทยต่อฝ่ายสัมพันธมิตรแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กล่าวคือ ขบวนการเสรีไทยในประเทศนำโดยนายปรีดี พนมยงค์ ขบวนการเสรีไทยในสหรัฐอเมริกา นำโดย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการไม่ยอมส่งคำประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกา และถือว่าการประกาศสงครามนั้นมิใช่เจตนาของคนไทย และขบวนการเสรีไทยในอังกฤษ นำโดยนักเรียนไทย ในอังกฤษซึ่งได้ทำหนังสือเสนอ นายวินสตัน เชอร์ชิล นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เพื่อก่อตั้งกองทหารไทยสู้รบกับญี่ปุ่นในประเทศไทย
1. ไทยจะต้องจัดการเรื่องที่ไทยประกาศสงครามกับอังกฤษให้สู่สภาพเดิมก่อนวันประกาศสงคราม
2. การกระทำที่ไทยทำต่ออังกฤษหลังจากญี่ปุ่นเข้าประเทศไทยถือเป็นโมฆะ และไทยต้องจัดการให้สู่สภาพเดิม หากมีความเสียหายต้องจ่ายค่าชดเชยให้อังกฤษ
3. ไทยต้องยินยอมรับผิดชอบการพิทักษ์รักษาและคืนในสภาพไม่เสื่อมเสีย ซึ่งบรรดาทรัพย์สิน สิทธิ และผลประโยชน์ของอังกฤษทุกชนิดในประเทศไทย
4. ไทยจะร่วมมืออย่างเต็มที่ในบรรดาข้อตกลง เพื่อความมั่นคงระหว่างประเทศ ซึ่งองค์กรสหประชาชาติหรือคณะมนตรีความมั่นคงเห็นชอบแล้ว
5. ไทยต้องไม่ตัดคลองข้ามอาณาเขตไทย เชื่อมมหาสมุทรอินเดียกับอ่าวไทย (คลองคอดกระ)โดยรัฐบาลอังกฤษมิได้เห็นพ้องด้วยก่อน
6. ไทยจะให้ข้าวสารโดยไม่คิดมูลค่า 1.5 ล้านตันแก่องค์การ ซึ่งรัฐบาลอังกฤษจะได้ระบุ
7. โดยสัญญาฉบับนี้อังกฤษและอินเดียจะสนับสนุนไทยเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ
การยึดอำนาจเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 มีสาเหตุสรุปได้ดังนี้
1. การพัฒนาทางด้านการศึกษาแบบสมัยใหม่ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา ประเทศไทยเริ่มใช้ระบบการศึกษาแบบตะวันตก เด็กไทยสามัญชนมีโอกาสเล่าเรียนในโรงเรียนหลวง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.บ. การศึกษาภาคบังคับทำให้การศึกษาของชาติแพร่หลายไปส่วนภูมิภาค การที่ชาวไทยได้รับการศึกษาสูงขึ้นกว่าแต่ก่อน ทำให้ชาวไทยมีโอกาสเรียนรู้ความก้าวหน้าแบบสมัยใหม่และวิทยาการจากประเทศตะวันตกรวมไปถึงความคิดสมัยใหม่ทางการเมืองการปกครองด้วย นอกจากนั้นเจ้านายชนชั้นสูงและสามัญชนได้รับทุนเล่าเรียนหลวงเดินทางไปศึกษายังประเทศในทวีปยุโรป จึงประทับใจใน
ความเจริญของบ้านเมืองและระบอบการปกครองของประเทศตะวันตก ผู้นำคณะราษฎรหลายคนได้รับการศึกษาจากประเทศตะวันตก อาทิ นายปรีดี พนมยงค์ นายประยูร ภมรมนตรี ร้อยโทแปลก ขีตตะสังคะ(ต่อมาคือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) นายแนบ พหลโยธิน นายจรูญ สิงหเสนี เป็นต้น บุคคลเหล่านี้จึงมีแนวความคิดต้องการให้ประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองตามแบบอย่างประเทศตะวันตก
สามารถหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปได้
1. ผลกระทบทางด้านการเมือง การเปลี่ยนแปลงส่งผลกระทบต่อสถานภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอย่างมาก เพราะเป็นการสิ้นสุดพระราชอำนาจในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
2. ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475เปลี่ยนแปลงเป็นทุนนิยม
3. ผลกระทบทางด้านสังคม ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สังคมไทยได้รับผลกระทบจากเปลี่ยนแปลงพอสมควร คือ ประชาชนเริ่มได้รับเสรีภาพและมีสิทธิต่างๆ ตลอดจนความเสมอภาคภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ และได้รับสิทธิในการปกครองตนเอง