บทความวิชาการ "เกษตรทฤษฎีใหม่ : ทางรอดสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตครูไทย New Theory Agriculture: A Strategic Solution for Enhancing the Quality of Life of Thai Teachers"
บทคัดย่อ
บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทของแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของครูไทย โดยเฉพาะครูในพื้นที่ขนบทที่ต้องเผชิญกับปัญหาหนี้สิน รายได้ไม่เพียงพอ และภาวะความเครียดจากภาระงาน แนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่มีพื้นฐานมาจากปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งมุ่งเน้นการจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพในอัตราส่วน 3:3:3:1 (ขุดสระน้ำ:ปลูกข้าว:ปลูกไม้ผล:ที่อยู่อาศัย) เพื่อส่งเสริมการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน การประยุกต์แนวคิดดังกล่าวในชีวิตประจำวันของครูช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย เพิ่มรายได้จากผลผลิตทางการเกษตร บรรเทาความเครียด เสริมสร้างสุขภาวะทางจิต และกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว อีกทั้งยังมีศักยภาพในการพัฒนาโรงเรียนให้เป็นศูนย์การเรียนรู้ตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง อันจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของครูและชุมชนในระยะยาวบทความนี้จึงนำเสนอแนวทางสนับสุนเชิงนโยบายจากภาครัฐ สถานศึกษา ชุมชน และสถาบัน
การเงิน เพื่อขับเคลื่อนเกษตรทฤษฎีใหม่ให้เป็นกลไกเชิงระบบ โดยเกษตรทฤษฎีใหม่มิใช่เพียงแนวทางการดำรงชีวิตอย่างพอเพียง แต่เป็นทางรอดเชิงยุทธศาสตร์ในการยกระดับคุณภาพชีวิตครูไทยให้เกิดความมั่นคงและยั่งยืนในบริบทของเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบัน
คำสำคัญ: เกษตรทฤษฎีใหม่, การพัฒนาคุณภาพชีวิต; ครู่ไทย
ธีรภัทร์ ถิ่นแสนดี และ นฤมลโพธิ์ภักดี
อ่านเพิ่มเติมที่ https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JEDRS/article/view/1662/1038
บทความวิชาการ "การวิเคราะห์ความเที่ยงตรงของเครื่องวัดผลทางการศึกษาภายใต้บริบทของมหาวิทยาลัยกลุ่มที่ 4 "
ธีรภัทร์ ถิ่นแสนดี และ สุเทพ เมยไธสง
การตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือวัดผลีความสำเคํยต่อการที่จะนำเครื่องมือแต่ละชนิดไปใช้ว่าจะเป็นที่เชื่อถือได้หรือไม่ ซึ่งคูณภาพในเรื่องความยาก อำนวจจำแนก ความเชื่อมั่นและความเที่ยงตรง
ความเที่ยงตรง (Validity) อาจถือว่าเป็นหัวใจของเครื่องมือวัดผล เพราะถ้าเครื่องมือนั้นวัดได้ไม่ตรงตจามที่ต้องการแล้วผลที่ได้ก็จะไม่มีคุณค่าใดๆ เลย ซึ่งความเที่ยงตรงของเครื่องมือสามารถแบ่งได้ 4 ชนิด คือ ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Contant Validity) ความเที่ยงตรงตามโครงสร้าง (Constuction Validity) ความเที่ยงตรงตามสภาพ (Concurrecnt Validity) และคามเที่ยงตรงตามการพยากรณ์ (Predictive Validity)
โดยที่ความเที่ยงตรงแต่ละชนิดต่างก็มีวิธีการหาควาามเที่ยงตรงหลายวิธี เช่น โดยผู้เชี่ยวชาญ โดยวิธีการตำรวน โยดวิธีวิเคราะห์องค์ประกอบเป็นต้น ซึ่งวิธีการหาควมเที่ยงตรงตามเนื้อหา การหาความที่ตรงตามโครงสร้าง และการหาความเที่ยงตรางตามสภาพ นิยมใช้วิธีให้ผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้พิจารณา เนื่องจากเป็นวิธีที่สะดวำก ง่ายและตัดปัญหาเรื่องการตำนวนสำหรับผู้ที่ไม่ชอบลการคำนวนที่ยุ่งยาก แต่ก็ยังมีผู่้ส่งสัยในรประเด็นการเลือกผู้เชี่ยวชาญ ข้้ั้นกตอนในการให้ผู้่ชี่ยวชาญพิจารณา และเกณฑ์ในการพิจารณาคำตอบของผู้เชี่ยวชาญ
ซึ่งการหาคุณภาพของเครื่องมือวิจัยในหาวิทยาลัยกลุ่มที่ 4 นั้น ต้องอาศัยผู้รู้ หรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนาจริงๆ เพื่อจะได้มาซึ่งคุณภาพของเครื่องมือในการทำวิจัยตามหลักธรรมเรื่องนั้นๆ อาจต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญหลายท่านหรือมากกว่าปกติ ซึ่งปกติจะใช้จำนวน 3 ท่าน งานวิจัยของมหาวิทยาลัยกลุ่มที่ 4 อาจต้องเพิ่มจำนวนผู้มีความเชี่ยวชาญทางด้านหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะเพิ่มเข้ามา
ดังนั้น บทความนี้จึงจะกล่าถึงเรื่องการตรวจสอมความเที่ยงตรงของเครื่องมือ โดยผู้เชี่ยวชาญใน 5 ประเด็นคือ การเลือผู้เชี่ยวชาญ ขึ้นตอนในการให้ผู้ชี่ยวชาสญตรวจสอบ และเกณฑ์ในพการพิจารณาคำตบของผู้เชี่ยยวชาญ ส่วนอำนวจจำแหนกและเความเชื่อม
การเลือกผู้เชี่ยวชาญ
ก่อนอื่นเราคงจะต้องน
สุดารัตน์ โสสุด และธีรภัทร์ ถิ่นแสนดี การบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศด้วยหลักพรหมวิหาร
https://so14.tci-thaijo.org/index.php/JEDRS/article/view/1662/1038
จริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ กับการวิจัยทางการบริหารการศึกษา (Ref01) (Ref02)
โดย ดร.ธีรภัทร์ ถิ่นแสนดี
ภาวะผู้นำดิจิทัลของผู้บริหารสถานศึกษากับการบริหารการเปลี่ยนแปลงในองค์กรยุควิถีใหม่
ไสว วีระพันธ์, ธีรภัทร์ ถิ่นแสนดี
ธีรภัทร์ ถิ่นแสนดี, (2564). การจัดการเรียนการสอนออนไลน์ภายใต้สถานการณ์โรคอุบัติใหม่. วารสารบัณฑิตสาเกตปริทรรศน์. ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 : 101-107. (TCI2)
บทคัดย่อ การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ทำให้เกิดการปรับตัวเป็นวิถีชีวิตแบบใหม่ (New Normal) โดยเฉพาะสถาบันทางการศึกษาที่ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนแบบปกติได้ จึงจำเป็นต้องใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ เพื่อให้การเรียนรู้เกิดความต่อเนื่อง การเรียนการสอนแบบออนไลน์มีองค์ประกอบ ได้แก่ ผู้สอน ผู้เรียน เนื้อหา สื่อการเรียนและแหล่งเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ ระบบการติดต่อสื่อสาร ระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ การวัดและการประเมินผล รูปแบบการเรียนการสอนมีหลากหลายวิธี ที่ทำให้ผู้สอนและผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันได้ การพิจารณาองค์ประกอบและรูปแบบที่สอดคล้อง เหมาะสมกับลักษณะวิชาและบริบทของผู้เรียนจะนำไปสู่การประยุกต์ใช้สำหรับการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ (ดูฉบับเต็ม)
ธีรภัทร์ ถิ่นแสนดี, ภิญญา อนุพันธ์. (2564). ความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019. วารสารรัตนบุศย์. ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 (2021): พฤษภาคม - สิงหาคม 2564 : 65-68. (TCI2)
บทคัดย่อ ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา คือ ความไม่เท่าเทียมกันของคุณภาพ และมาตรฐานของการจัดการศึกษา จากสถานการณ์ COVID-19 เห็นได้ชัดว่าเด็กกลุ่มที่มีฐานะสามารถศึกษาต่อที่บ้านได้อย่างไม่ติดขัด มีเทคโนโลยีพร้อมใช้ เข้าถึงสื่อการศึกษาคุณภาพได้ทุกที่ทุกเวลา แต่ในเวลาเดียวกัน ผู้ที่มีฐานะยากจนต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมาย ดังนั้น ในช่วงของการปรับวิถีชีวิตใหม่ ที่มีการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม จึงเป็นผลกระทบโดยตรงต่อผู้เรียนที่มาจากครอบครัวที่มีรายได้น้อย และไม่มีโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ ยิ่งทำให้โอกาสในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาของเด็กและเยาวชนในสังคม (ดูฉบับเต็ม)
ไสว วีระพันธ์, ธีรภัทร์ ถิ่นแสนดี. (2564). ความปกติใหม่ทางการศึกษากับความเหลื่อมล้ำที่มากยิ่งขึ้น. วารสารรัตนบุศย์. ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 (2021): พฤษภาคม - สิงหาคม 2564 : 69-83. (TCI2)
บทคัดย่อ สถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน ได้ส่งผลกระทบต่อด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ การจัดการเรียนการสอน ประสิทธิภาพการเรียนรู้ การให้บริการของสถานศึกษา ส่งผลให้เกิดปรับตัวและเปลี่ยนแปลงไปสู่ความปรกติใหม่ทางการศึกษา (New Normal) แนวคิดการจัดการเรียนการสอนโดยใช้สื่อออนไลน์จึงระดมเข้ามาช่วยแก้ปัญหาทางการเรียนการสอน อุปกรณ์ และเทคโนโลยีดิจิทัลจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัดการเรียนการสอน ในภาวะปกติประเทศไทยมีปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษามายาวนาน ทำให้คนในชาติมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพได้ไม่เท่าเทียมกัน อันเนื่องมาจากความแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคมของครอบครัว และความแตกต่างของสถานศึกษา ซึ่งมีสาเหตุมาจากความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจและสังคมของครอบครัว และความเหลื่อมล้ำในการใช้จัดสรรงบประมาณและกำลังคนเพื่อการศึกษาของภาครัฐ ซึ่งในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 การจัดหาอุปกรณ์และเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีคุณภาพสำหรับการเรียนออนไลน์ของครูและนักเรียนมีต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่สูง ทำให้เกิดความไม่พร้อมในการจัดการเรียนการสอนของสถาณศึกษาบางแห่ง และความไม่พร้อมในการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีฐานะยากจน ทำให้ขาดแคลนเทคโนโลยีดิจิทัลที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ นอกจากนี้ยังมีปัญหารุมเร้าเรื่องฐานะทางบ้าน เศรษฐกิจแย่ลง บรรยากาศและสภาพแวดล้อมภายในบ้านที่ไม่เอื้อต่อการเรียนรู้ผ่านระบบออนไลน์ ย่อมส่งผลต่อคุณภาพของนักเรียนโดยตรง ทำให้คุณภาพทางศึกษาของนักเรียนมีความแตกต่างกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่า ความปกติใหม่ทางการศึกษา (New Normal) ซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของไทยให้มีมากยิ่งขึ้น(ดูฉบับเต็ม)
การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ทำให้เกิดการปรับตัวเป็นวิถีชีวิตแบบใหม่ (New Normal) โดยเฉพาะสถาบันทางการศึกษาที่ไม่สามารถจัดการเรียนการสอนแบบปกติได้ จึงจำเป็นต้องใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบออนไลน์ เพื่อให้การเรียนรู้เกิดความต่อเนื่อง การเรียนการสอนแบบออนไลน์มีองค์ประกอบ ได้แก่ ผู้สอน ผู้เรียน เนื้อหา สื่อการเรียนและแหล่งเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้ ระบบการติดต่อสื่อสาร ระบบเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ การวัดและการประเมินผล รูปแบบการเรียนการสอนมีหลากหลายวิธี ที่ทำให้ผู้สอนและผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันได้ การพิจารณาองค์ประกอบและรูปแบบที่สอดคล้อง เหมาะสมกับลักษณะวิชา และบริบทของผู้เรียนจะนำไปสู่การประยุกต์ใช้สำหรับการจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ (ดูฉบับเต็ม)
ธีรภัทร์ ถิ่นแสนดี, ปภัชญา สังชาตรี . (2564). ความเหลื่อมล้ําทางการศึกษา ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019. วารสารรัตนบุศย์. ปีที่ 3 ฉบับที่ 3 (2021): กันยายน - ธันวาคม 2564. 68-73. (TCI2)
บทคัดย่อ ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา คือ ความไม่เท่าเทียมกันของคุณภาพ และมาตรฐานของการจัดการศึกษา จากสถานการณ์ COVID-19 เห็นได้ชัดว่าเด็กกลุ่มที่มีฐานะสามารถศึกษาต่อที่บ้านได้อย่างไม่ติดขัด มีเทคโนโลยีพร้อมใช้ เข้าถึงสื่อการศึกษาคุณภาพได้ทุกที่ทุกเวลา แต่ในเวลาเดียวกัน ผู้ที่มีฐานะยากจนต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมาย ดังนั้น ในช่วงของการปรับวิถีชีวิตใหม่ ที่มีการเรียนการสอนแบบออนไลน์ ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม จึงเป็นผลกระทบโดยตรงต่อผู้เรียนที่มาจากครอบครัวที่มีรายได้น้อย และไม่มีโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่ ยิ่งทำให้โอกาสในการสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาของเด็กและเยาวชนในสังคม (ดูฉบับเต็ม)
การแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการศึกษาทุกระดับทั่วโลก ทำให้ สถานศึกษาเกือบทุกแห่งทั่วโลกต้องปิดการเรียนการสอน ข้อมูลของ UNESCO (World Economic Forum, (2020) พบว่ามีจำนวนนักเรียน 1.38 พันล้านคน ได้รับผลกระทบจากการปิดสถานศึกษา ซึ่งเป็นผลกระทบ ต่อเนื่องอย่างกว้างขวาง และเกิดการปรับเปลี่ยนระบบการจัดการศึกษา ที่เด่นชัดที่สุด คือ การเรียนการสอน บทความวิชาการเรื่องการจัดการศึกษาในระบบออนไลน์ในยุค New normal COVID-19 มีวัตถุประสงค์ ของการนำเสนอแนวคิดการบริหารจัดการเรียนการสอนระบบออนไลน์ที่เหมาะสมในยุค COVID-19 จึงขอเสนอดังนี้ 1) แนวคิดเกี่ยวกับรูปแบบการเรียนการสอนหลังโควิด-19 (Social Distancing) 2) แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับความปกติใหม่ (New Normal) และ 3) แนวคิดเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนรู้ สถานศึกษาต่างต้องขยับตัวจากการจัดการ เรียนรู้แบบปกติมาเป็นการจัดการเรียนรู้แบบปกติใหม่ หรือการจัดการเรียนรู้แบบ Online ผู้สอนต้องพัฒนาตนเองอย่างเร่งด่วน ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือน สิ่งเป็นคําตอบได้อย่างดีว่า ผู้สอนสามารถพัฒนาตนเองได้ตลอดเวลา (ดูฉบับเต็ม)
ประวิณา ทองวิเศษ, ธีรภัทร์ ถิ่นแสนดี, จิราภรณ์ ผันสว่าง (๒๕๖๔). การบริหารงานบุคคลตามหลักบารมี ๖ ของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต ๒๗. วารสารมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตร้อยเอ็ด, ๑๐(๑) : ๘๔๕-๘๕๗.(TCI ๒).
คุณลักษณะหรือบุคลิกภาพของผู้บริหารนั้นจะมีลักษณะที่หลากหลายทัศนะ ทั้งที่ดีไม่ดีชอบไม่ชอบ อยากจะเป็น หรือไม่อยากเป็นบุคลิกแบบนั้น ตามแต่มุมมองของแก่นแท้ของผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อน หรือหัวหน้า ของผู้บริหารท่านนั้นๆ แต่นั่นคือบุคลิกของท่านผู้บริหารที่เป็นเอกลักษณ์ส่วนบุคคล ผู้เขียนจะนำเสนอเนื้อหาทั้งแนวคิด หลักการและทฤษฎีต่างๆจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ที่มีอยู่อย่างน้อยจะได้มองเห็นแนวทางหรือกรอบทิศทางของคุณลักษณะและบุคลิกภาพของผู้บริหารในศตวรรษที่21 นี้คำว่า“บุคลิกภาพ” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Personality มาจากรากศัพท์ภาษากรีกคือคำว่า “Persona” มีการผลสมคำระหว่าง Per+Sonare ซึ่งหมายถึง Mask ที่แปลว่าหน้ากากที่ตัวละครใช้สวมใส่ เป็นการเปรียบเทียบว่ามนุษย์ ทุกคนย่อมมีบทบาทไปตามหน้ากากที่สวมใส่ในชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็นผู้บริหารหรือไม่ก็ตาม ย่อมมีหน้ากาก หรือหน้าที่ตามหน้ากากที่ได้รับบทบาทนั้นๆ (สุขสวัสดิ์จันทะวัฒ, 2555,บุคลิกภาพของผู้บริหารในอนาคต, ออนไลน์)แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ผสมผสานกับพื้นฐานต้นทุนเดิมของผู้บริหาร ที่ต ่างกันในแต ่ละช่วง ยุค สมัย จึงทำให้คุณลักษณะของผู้บริหารเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ส ่วนคำว่า“คุณลักษณะ” หรือ “Trait” หมายถึง ลักษณะ สันดาน หรือ คุณลักษณะส่วนตัวเฉพาะ (Individual attributes) จะประกอบไปด้วยสิ่งที่เป็นพื้นฐานของคุณลักษณะของผู้บริหารคือความต้องการ(Need) ภาวะอารมณ์(Temperament)จิตใจ (Mental) แรงขับ (Motives) และค่านิยม (Values)ที่แตกต่างกันของผู้บริหาร คุณลักษณะเป็นทั้งสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้และเป็นความสามารถที่ถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม การปรับเปลี่ยนได้นั้นจะต้องอาศัยการฝึกฝนเพื่อนำไปสู่ทักษะ (Skill) ในการมีคุณลักษณะของผู้บริหารที่ดีนั้น จะช่วยนำพาพัฒนาองค์กรให้เจริญก้าวหน้า และเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงที่ดีได้ต่อไป
คำสำคัญ : คุณลักษณะ, บุคลิกภาพ, ผู้บริหารในศตวรรษที่ 21 (ดูฉบับจริง)
อ้างอิง https://www.krungsri.com/th/plearn-plearn/5-digital-skills
เมื่ออินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมายแตกต่างจากการสื่อสารในยุคอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารข้ามทวีป การเปิดร้านขายของผ่านช่องทางออนไลน์ ฯลฯ จึงทำให้เกิดพลเมืองในยุคนี้ที่เรียกว่าพลเมืองดิจิทัลขึ้น ซึ่งพลเมืองดิจิทัลก็คือกลุ่มคนที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการใช้ชีวิต มีความเข้าใจเทคโนโลยีและใช้เพื่อปรับเปลี่ยนสังคมให้ดีขึ้น
พลเมืองดิจิทัล (Digital Citizenship) คืออะไร
สำหรับความเป็นพลเมืองดิจิทัล (Digital Citizenship) คือแนวคิดแนวปฏิบัติที่ให้พลเมืองได้เรียนรู้และมีความสามารถในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างชาญฉลาด มีการบริหารจัดการ กำกับตนเองได้ รวมถึงรู้เท่าทันและสามารถปกป้องตนเองจากความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล รวมทั้งเคารพสิทธิตนเองและผู้อื่น มีความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย
พลเมืองดิจิทัลนั้นควรมีทักษะและความรู้ด้านดิจิทัลหลายด้านที่ช่วยให้การใช้ชีวิตในยุคดิจิทัลเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น ทักษะความรู้ด้านสารสนเทศ และอื่นๆ ที่จะช่วยให้ใช้สื่อทางโลกดิจิทัลอย่างเข้าใจและรู้เท่าทันในการค้นหาข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ
ซึ่ง 8 ทักษะสำคัญในการเป็นพลเมืองดิจิทัล ซึ่งจะทำให้อยู่ในสังคมได้อย่างเข้าใจและปลอดภัย ได้แก่
ทักษะการรักษาอัตลักษณ์ที่ดีของตัวเอง (Digital Citizen Identity) ความสามารถในการสร้างและจัดการภาพลักษณ์ของตนเองในสื่อโซเชียลในเชิงบวกภายใต้พื้นฐานความเป็นจริง รับผิดชอบในการกระทำ ไม่กระทำการผิดกฎหมายละเมิดจริยธรรม
ทักษะในการบริหารจัดการเวลาในโลกดิจิทัล (Screen Time Management) สามารถบริหารเวลาและควบคุมตนเองในโลกออนไลน์กับในชีวิตจริงได้อย่างสมดุล
ทักษะการรับมือการกลั่นแกล้งบนโลกไซเบอร์ (Cyberbullying Management) มีความสามารถในการรับมือ ป้องกัน และมีภูมิคุ้มกันกับการข่มขู่บนโลกไซเบอร์อย่างเหมาะสม ไม่ใช้อารมณ์
ทักษะการรักษาความปลอดภัยของตนเองบนโลกไซเบอร์ (Cybersecurity Management) ความสามารถในการป้องกันการถูกโจรกรรมข้อมูลหรือถูกโจมตีในโลกออนไลน์ได้ เช่น การกำหนดรหัสผ่านต่างๆ ให้ปลอดภัย
ทักษะในการจัดการความเป็นส่วนตัว (Privacy Management) รักษาความเป็นส่วนตัวในโลกออนไลน์ของตนเองและผู้อื่นได้ เพื่อความปลอดภัยทางข้อมูล
ทักษะการคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking) สามารถคิดวิเคราะห์แยกแยะข้อมูลที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง วิเคราห์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ โดยใช้วิจารณญาณและการตรวจสอบที่ถูกต้อง เช่น ภาพตัดต่อต่างๆ
ทักษะในการบริหารจัดการข้อมูล ร่องรอยทางดิจิทัล (Digital Footprint) สามารถในการคิด เข้าใจความเป็นไปในโลกดิจิทัลว่าจะทิ้งร่องรอยและประวัติไว้เสมอ ซึ่งอาจส่งผลต่อในอนาคตและการใช้ชีวิต
ทักษะการใช้เทคโนโลยีอย่างมีความเห็นอกเห็นใจและสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น (Digital Empathy) มีความเห็นอกเห็นใจ มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในโลกออนไลน์ มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ข้อมูลเพิ่มเติม
หนังสือเรื่อง ความฉลาดทางดิจิทัล โดยสถาบันสื่อเด็กและเยาวชน
หนังสือเรื่อง คู่มือพลเมืองดิจิทัล โดย วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง, สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, 2561
www.Youtube.com หัวข้อ การเป็นพลเมืองดิจิทัล: I’m สมร 4.0 โดย Depa Thailand
www.Youtube.com หัวข้อ 8 ทักษะ พลเมืองดิจิทัล ที่เราต้องมี! Digital Citizenship คืออะไร โดย iT24Hrs
ภาวะผู้นำ Leadership
อ้างอิง ลักษณะและคุณสมบัติของ "หมอกระแส" โดย ศ.ดร.ฐาปนา บุญหล้า
หมอกระแส ท่านมีที่มาคือเป็นคนยากจน จนมาตั้งแต่เกิด แล้วประสบผลสำเร็จและมีภาวะผู้นำ
15 คณะสมบัติ (หรือเกณฑ์การพิจารณา) ดร.นโปเลียน ฮิลป์ ดังนี้
1. มีการตั้งเป้าหมายแน่วแน่และที่ชัดเจน
2. มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง
3. มีความประหยัด อดออม
4. มีความริเริ่ม และมีภาวะผู้นำ
5. มีจินตนาการ
6. มีกระตือรือร้น
7. มีการควบคุมอารมย์ที่ดี
8. มีนิสัยทำงานเกินเงินเดือน
9. มีบุคคลิกต้องตาต้องใจคนอื่น
10. มีความถูกต้องเที่ยงตรง
11. มีความใจจดจ่อในการทำงาน
12. มีความรู้รักสามัคคี
13. เอาประโยชน์จากการล้มเหลว
14. มีความใจกว้าง
15. มักจะคิดว่า ทำอะไรแล้วจะต้องสำเร็จ
มีความกตัญญู กับทุกคน ทุกองค์กร ทุกหน่วยงาน ที่ให้โอกาส
เป็นหัวใจแห่งความสำเร็จ จากหนังสือ The low of success
16 The Law of Success ศาสตร์แห่งความสำเร็จ
อ้างอิงจาก https://www.novabizz.com/NovaAce/Time/Law_of_Success.htm
The Law of Success เป็นหนังสือที่ได้รับการยอมรับสูงสุดจนเรียกได้ว่า เป็นหนังสือต้นแบบของหนังสือ Self-improvement ในปัจจุบัน ผู้แต่งคือ Dr. Napoleon Hills ท่านผู้นี้มีความสามารถและโด่งดังจนได้รับความไว้วางใจ ให้เป็นที่ปรึกษาของ ประธานาธิบดี อเมริกา ถึงสามสมัย ผู้แต่งใช้เวลา รวบรวมข้อมูลนานกว่า 20 ปีในการสัมภาษณ์บุคคล ที่ประสบความสำเร็จทั่วทั้ง สหรัฐอเมริกา เพื่อนำข้อมูล ดังกล่าวมาวิเคราะห์ว่า บุคคลเหล่านี้มีมุมมองและแนวคิดอย่างไร ที่นำพาไปสู่ความสำเร็จ ตัวอย่างบุคคลดังกล่าวคือ Henry Ford, Firestone, Thomas Edison เป็นต้น
ใจความสำคัญของหนังสือประกอบด้วยกฎทองคำ 16 ประการ เกี่ยวกับหลักปฏิบัติของผู้ที่ประสบความสำเร็จได้แก่
1. อภิจิต
คือกลุ่มคนตั้งแต่สองคนขึ้นไปที่มีแนวความคิดไปในทางเดียวกัน และมีความปรารถนาดีซึ่งกันและกัน คนที่จะประสบความสำเร็จ ได้จะต้องมี บุคคลเหล่านี้มาร่วมชีวิตหรือร่วมงานเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันจนเป้าหมายที่ตั้งไว้ประสบความสำเร็จ แต่มีข้อควรระวัง ประการหนึ่งคือ คนที่คิดไม่เหมือนกับเรา ก็ไม่ได้หมายความว่า จะต้องเป็นศัตรูกับเราเสมอไป เพราะในการทำงานความคิด ที่แตกต่างในเชิงสร้างสรรค์ ย่อมเป็นสิ่งดีที่จะช่วยสร้างนวัตกรรมใหม่ได้ ดังนั้น คนที่จะเราจะเลือกมาอยู่ในทีมควร มีคนที่คิดแตกต่างแต่ไม่แปลกแยกรวมอยู่ด้วย การสร้างอภิจิตคือ การเลือกคบคน ที่จะเข้ามาในชีวิตของเราอันได้แก่ สามีภรรยา เพื่อนสนิท เป็นต้น คนเหล่านั้นจะต้องมีจิตใจที่ดี มีความเข้มแข็ง มีความเอื้ออาทร จริงใจ เต็มใจที่จะร่วมหัวจมท้ายกับเรา และมีความสามารถ ส่วนผู้ร่วมงาน ควรเลือกคนดี มีความสามารถ มีความขยันขันแข็ง หนักงาน ไม่คิดเล็กคิดน้อย ใจกว้าง และรู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม
2. มีเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอน
การมีเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอนจะทำให้ทุก ๆ พฤติกรรมของเราทั้ง การพูด ความคิด และการกระทำไม่เสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ คนที่จะมีเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอนได้ จะต้องรู้ว่า ตนเองมีความชอบ มีความถนัดในงานประเภทใดบ้าง และอยากจะเป็นอะไรในอนาคต การจะรู้ว่า ตนเองชอบสิ่งใดนั้น จะต้องรู้จักสังเกตอารมณ์ของตัวเองว่า เมื่อไรเราทำสิ่งใดแล้ว มีความสุขหรือเมื่อเจอคนในอาชีพใดแล้ว เรารู้สึกประทับใจ ส่วนความถนัดสามารถรู้ได้จาก คำชมจากคนรอบข้างว่า เราเก่งในเรื่องใดบ้าง เป็นต้น เมื่อมีเป้าหมายแล้ว ให้สร้างเป็น มโนภาพภายในจิตใจ และเขียนติดไว้ในห้องนอนอ่านทบทวนทุกวัน เพื่อสื่อกับจิตใต้สำนึกของเราเอง นอกจากนั้น เป้าหมายของเราควรเก็บไว้ เป็นความลับ จะบอกกล่าวได้ก็แต่คนที่เข้าใจเราจริง ๆ เช่น สามีภรรยา หรือเพื่อนสนิทเท่านั้น เพราะมนุษย์ทุกคนล้วนมีความลังเลสงสัย ดูถูกดูแคลน และอิจฉาริษยาอยู่ตลอดเวลา น้อยคนนักที่จะเชื่อและช่วยเสนอแนวทางให้ไปถึงซึ่งเป้าหมายนั้น และสิ่งสำคัญที่สุดคือ เราจะต้องไม่ยอมแพ้กับความยากลำบากทั้งปวง ถึงแม้ว่าจะต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจสักเพียงไหนและจะต้องใช้เวลานาน สักเพียงใด เราต้องทำได้เพราะ "ท่านทำได้ ถ้าท่านคิดว่า ท่านทำได้"
3. มีความมั่นใจในตัวเอง
ความมั่นใจเกิดจาก การรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ทุกแง่ทุกมุม ทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ความชอบและไม่ชอบอะไรบ้าง สิ่งเหล่านี้จะทำให้เรา ไม่เห่อเหิมไปตามคำเยินยอของผู้อื่น เพราะเรารู้อยู่แล้วว่า เรามีจุดแข็งในด้านนี้ และเมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์เราก็จะไม่ห่อเหี่ยวเศร้าใจ หรือโมโห โกรธามากจนเกินไปนักเพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเป็นจุดอ่อนซึ่งเรากำลังพยายามปรับปรุงแก้ไขอยู่และขอน้อมรับคำติชมด้วยความเต็มใจ ผู้แต่งได้เสนอวิธีการสร้างความมั่นใจคือ
1. ขจัดความกลัว มนุษย์ทุกคนมีความกลัวอยู่ 6 ประการ ได้แก่
กลัวความยากจน ความยากจนป้องกันได้ด้วยการมีนิสัยประหยัดอดออมและรู้จักใช้จ่ายอย่างพอดี
กลัวความชราภาพ สังขารย่อมร่วงโรยไปตามสภาวะธรรมชาติแต่จิตใจของเราต่างหากจะต้องไม่ร่วงโรยไปตามร่างกาย ป่วยกายแต่อย่าป่วยจิต
กลัวถูกวิพากษ์วิจารณ์ มนุษย์ส่วนใหญ่รวมทั้งตัวเราเอง มักจะมองเห็นส่วนที่ไม่ดีของผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว และชัดเจนมากกว่า ส่วนดีซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้น เมื่อโดนวิพากษ์วิจารณ์เราต้องเลือกใส่ใจกับคำวิจารณ์ที่มาพร้อมกับทางแก้เท่านั้น คนที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างเดียว เราก็รับฟังแต่จะไม่ใส่ใจแม้ว่าจะเป็นเรื่องจริงก็ตามที
กลัวสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ยามรักกันอะไรก็ดูดีไปเสียทุกอย่าง มนุษย์จึ่งไม่อยากสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดจีรังยั่งยืน การพลัดพรากเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไปเสียไม่ได้
กลัวสุขภาพเสื่อมโทรม หากเราดูแลสุขภาพให้ดีเสียตั้งแต่ต้น เริ่มตั้งแต่การเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ เมื่อดูแลสุขภาพดีก็ไม่จำเป็นต้องกลัวว่า มันจะเสื่อมโทรมไปก่อนวัยอันควร
กลัวความตาย ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ หากตอนยังมีชีวิตอยู่เราได้ให้ความเอาใจใส่ดูแลคนที่เรารักเป็นอย่างดีแล้ว การอยู่หรือการตาย ย่อมไม่ต่างกันเพราะคน ๆ นั้น จะอยู่ในใจของเราตลอดไป
2. มองโลกในแง่ดี คิดแต่ด้านบวก
ปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ เพียงแต่เราหาทางแก้แล้วหรือยัง
มองสถานการณ์ปัญหาต่าง ๆ ให้ทะลุปรุโปร่ง เลวร้ายที่สุดของเรื่องนี้คืออะไร มีอะไรที่จะช่วยบรรเทาปัญหาเหล่านั้นได้บ้าง เมื่อเราสามารถคลี่คลายปัญหาต่าง ๆ ได้ เราจะเกิดความมั่นใจในตัวเองทันที
4. นิสัยประหยัดอดออม
คนที่ปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จ จะต้องรู้จักประหยัดอดออม เพราะจะทำให้รู้คุณค่าของเงิน และเมื่อจะต้องลงทุน ทำสิ่งใดจึงไม่ผลีผลามและลงทุนตามความเหมาะสม โอกาสที่จะผิดพลาดย่อมมีน้อย จึงทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
5. มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และมีความเป็นผู้นำ
คนที่จะเป็นผู้นำได้จะต้องมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อใช้ในการปรับปรุงผลงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น คนที่จะมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้จะต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
1) มองสถานการณ์เหนือกว่าผู้อื่น
2) มีสิ่งที่คนอื่นไม่มี
3) ลงมือทำ เลิกผลัดวันประกันพรุ่ง
4) มีพลังชีวิต มีความกระตือรือร้น มีนิสัยทำงานเกินเงินเดือน ผู้นำจะต้องมีลักษณะ ดังต่อไปนี้
มีความรู้ความสามารถ
เชื่อว่าตนเองมีความเชื่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ เหนือกว่าผู้อื่น
รู้จักตนเองอย่างถ่องแท้
กล้ารับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองกระทำโดยไม่โทษผู้อื่น
ปฏิบัติกับคนอื่นเสมือนหนึ่งเป็นคนในครอบครัว
มีความเมตตา รู้จักให้ และเสียสละ
สามารถสร้างแรงจูงใจให้คนรอบข้างได้ และมีเป้าหมายที่สำคัญและแน่นอน
มองภาพรวมเน้นผล รู้ว่าตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่และอยู่ตรงจุดไหนของทางเดินชีวิต และอีกไกลแค่ไหนกว่าจะถึงเป้าหมาย
ตัดสินใจอย่างรวดเร็วและถูกต้อง
มอบหมายงานได้อย่างถูกต้องตามจริตและความสามารถของลูกน้อง
6. มีจินตนาการ
ผู้ที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายล้วนใช้จินตนาการในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้น จินตนาการเป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมา และจะเกิดขึ้น ได้ก็ต่อเมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนและแน่นอน กอปรกับความเชื่อมั่นว่าเราต้องสามารถฟันฝ่าอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ เมื่อจิตมีความนิ่งสงบ ในระดับหนึ่งจึงค่อยสร้างมโนภาพและน้อมจิตถามตัวเองว่า เราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร ทางแก้จะมีมากมายหลายวิธี แต่จะมีเพียงวิธีเดียว ที่ใช้ได้ ซึ่งจะรู้ได้โดยการใช้ความรู้สึกเข้าไปทาบว่า อันไหนใช่หรือไม่ใช่ ส่วนใหญ่แล้วจินตนาการ มักเกิดขึ้นตอนสภาวะวิกฤต แต่ในสภาวะปกติ หากจำเป็นต้องใช้จินตนาการก็ต้องสร้างภาวะความกดดันขึ้นมาเช่น ให้คิดว่าถ้าอีกเจ็ดวันเราจะต้องตายจากโลกนี้ไป เราอยากจะทำอะไรบ้าง และเราได้ลงมือกระทำแล้วหรือยัง เป็นต้น
7. มีความกระตือรือร้น
คนที่มีความกระตือรือร้นจะสามารถดึงดูดคนที่พลัง มีความสามารถเข้ามาร่วมทีมได้โดยง่ายเพราะบุคลิกที่ดูมีชีวิตชีวา หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ใคร ๆ ก็อยากเข้าใกล้คบหาสมาคมด้วย ผู้แต่งกล่าวเพิ่มเติมว่า ความกระตือรือร้นอยากจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้อย่างเดียว ยังไม่พอ ต้องลงมือกระทำ ให้เกิดเป็นผลงานด้วย และที่สำคัญจะต้องรู้จักแยกแยะเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานออกจากกันอย่างชัดเจน เวลาทำงานก็ทำอย่างเต็มที่ เวลาพักผ่อนก็ไม่เอาเรื่องงานมาเป็นกังวล
8. สามารถควบคุมตนเองได้
การควบคุมตนเองให้ทำในสิ่งที่ตรงตามเป้าหมายทำได้โดยการหมั่นถามตนเองอยู่เสมอว่า ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่ (ทั้งในความคิด คำพูด และการกระทำ) ทำไปทำไม ทำแล้วจะเกิดผลอะไร สอดคล้องกับเป้าหมายของเราหรือไม่ เป้าหมายของเราตอนนี้เป็นรูปเป็นร่างแค่ไหนแล้ว นอกจากนั้น สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การควบคุมอารมณ์โกรธ ต้องบอกตัวเองว่า ห้ามระเบิดอารมณ์ใส่ผู้อื่นโดยเด็ดขาด เพราะจะเกิด ผลเสียมากกว่าผลดี ถึงแม้ว่า เราจะเป็นฝ่ายถูกก็ตาม เพราะเวลาคนเราทะเลาะกัน ไม่มีใครยอมฟังเหตุผลแน่นอน จึงเป็นการเปล่าประโยชน์ ที่จะมาเอาชนะในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ หัดปิดหูปิดตากับเรื่องไร้สาระแล้วเอาเวลามาสานความฝันของเราให้เป็นจริงจะดีกว่า วิธีการควบคุมอารมณ์และคำพูดคือ พูดทีละคำฟังทีละเสียง เพราะเมื่อเราได้ยินเสียงที่ตัวเองพูดทุกคำ เราจะมีความละอาย ที่จะใช้คำพูดรุนแรง และหยาบคาย
9. มีนิสัยทำงานเกินเงินเดือน
คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องมีความรักในงานที่ทำอยู่ อยากให้งานออกมามีคุณภาพ และรู้สึก ภูมิใจที่ได้ทำงานนั้น ๆ รู้สึกว่าตนเอง มีค่าต่อองค์กร และอยากให้องค์กรมีความเจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ การมีนิสัยทำงานเกินเงินเดือน จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก เพราะเมื่อเราตั้งใจทำงานชิ้นหนึ่งจนประสบความสำเร็จจะเกิด ความมั่นใจและมุ่งมั่น ที่จะทำงานให้ดีต่อไป ความสำเร็จก็ย่อมตามมา อย่างไม่ขาดสาย ถึงแม้ว่า จะเจออุปสรรคบ้างก็ไม่ย่อท้อเพราะเป็นงานที่เรารัก และมองปัญหาว่า เป็นส่วนที่จะทำให้งานออกมา สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
10. มีบุคลิกภาพที่ดี
บุคลิกภาพที่ดีคือ การมีความมั่นใจในตัวเอง มีความกระตือรือร้น มีความเป็นผู้นำ ยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่น และสามารถควบคุมคำพูด อารมณ์ สีหน้า และการแสดงออกได้เป็นอย่างดี มีกาละเทศะ วิธีการสร้างบุคลิกภาพที่เร็วที่สุดคือ การสร้างภาพคน ที่มีบุคลิกภาพที่น่าประทับใจไว้ในจิตใต้สำนึก แล้วทุก ๆ อิริยาบถเราจะลอกเลียนแบบไปตามนั้น
11. มีความคิดที่ถูกต้องและเที่ยงตรง ได้แก่
มองความจริงตรงตามความเป็นจริง สามารถแยกแยะข้อเท็จจริงออกจากข้อมูลทั้งหลายได้
ไม่สนใจคำนินทาหรือข่าวโคมลอย ใส่ใจแต่สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นจริง
ไม่มองโลกเป็นสีขาวหรือดำให้มองเป็นกลาง ๆ เช่น เมื่อประสบความสำเร็จก็ไม่ดีใจจนออกนอกหน้า เพราะถ้าประมาทชะล่าใจ ก็ล้มเหลวได้เช่นเดียวกัน หรือเมื่อผิดหวังก็ไม่เศร้าสร้อยจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเพราะปัญหาทุกอย่างย่อมมีทางแก้ เพียงแต่ว่าเราหาทางแก้แล้วหรือยัง เป็นต้น
รับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับตัวเรา แม้ว่ามันจะเป็นความเป็นจริงที่เจ็บปวดก็ตามเพื่อนำมาแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านั้นต่อไป
ไม่วิตกกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เพราะความกังวลไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น รังแต่จะทำให้สิ่งที่กังวลเป็นจริงขึ้นมา เพราะการย้ำคิดย้ำทำเสมือนเป็นการสะกดจิตตัวเอง
รับฟังข้อมูลแล้วนำมาพิจารณาทุกครั้งโดยยึดหลักกาลามสูตร ได้แก่
อย่าเชื่อเพราะเขาทำตาม ๆ กันมา
อย่าเชื่อเพราะเป็นครูบาอาจารย์หรือคนที่เราเคารพเพราะเขาอาจจจะพูดผิดก็ได้ อย่าเชื่อเพราะฟังดูแล้วมีเหตุมีผลเพราะเขาอาจจะหลอกเราก็ได้ อย่าเชื่อเพราะว่ามันเหมือนกับที่เราคิดไว้เลยเพราะเราก็อาจจะคิดผิดได้เช่นเดียวกัน
อย่าปักใจเชื่อว่าข้อมูลที่ได้รับมา ณ ปัจจุบันนี้จะต้องเป็นจริงไปตลอดกาลเพราะเมื่อมีเหตุและปัจจัยใหม่ ๆ ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงได้เช่น มีข้อมูลใหม่มาหักล้างข้อมูลเดิมหรือข้อมูลเดิมอาจจะล้าสมัยไปแล้วใช้ไม่ได้ เป็นต้น
12. มีความใจจดใจจ่อ
การจดจ่ออยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จนเรื่องนั้นสำเร็จลุล่วงไปด้วยด ีจะเป็นการฝึกจิตให้เป็นสมาธิและมีพลัง เมื่อจิตมีพลังจึงจะสามารถ สานความฝันให้เป็นจริงได้ นอกจากนั้น การทำงานทีละอย่างยังเป็นการฝึกนิสัยอดทนอดกลั้น ไม่ทำตามใจตัวเอง สิ่งเหล่านี้ต้องฝึกจนเป็นนิสัย ต้องบอกตัวเองอยู่เสมอว่า อย่าว่อกแว่กทำงานทีละอย่าง และต้องรู้จักเลือกทำแต่สิ่งที่มีประโยชน์และสำคัญในชีวิต การจะสร้างนิสัยใหม่ได้ จะต้องตระหนักถึง ข้อเสียของนิสัยเดิม และเห็นข้อดีของนิสัยใหม่เสียก่อนเช่น การทำงานหลายอย่างจะจับจด ไม่สำเร็จสักอย่าง จิตก็เป็นกังวล เครียด ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำแต่มีผลงานนิดเดียว สุขภาพก็เสื่อมโทรม แต่ถ้าทำทีละอย่าง งานจะมีคุณภาพ เมื่อได้รับคำชมก็จะมีกำลังใจ ที่จะผลิตผลงานดี ๆ ออกมาเรื่อย ๆ เป็นต้น คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องมีกรอบความคิดที่ถูกต้องและหมั่นปฏิบัติตาม แนวคิดนั้นอย่างสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย
13. มีความสามัคคี
ความสามัคคีในกลุ่มอภิจิตเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งเพราะ คนที่มีความมุ่งมั่น มีความใจจดใจจ่อ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และมีเป้าหมายไปใน ทิศทางเดียวกัน เมื่อร่วมพลังกายพลังใจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จะเกิดพลังที่จะสร้างสิ่งที่หวังไว้ให้เป็นจริงได้อย่างแน่นอน แต่คนส่วนใหญ ที่มาร่วมทีมกันแล้วไม่ประสบความสำเร็จเพราะมีนิวรณ์ 5 เป็นตัวขัดขวางอันได้แก่ ความอิจฉาริษยา ความโกรธเกลียดอาฆาตพยาบาท ความเบื่อหน่ายไม่กระตือรือร้น ความลังเลสงสัยโลภมาก และความอยากมีอยากเป็นชิงดีชิงเด่นซึ่งกันและกัน ดังนั้น การจะดึงคนมาร่วมทีม จะต้องเลือกคนที่มีคุณภาพจิตดีเพื่อจะได้ไม่เป็นตัวบั่นทอนกำลังกายและกำลังใจของคนภายในกลุ่ม
14. ไม่กลัวความล้มเหลว
ปัญหาและอุปสรรคเป็นสิ่งที่จะต้องเผชิญและเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขต่อไปเรื่อย ๆ ไม่มีวันหมด จงมองสิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องธรรมดา และคิดเสียว่า มันเป็นเหมือนบททดสอบความเข้มแข็งและความกล้าหาญ หากเราผ่านพ้นไปได้เราจึง จะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง เปรียบได้กับว่าว จะลอยสูงได้ก็ต้องปะทะกับลมพายุที่รุนแรง ถ้าว่าวนั้นสามารถประคับประคองจนผ่านวิกฤตไปได้ว่าวนั้นจะลอยสูงเทียมฟ้า ปัญหา อุปสรรค และความล้มเหลวในชีวิตจะเป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราดีขึ้น เก่งขึ้น และฉลาดขึ้นทุกวัน ๆ และยังเป็นการฝึกจิตให้อยู่ได้ในทุกสภาวะ คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องมีความเชื่อมั่นว่า สิ่งที่เราทำนั้นมันถูกต้อง และจะพยายามทำต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง จนกว่าความฝัน ที่วาดไว้จะเป็นจริง
15. มีใจกว้าง ได้แก่
รู้จักให้วัตถุและน้ำใจไมตรีตามสมควรโดยที่เราไม่เดือดร้อนและไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ
รู้จักให้อภัยต่อคนที่ทำให้เราโกรธเกลียด หรือคนที่เอาเปรียบเรา เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพจิตใจให้สูงขึ้น นอกจากนั้น จะต้องรู้จักให้อภัยตนเองด้วย เมื่อทำผิดพลาดไปแล้วมันย้อนเวลากลับไปไม่ได้ก็ไม่ควรจมอยู่กับอดีต ในโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ทำผิดก็แก้ไขและศึกษาข้อผิดพลาดไว้เป็นบทเรียนจะได้ไม่ทำผิดซ้ำ
เปิดรับความคิดใหม่ ๆ จะเป็นการสร้างพลังชีวิตทำให้เราสามารถอยู่ได้กับทุกคนในทุกสถาวะ แต่เราจะรู้และเลือกว่า ใครคือบุคคลที่เราควรจะเลือกคบ
16. ท่านทำได้ถ้าท่านคิดว่าท่านทำได้
17 หลักการแห่งความสำเร็จ ของ “นโปเลียน ฮิลล์”
“สิ่งใดก็ตามที่คุณกล้าจะนึกฝันและเชื่อมั่น ทุกสิ่งนั้นย่อมเป็นไปได้เสมอ”
นโปเลียน ฮิลล์ ผู้เขียนหนังสือ “Napoleon Hill’s Keys to Success: The 17 Principles of Personal Achievement” (หนังสือเล่มนี้มีฉบับแปลไทยครับ ชื่อหนังสือชื่อว่า “หัวใจแห่งความสำเร็จ” ยังไงก็ลองหามาอ่านกันได้) เขาได้เผย 17 หลักการที่มีผลต่อความสำเร็จของคนเรา โดยสรุปเป็นใจความสำคัญของแต่ละหลักการไว้สั้นๆ ดังนี้
การมีเป้าหมายที่แน่นอนชัดเจน คือจุดเริ่มต้นของการประสบความสำเร็จทั้งปวง การที่คุณไม่มีเป้าหมายหรือแผนการในหัวนั้น จะทำให้คุณใช้ชีวิตอย่างไร้จุดมุ่งหมายเหมือนกับเรือที่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลางมหาสมุทร
หลักการของแนวคิดนี้ก็คือ การทำงานร่วมกันระหว่างสองบุคคลขึ้นไปเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่ได้วางไว้ และความสำเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากปราศจากการร่วมมือกันกับผู้อื่น
ความศรัทธา คือ สภาวะที่จิตใจของเราแฝงไปด้วย เป้าหมาย แรงปรารถนา และแผนการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองที่จะนำไปสู่ความสมดุลในชีวิตและทรัพย์สิน
การทำให้มากเกินกว่าที่ใครคาดหวัง คือการปฏิบัติหน้าที่ให้มากกว่าเงินเดือนที่คุณถูกจ้าง และเมื่อคุณทุ่มสุดตัวเมื่อใด เมื่อนั้นคุณก็จะได้รับค่าตอบแทนอันคุ้มค่าตามมา
บุคลิกภาพ คือภาพรวมของ จิตใจ อารมณ์ความรู้สึก ลักษณะท่าทาง และอุปนิสัยของเรา ที่สามารถแยกลักษณะออกจากบุคคลคนอื่นๆ ได้ สิ่งนี้เองที่คนอื่นใช้ตัดสินเราว่าเราเป็นคนน่าไว้ใจหรือไม่
การเริ่มต้นที่ตัวเราเอง คือพลังที่จะกระตุ้นให้เกิดการบรรลุเป้าหมายที่เราได้ตั้งไว้ มันคือพลังซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำทั้งปวง คุณจะไม่สามารถเป็นอิสระได้เลย จนกว่าคุณจะเรียนรู้ที่จะทำในสิ่งคุณอยากทำและมีความกล้าพอที่จะลงมือทำมัน
การมีทัศนคติเชิงบวก คือสิ่งที่ควรทำในทุกสถานการณ์ เพราะเราคิดสิ่งใดมันย่อมดึงดูดสิ่งนั้นเข้ามาเสมอ ความสำเร็จก็มักดึงดูดความสำเร็จมากมายเข้ามา ขณะที่ความล้มเหลวก็มักจะดึงดูดความล้มเหลวมากมายเข้ามาเช่นกัน
ความกระตือรือร้น คือการมีศรัทธาหรือความปรารถนาอันแรงกล้าที่ออกมาจากภายใน และสามารถแสดงออกมาผ่านน้ำเสียง สีหน้า ท่าทาง และอารมณ์ได้
การมีวินัยในตัวเองเริ่มจากการเป็นนายของความคิดตัวเอง หากคุณควบคุมมันไม่ได้ คุณก็ควบคุมความต้องการของตัวเองไม่ได้เช่นกัน ซึ่งการที่คุณจะมีวินัยในตัวเองได้นั้น คุณจำเป็นต้องมีความสมดุลของสมองและหัวใจ หรือสมดุลการใช้เหตุผลและอารมณ์นั้นเอง
พลังแห่งความคิด อาจพลังที่อันตรายที่สุดหรืออาจจะเป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับมนุษยชาติ ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะใช้มันอย่างไร
การมีจิตใจจดจ่อกับสิ่งที่ทำอยู่ นำไปสู่การเป็นนายของความเพียรพยายาม นอกจากมันจะช่วยให้คุณสามารถโฟกัสความคิดของคุณได้แล้ว มันยังช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายและรักษาความตั้งใจของคุณเอาไว้ได้ด้วย
ทีมเวิร์ค คือการทำงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งก็คือ ความตั้งใจ สมัครใจ และความเป็นอิสระ เมื่อใดก็ตามที่ทุกคนมีความสามัคคีกันในการทำธุรกิจหรืออุตสาหกรรม ความสำเร็จก็ย่อมไม่หนีไปไหน ความสามัคคีกลมเกลียวจึงเป็นเสมือนสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้เลย
การที่คนเราจะประสบความสำเร็จได้นั้น ล้วนผ่านความยากลำบากและความล้มเหลวมาก่อนแล้วทั้งนั้น
การมีความคิดสร้างสรรค์ เกิดขึ้นจากการที่คุณกล้าคิด กล้าจินตนาการได้อย่างอิสระ มันจึงไม่ใช่ปาฏิหาริย์และไม่เกี่ยวกับการมีพรสวรรค์หรือไม่มีพรสวรรค์มาแต่กำเนิด
การมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงเริ่มด้วยการฝึกฝนสมาธิ ซึ่งก็เหมือนกับการประสบความสำเร็จในการลงทุน ที่เริ่มด้วยการเจริญสติ
เวลาและเงินคือทรัพยากรที่มีค่า และมีคนที่กำลังต่อสู้เพื่อความสำเร็จเหล่านี้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่เชื่อมั่นว่าพวกเขาจะต้องครอบครองสิ่งเหล่านี้ให้ได้
การพัฒนาและการสร้างนิสัยเชิงบวกจะช่วยให้จิตใจเราสงบขึ้น มีสุขภาพดีและมีความมั่นคงทางการเงินด้วย ดังนั้นความสำเร็จของคุณล้วนมาจากสิ่งเหล่านี้ก็คือ นิสัยเชิงบวก วิธีคิด และการกระทำของคุณเอง
https://learninghubthailand.com/bad-leader/
ทุกหน่วยงาน ทุกองค์กร ล้วนมีหัวหน้างาน-ลูกน้อง มีผู้บริหาร-พนักงาน แต่ในกลุ่มผู้เป็นหัวหน้า หรือกลุ่มผู้บริหาร กลับมีหลายคนที่กำลังประสบความล้มเหลวในการเป็น “ผู้นำ” นโปเลียน ฮิลล์ ได้เขียนไว้ในหนังสือ Think & Grow Rich หนังสือแนวพัฒนาตนเองที่ผู้ประสบความสำเร็จทั่วโลกล้วนเคยอ่าน ว่า “ภาวะการเป็นผู้นำ มีด้วยกัน 2 แบบ หนึ่ง ผู้นำที่ได้รับการยินยอมและความเห็นชอบจากผู้ปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นการนำทีมที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด สอง การนำทีมด้วยการสั่งงาน การบังคับ เป็นการนำโดยไม่ได้รับการยินยอมพร้อมใจใดๆ จากผู้ปฏิบัติตาม”
นโปเลียน ฮิลล์ ย้ำว่า “จากหน้าประวัติศาสตร์ เราจะเห็นชัดว่า ผู้นำที่ใช้การออกคำสั่งบังคับให้ทำตาม จะดำรงอยู่ได้ไม่ยั่งยืน มีบันทึกถึงกลุ่มผู้นำที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต แต่กลับสูญเสียอำนาจลงอย่างรวดเร็ว นั่นหมายความว่า คนส่วนใหญ่จะไม่ยินยอมพร้อมใจเดินตามผู้นำที่นำด้วยการบังคับตลอดไป”
ในฐานะหัวหน้า หรือผู้บริหารองค์กร ย่อมไม่อยากประสบความล้มเหลวในการเป็นผู้นำ… นโปเลียน ฮิลล์ ได้แนะวิธีสังเกต “10 สัญญาณอันตราย” ไว้ดังนี้…
1. ไม่สามารถจัดการงานลงรายละเอียด
บุคลิกสำคัญของการเป็น “ผู้นำที่มีประสิทธิภาพ” จะต้องเป็นคนละเอียดรอบคอบ มองทะลุทุกปัญหา สามารถจัดการกับรายละเอียดงานต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน ที่สำคัญ ไม่มีผู้นำคนใดที่จะ “ยุ่งเกิน” จนไม่สามารถตัดสินใจในฐานะผู้นำภารกิจไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำรู้ทุกรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับงาน ย่อมมองออกว่า งานใดควรเร่งทำ งานใดควรลงมือทำเอง และงานใดควรมอบหมายให้ผู้ช่วยที่สามารถรับงานต่อได้
2. ไม่ยุ่งเกี่ยวกับงานเล็กๆ น้อยๆ
ในทุกการทำงานย่อมมีงานใหญ่ งานรอง งานสำคัญ งานเร่งด่วน และงานที่รอก่อนได้ แต่บางครั้ง กับผู้นำบางคน เมื่อเห็นเป็น “งานเล็กๆ น้อยๆ” แม้จะสามารถช่วยเหลือทีมได้ แต่กลับเพิกเฉย ปล่อยให้ลูกทีมลงมือทำกันเอง “ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในหมู่พวกท่าน จะเป็นผู้รับใช้ท่าน” นโปเลียน ฮิลล์ ยกคำกล่าวอ้างอิงมาจาก “พระคัมภีร์ มัทธิว 23 :11” เพื่อชี้ให้เห็นว่า ถึงจะเป็นงานเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งปกติได้มอบให้ผู้อื่นทำ แต่ถ้าสามารถช่วยแล้วงานเสร็จเร็วขึ้น ผู้นำควรเข้าไปร่วมทำด้วย เพราะสิ่งที่จะได้กลับมา คือผู้นำคนนั้นจะได้รับความร่วมแรงร่วมใจ และการนับถือจากผู้ปฏิบัติตาม
3. คาดหวังค่าตอบแทนจาก “สิ่งที่รู้”
ไม่แปลกที่คนเป็นหัวหน้า คนเป็นผู้บริหาร จะมีความรู้ในตำแหน่งหน้าที่เป็นอย่างดี แต่บางคนเมื่อ “รู้” แล้ว คาดหวังค่าตอบแทนจากความรู้ที่อยู่ในหัว เรียกร้องรายได้จากวุฒิการศึกษา ทั้งที่โลกแห่งความเป็นจริง ค่าตอบแทนจะขึ้นอยู่กับ “การกระทำ” หัวหน้า หรือผู้บริหาร จะเป็นผู้นำที่ดีไม่ได้เลย หากหวังรายได้จากความรู้ที่มี โดยไม่ได้แปรความรู้เหล่านั้นเป็นการกระทำ และในฐานะผู้ปฏิบัติตาม ก็จะไม่เข้าใจความรู้ (ที่อยู่ในหัวของพวกเขา) หากไม่ได้เห็นภาพการกระทำที่ชัดเจน และทำตามได้ทันที นโปเลียน ฮิลล์ กล่าวว่า “โลกนี้ไม่จ่ายเงินสำหรับ ‘ความรู้ของใคร’ แต่จะจ่ายให้กับ… สิ่งที่พวกเขาทำ หรือสิ่งที่โน้มน้าวให้ผู้อื่นทำ”
4. กลัวการแข่งขันจากผู้ปฏิบัติตาม
เราสามารถเห็นได้ทั่วไปในสังคม ว่ามีผู้นำที่หวาดกลัวผู้ปฏิบัติตามคนใดคนหนึ่งจะมาแย่งตำแหน่ง ยิ่งคุณกลัวมากเท่าไหร่ สิ่งที่กลัวก็จะเป็นจริงเร็วขึ้นเท่านั้น ผู้นำที่ดีควรสอนงาน มอบหมายงาน ทำทุกวิถีทางให้พนักงานรู้ทุกรายละเอียดงานในตำแหน่งของเขาด้วยความเต็มใจ วิธีนี้จะทำให้ผู้นำสามารถปลีกตัวจากหน้าที่เดิม มีเวลาพัฒนาตนเอง และก้าวไปสร้างสรรค์สิ่งที่สำคัญยิ่งขึ้นในหน่วยงานของตน นโปเลียน ฮิลล์ ยืนยันจากการเก็บข้อมูลบุคคลผู้ประสบความสำเร็จนับร้อยคน ว่า “การมอบหมายงานให้ผู้อื่น จะทำให้ได้รับผลตอบแทนมากกว่าการพยายามทำทั้งหมดคนเดียว”
5. ไม่มีภาพจินตนาการล่วงหน้า
หากคุณตีความคำว่า “จินตนาการ” เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน เรื่องเหนือจริง คุณย่อมไม่เห็นค่า ว่าผู้นำควรจะมีจินตนาการไปเพื่ออะไร?
คำว่า “จินตนาการ” ไม่ได้หมายความเพียงแค่นั้น แต่ยังหมายถึง “การคิดภาพล่วงหน้าถึงสิ่งที่ ‘อาจจะ’ เกิดขึ้น” ผู้นำที่ดีควรต้องคิดภาพ คาดการณ์ทั้งด้านดีและด้านร้าย เพื่อเตรียมการรับมือเหตุฉุกเฉิน ทั้งยังต้องคิดแผนสำรองสำหรับให้พนักงานปฏิบัติ มิเช่นนั้น เวลาเกิดเหตุสุดวิสัย เมื่อขาดจินตนาการภาพเหตุการณ์ล่วงหน้า ทีมจะเกิดภาวะระส่ำระสาย
6. รับความดีความชอบเพียงอย่างเดียว
หัวหน้าหรือผู้บริหารที่ชอบออกหน้า รับเอาความดีความชอบทั้งหมดของผู้ใต้บังคับบัญชา ว่า “เป็นผลงานของตน” มักเผชิญกับความรู้สึกไม่พอใจ แต่น่าแปลกที่บางทีพวกเขาไม่รู้ตัว และคิดว่าสิ่งที่พนักงานทำ เป็นสิ่งที่เขาทำ! จากการวิเคราะห์ของนโปเลียน ฮิลล์ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่แทบทุกคนจะไม่ขอรับความดีความชอบใดๆ และยินดีที่จะบอกให้ทุกคนรู้ ว่าความดีความชอบเหล่านั้นเป็นของทีม เพราะผู้นำที่ดี รู้ว่าผู้ปฏิบัติงานส่วนใหญ่จะทำงานหนักขึ้น หากได้รับการยกย่องชมเชย เป็นผลดีมากกว่าแค่ได้รับผลตอบแทนเป็นตัวเงินเพียงอย่างเดียว
7. ยึดตัวเองเป็นศูนย์กลาง
หัวหน้างานที่มักยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกสรรพสิ่ง มักเผยท่าทีให้เห็นว่า “อยากทำอะไรก็ทำ” ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่ลูกน้อง/พนักงานต้องรับมือกับการมีหัวหน้างานประเภทนี้ พวกเขาจะรู้สึกเหนื่อยหน่าย แถมยังจะเอาไปนินทาว่าร้ายลับหลัง และแม้จะทำงานให้ตามสั่ง แต่ก็จะคอยระวังตัวตลอดเวลา ว่าคำสั่งนั้นเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบหรือเปล่า? นโปเลียน ฮิลล์ กล่าวว่า “ผู้ตามจะไม่ยอมรับนับถือผู้นำที่ไม่ยับยั้งชั่งใจ หรือยึดตัวเองเป็นที่ตั้ง”
8. ไม่จริงใจต่อทีม
เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยเจอ คนที่ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง เมื่อไหร่ก็ตามที่ลูกน้อง/พนักงานจับได้ว่าโดนหลอก โดนหักหลัง โดยเฉพาะจากคนที่เป็นหัวหน้า/เป็นผู้บริหาร พวกเขาจะแสดงท่าทีก้าวร้าวต่อต้านขึ้นมาทันที และไม่ว่าต่อไปจะมีงานใดมอบหมายให้ทำ ก็จะทำแบบขอไปที ทำด้วยความระแวง ว่าจะโดนอะไรอีก!? ผู้นำที่ดีจะต้อง ‘จริงใจ’ ทั้งต่อเพื่อนร่วมงาน ต่อผู้ที่เหนือกว่าและผู้ที่ต่ำกว่า คุณจะไม่สามารถคงความเป็นผู้นำของตนไว้ได้นาน หากไร้ซึ่งความจริงใจ นโปเลียน ฮิลล์ เปรียบ “ผู้นำที่ไม่จริงใจ” ว่าต่ำกว่าผงธุลีดิน สมควรถูกเหยียดหยาม และ “ความไม่จริงใจต่อกัน คือสาเหตุหลักของความล้มเหลวในทุกด้านของชีวิต”
9. ไม่พยายามโน้มน้าวให้เชื่อ
ผู้นำที่ดีจะนำทีมด้วยการพยายามโน้มน้าวให้เชื่อ ให้คิด และทำตาม ไม่ใช่การทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชา “หวาดกลัว” แต่ก็มีผู้นำที่ไม่สามารถทำให้พนักงานเชื่อและยินดีทำตามด้วยความเต็มใจได้ โดยจะพยายามทำให้ผู้ปฏิบัติตาม รู้สึกถึง ‘อำนาจ’ นั่นหมายความว่า พวกเขาจะเป็นผู้นำประเภทที่จะคอยข่มขู่ บังคับ และออกคำสั่ง คุณจะเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพได้ ต้องทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชายอมรับในความคิด ยอมรับไปถึงบุคลิกที่ไม่เบียดเบียน หรือเอารัดเอาเปรียบ เมื่อพนักงานยอมรับความคิดและการกระทำของผู้นำ นั่นหมายถึงว่า พวกเขาจะสัมผัสได้ถึงความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจ และความยุติธรรม ที่จะได้รับในทุกการปฏิบัติงาน
10. ชอบออกงาน ชอบคุยโว อวดตำแหน่ง
เรามักจะเห็นหัวหน้า/ผู้บริหารบางคน ชอบออกงาน คุยโวอวดตัว ว่าตนมีหน้าที่การงานดี มีตำแหน่งใหญ่โต เพื่อให้คนนับถือใน “ตำแหน่ง” ที่ตนได้รับเป็นความจริง ว่าพวกเขาจะได้รับการนับถือจากตำแหน่งที่ได้รับ แต่กลับไม่ได้รับการนับถือจากพนักงาน ในฐานะที่เป็นผู้นำที่ดี เพราะพวกเขาจะรู้สึกว่า ผู้นำของเขากำลังให้ความสำคัญกับตำแหน่งมากเกินพอดี
นโปเลียน ฮิลล์ เขียนแซวคนที่ชอบคุยโวอวดตำแหน่ง ในหนังสือ Think & Grow Rich ว่า “พวกเขาเป็นผู้ไม่มีความสำคัญอื่นให้คนทั่วไปเห็น นอกจาก ‘ตำแหน่ง’ ที่ได้มา จึงพยายามวางตัวหรูหรา เจ้ายศเจ้าอย่าง อวดโอ้เพื่อให้คนอื่นๆ เห็นความสำคัญ”