1.2 เปรียบเทียบระหว่างการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object-Oriented Programming: OOP) กับการเขียนโปรแกรมแบบตามลำดับขั้นตอน (Procedural Programming)
1.2 เปรียบเทียบระหว่างการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object-Oriented Programming: OOP) กับการเขียนโปรแกรมแบบตามลำดับขั้นตอน (Procedural Programming)
การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP) และการเขียนโปรแกรมแบบตามลำดับขั้นตอน (Procedural Programming) เป็นสองแนวคิดที่แตกต่างกันในการออกแบบและพัฒนาโปรแกรม ซึ่งแต่ละแนวคิดมีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกันไป
องค์ประกอบ : โครงสร้างของโปรแกรม
การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP) : ใช้ คลาส และ วัตถุ เป็นองค์ประกอบหลักในการจัดโครงสร้างและการทำงานของโปรแกรม
การเขียนโปรแกรมแบบตามลำดับขั้นตอน (Procedural Programming) : ใช้ ฟังก์ชัน หรือ กระบวนการ (Procedures) เพื่อจัดการโค้ดให้เป็นลำดับขั้นตอนที่เรียบง่าย
องค์ประกอบ : หลักการที่สำคัญ
การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP) : ยึดหลัก Encapsulation, Inheritance, Polymorphism, และ Abstraction เพื่อการจัดการกับข้อมูลและการออกแบบโปรแกรม
การเขียนโปรแกรมแบบตามลำดับขั้นตอน (Procedural Programming) : ยึดหลักการแบ่งโค้ดออกเป็นฟังก์ชันย่อย ๆ ที่ทำงานตามลำดับและสามารถเรียกใช้ซ้ำได้ง่าย
องค์ประกอบ : การจัดการข้อมูล
การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP) : ข้อมูลและพฤติกรรมถูกจัดกลุ่มเป็นคลาสและสามารถซ่อนรายละเอียดการทำงานภายในคลาสนั้น (Encapsulation) ทำให้การเข้าถึงข้อมูลปลอดภัยมากขึ้น
การเขียนโปรแกรมแบบตามลำดับขั้นตอน (Procedural Programming) : ข้อมูลและฟังก์ชันทำงานแยกกัน โดยไม่มีการซ่อนข้อมูลเหมือนใน OOP ทำให้บางครั้งการจัดการข้อมูลอาจทำได้ยากในโปรแกรมที่ซับซ้อน
องค์ประกอบ : การนำโค้ดกลับมาใช้ใหม่
การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP) : มีการสืบทอด (Inheritance) ทำให้สามารถสร้างคลาสใหม่จากคลาสเดิมได้ ลดการเขียนโค้ดซ้ำ
การเขียนโปรแกรมแบบตามลำดับขั้นตอน (Procedural Programming) : การนำโค้ดกลับมาใช้ใหม่ได้โดยใช้ฟังก์ชัน แต่ไม่มีการสืบทอดเหมือน OOP ทำให้โค้ดอาจซ้ำกันในบางกรณี
องค์ประกอบ : ความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนแปลง
การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP) : OOP สามารถเพิ่มฟังก์ชันการทำงานใหม่โดยเพิ่มคลาสใหม่หรือเพิ่มวัตถุเข้าไป ทำให้มีความยืดหยุ่นสูง
การเขียนโปรแกรมแบบตามลำดับขั้นตอน (Procedural Programming) : มีความยืดหยุ่นน้อยกว่า OOP โดยเฉพาะในโปรแกรมที่ซับซ้อนและยากต่อการเพิ่มฟังก์ชันใหม่
องค์ประกอบ : การบำรุงรักษา
การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP) : การบำรุงรักษาง่ายกว่า เพราะมีการจัดระเบียบโค้ดที่เป็นระบบ และสามารถทำการเปลี่ยนแปลงในคลาสที่เกี่ยวข้องโดยไม่กระทบกับคลาสอื่น
การเขียนโปรแกรมแบบตามลำดับขั้นตอน (Procedural Programming) : อาจทำให้การบำรุงรักษายากขึ้นเมื่อโปรแกรมมีความซับซ้อน เนื่องจากข้อมูลและฟังก์ชันกระจัดกระจาย
องค์ประกอบ : ประสิทธิภาพ
การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP) : ใช้หน่วยความจำและการประมวลผลมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อมีการสร้างวัตถุหลาย ๆ ตัว
การเขียนโปรแกรมแบบตามลำดับขั้นตอน (Procedural Programming) : โดยทั่วไปมีประสิทธิภาพสูงกว่าในแง่ของการใช้หน่วยความจำและการประมวลผล เนื่องจากไม่มีการสร้างวัตถุ
องค์ประกอบ : การใช้งานที่นิยม
การเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP) : เหมาะกับโปรแกรมที่มีความซับซ้อน เช่น ระบบ ERP, โปรแกรมการจัดการ, ซอฟต์แวร์สำหรับธุรกิจ หรือเกม
การเขียนโปรแกรมแบบตามลำดับขั้นตอน (Procedural Programming) : เหมาะกับโปรแกรมขนาดเล็กหรือโปรแกรมที่ทำงานเฉพาะทาง เช่น สคริปต์ที่ทำงานง่าย ๆ, โปรแกรมคำนวณ, หรือโปรแกรมที่ทำงานตามขั้นตอนอย่างชัดเจน
OOP:
ข้อดี: โค้ดมีโครงสร้างดี, สามารถบำรุงรักษาได้ง่าย, นำโค้ดกลับมาใช้ใหม่ได้สูง, และขยายระบบได้ง่าย
ข้อเสีย: ซับซ้อนกว่าการเขียนโปรแกรมแบบขั้นตอน และอาจใช้ทรัพยากรมากกว่าในบางกรณี
Procedural Programming:
ข้อดี: เข้าใจง่ายและเหมาะกับงานที่มีขั้นตอนการทำงานเรียบง่าย ประหยัดหน่วยความจำและการประมวลผล
ข้อเสีย: เมื่อโปรแกรมมีขนาดใหญ่ โค้ดจะกระจัดกระจายและยากต่อการบำรุงรักษา นำโค้ดกลับมาใช้ซ้ำได้น้อยกว่า