[5] ธรรมชาติของการวัดผลการศึกษา

คลิกที่นี่เพื่ออ่านคำอธิบาย

หัวข้อธรรมชาติของการวัดผลการศึกษา

ธรรมชาติของการวัดผลการศึกษา

  ประเภทของการวัดผลโดยทั่วไป แบ่งได้ 2 แบบ คือ การวัดผลทางกายภาพ เช่น การวัดน้ำหนัก  ส่วนสูง กับการวัดผลพฤติกรรม เช่น วัดสติปัญญา วัดการปฏิบัติ วัดลักษณะนิสัย จากที่กล่าวข้างต้นเห็นได้ว่าการวัดผลทางการศึกษาเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์ที่ไม่มีรูปร่างให้หยิบจับมาทำการวัดได้ทันที นอกจากนั้นยังไม่มีเครื่องมือสำเร็จรูปที่จะหาซื้อหรือหยิบยืมมาวัดได้เหมือนกับการวัดทางกายภาพ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การวัดผลทางการศึกษามีความยุ่งยากและคลาดเคลื่อนง่ายมาก ผู้ที่จะทำหน้าที่วัดผลประเมินผลจึงควรทำความเข้าใจธรรมชาติของการวัดผลการศึกษาให้ดีเสียก่อน

การรู้ธรรมชาติข้อนี้ช่วยให้ครูที่จะทำหน้าที่วัดผลเข้าใจว่าเราไม่สามารถวัดพฤติกรรมของนักเรียนได้โดยตรงเหมือนกับการนำเครื่องชั่งมาวัดน้ำหนักสิ่งของแล้วอ่านค่าน้ำหนักได้ทันที จำเป็นต้องมีสิ่งเร้า เช่น คำถาม คำสั่งหรือสถานการณ์มากระตุ้นให้นักเรียนแสดงพฤติกรรมที่มองไม่เห็นออกมาให้สังเกตได้เสียก่อนแล้วจึงนำพฤติกรรมที่สังเกตได้มาทำการวัดหรือให้คะแนน

การรู้ธรรมชาติข้อนี้จะช่วยให้ครูไม่นำคะแนนจากแบบทดสอบต่างฉบับมาเปรียบเทียบกัน หากจำเป็นต้องเปรียบเทียบ เช่น อยากทราบว่านักเรียนเก่งหรืออ่อนวิชาไหนต้องใช้วิธีทางสถิติปรับหน่วยคะแนนแต่ละวิชาให้คงที่หรือมีขนาดเท่ากันก่อน ทำได้โดยนำคะแนนดิบของแบบทดสอบแต่ละวิชามาแปลงรูปให้เป็นคะแนนมาตรฐาน Z-Score   T-Score หรือ Nomalize T-Score เสียก่อนแล้วจึงนำคะแนนมาตรฐานมาเปรียบเทียบกัน

การรู้ธรรมชาติข้อนี้ช่วยให้ครูพึงระมัดระวังความคลาดเคลื่อนอื่น ๆ ที่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นเพื่อให้ผลการวัดมีความคลาดเคลื่อนปนอยู่น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้   เช่น ระมัดระวังไม่ให้พิมพ์ข้อสอบผิด ไม่เฉลยผิด ไม่ตรวจให้คะแนนผิด  ปรับปรุงคำถามไม่ให้ยากหรือง่ายจนเกินไป ตรวจสอบความเที่ยงตรงและความเชื่อมั่นก่อนนำแบบทดสอบไปใช้  และต้องพยายามลดความคลาดเคลื่อนที่แม้ว่าจะไม่สามารถทำให้หมดได้ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วย เช่น พยายามใช้เทคนิคเขียนข้อสอบลดการเดา  หรือไม่กระทำการใด ๆ ที่จะเพิ่มความวิตกกังวลให้กับนักเรียน  กำกับให้นักเรียนดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรงพักผ่อนให้เพียงพอก่อนสอบ 

การรู้ธรรมชาติข้อนี้ช่วยให้ครูแปลความหมายคะแนนอย่างสมเหตุสมเผล เช่น หากมีนักเรียนคนใดคนหนึ่งตอบข้อสอบถูกทุกข้อจนกระทั่งได้คะแนนเต็ม ครูจะเข้าใจว่ามันไม่ได้หมายความว่านักเรียนมีความรู้ 100 % ของเนื้อหาทั้งหมด หรือหากมีนักเรียนคนใดคนหนึ่งตอบผิดทุกข้อจนกระทั่งได้ 0 คะแนน ก็ไม่ได้หมายความว่านักเรียนมีความรู้ 0 % หรือไม่มีความรู้ในเรื่องเหล่านั้นเลย เพราะแบบทดสอบที่ครูนำมาวัดความรู้นักเรียนไม่สามารถถามครบ 100 % ของเนื้อหาทั้งหมดได้นั่นเอง

การรู้ธรรมชาติข้อนี้ช่วยให้ครูเข้าใจว่าถ้าต้องการแปลความหมายผลการวัดต้องกำหนดเกณฑ์การแปลความหมายคะแนนอย่างเหมาะสม ซึ่งทำได้ 2 แบบแล้วแต่วัตถุประสงค์ของการประเมิน แบบแรกกำหนดแบบอิงกลุ่มทำเมื่อต้องการทราบว่านักเรียนมีความสามารถระดับใดถ้านำไปเทียบกับคนอื่น ๆ ที่สอบด้วยแบบทดสอบฉบับเดียวกันมักใช้ในการสอบคัดเลือก แบบที่สองกำหนดแบบอิงเกณฑ์ทำเมื่อต้องการทราบว่านักเรียนมีความสมารถระดับใดถ้านำไปเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้มักใช้ในการพัฒนาหรือปรับปรุงแก้ไขพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน

สรุปได้ว่า ผู้วัดผลควรศึกษาธรรมชาติของการวัดผลทางการศึกษาให้เข้าใจก่อนทำการวัดว่าการวัดผลทางการศึกษาเป็นการวัดพฤติกรรมที่มีลักษณะเป็นนามธรรมไม่สามารถนำเครื่องมือมาวัดได้โดยตรงต้องมีสิ่งเร้า เช่น ใช้คำถาม คำสั่งหรือสถานการณ์มากระตุ้นให้แสดงพฤติกรรมออกมาก่อนแล้วจึงวัดผลออกมาเป็นคะแนนได้  หน่วยการวัดของเครื่องมือวัดผลทางการศึกษาไม่คงที่ถ้าต้องการเปรียบเทียบคะแนนต้องปรับหน่วยของคะแนนให้คงที่เสียก่อน  ผลการวัดทางการศึกษามีความคลาดเคลื่อนบางอย่างที่ไม่สามารถทำให้หมดไปได้จึงต้องพยายามไม่ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนในส่วนที่สามารถป้องกันได้เพื่อให้ผลการวัดตรงกับลักษณะแท้จริงมากที่สุด และผลการวัดทางการศึกษาไม่สามารถอธิบายสิ่งที่ต้องการวัดได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งหมดจึงต้องแปลความหมายคะแนนอย่างระมัดระวัง และผลการวัดทางการศึกษาไม่มีความหมายในตัวเองไม่สามารถแปลความหมายได้ทันทีต้องนำไปเกี่ยวข้องหรือเปรียบเทียบกับบางสิ่งเสียก่อนจึงจะแปลความหมายได้

วิดิโอประกอบคำอธิบาย

เอกสารประกอบคำอธิบาย

05_ธรรมชาติของการวัดผลการศึกษา.pdf