Microlearning: การเรียนเรื่องเล็กแต่ลึก
การเรียนรู้ในยุคดิจิทัลต้องเผชิญกับความท้าทายจากความสนใจที่ลดลงของผู้เรียนเมื่อเผชิญกับเนื้อหาการเรียนรู้ที่ยาวนาน การเรียนรู้แบบ Microlearning ได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากสามารถตอบสนองต่อความต้องการเรียนรู้ที่กระชับ ตรงประเด็น และนำไปใช้ได้จริง โดยบทความนี้มุ่งศึกษาทฤษฎี หลักการ และการประยุกต์ใช้การเรียนรู้แบบ Microlearning เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้
Microlearning คือ การเรียนเรื่องราวที่เล็กๆ แต่ลึกซึ้งเข้าใจง่าย เป็นการเรียนรู้ระยะสั้นที่มุ่งเน้นเนื้อหาที่กระชับ ตรงประเด็น เพื่อตอบสนองต่อการเรียนรู้เฉพาะด้านหรือทักษะเฉพาะจุดที่สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ทันที (Hug, 2010) แนวทางนี้ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาความรู้และทักษะอย่างต่อเนื่องในลักษณะการเรียนรู้แบบเป็นตอน ๆ (chunk-based learning)
การจัดการเรียนรู้แบบ Microlearning มีองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้:
เนื้อหาสั้น กระชับ ตรงประเด็น: แต่ละบทเรียนไม่ควรเกิน 7 นาที เพื่อรักษาความสนใจของผู้เรียน (Gupta & Bostrom, 2013)
ภาษาเข้าใจง่าย: หลีกเลี่ยงศัพท์วิชาการที่ซับซ้อนเพื่อป้องกันความสับสน (Thalheimer, 2017)
มีขั้นตอนชัดเจน: เนื้อหาควรนำเสนอแบบลำดับขั้นตอนเพื่อให้นำไปปฏิบัติได้ทันที (Allen, 2016)
แทรกความบันเทิง: การเพิ่มเนื้อหาที่สนุกสนานช่วยดึงดูดความสนใจและเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ (Miller, 2014)
เข้าถึงได้ง่ายทุกแพลตฟอร์ม: เนื้อหาควรออกแบบให้เหมาะสมกับอุปกรณ์มือถือและแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ (Garrison, 2017)
ดีงดูดทุกมิติ: เห็นแล้วต้องคลิกเข้าไปดูซ้ำหลายๆ รอบ ด้วยสีสรรค์ ลูกเล่น เทคนิคนำเสนอน่าติดตาม หรือฟังแล้วมีความต้องการจะฟังอีก (ธีรภัทร์ ถิ่นแสนดี, 2024)
การเรียนรู้แบบ Microlearning สามารถทำได้ผ่านเครื่องมือและเทคนิคดังต่อไปนี้:
วิดีโอสั้น: การเรียนรู้ผ่านวิดีโอการศึกษาที่มีเนื้อหาสั้นและชัดเจน (YouTube, Podcast)
Flashcard: การเรียนรู้แบบบัตรคำที่ช่วยกระตุ้นความจำ
สื่อสังคมออนไลน์: การสื่อสารผ่าน Facebook, Instagram, Tiktok หรือ Youtube เป็นต้น เพื่อให้ผู้เรียนเข้าถึงเนื้อหาได้ง่าย
แบบทดสอบออนไลน์: การประเมินผลผ่านแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์
Microlearning อิงตามทฤษฎีการเรียนรู้ที่สำคัญ เช่น ทฤษฎีความสนใจ (Attention Span Theory) ที่ชี้ให้เห็นว่าผู้เรียนจะมีสมาธิสูงสุดในช่วง 5-7 นาทีแรกของการเรียนรู้ (Sweller, 1988) ดังนั้น การแบ่งเนื้อหาให้เหมาะสมกับช่วงเวลานี้จะเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ได้อย่างมาก
Microlearning เป็นแนวทางการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตในยุคดิจิทัล ด้วยความกระชับ ตรงประเด็น และเนื้อหาที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทันที นอกจากนั้น ยังสามารถปรับให้เข้ากับความต้องการของผู้เรียนในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น ซึ่งเป็นแนวทางที่ควรได้รับการพัฒนาและบูรณาการในระบบการศึกษาสมัยใหม่
Allen, M. W. (2016). Michael Allen's guide to e-learning: Building interactive, fun, and effective learning programs for any company. Hoboken, NJ: Wiley.
Garrison, D. R. (2017). E-learning in the 21st century: A framework for research and practice. New York, NY: Routledge.
Gupta, S., & Bostrom, R. P. (2013). A framework for applying instructional design theories to improve learning from multimedia. Educational Technology Research and Development, 61(4), 659-684.
Hug, T. (2010). Microlearning: A new pedagogical challenge for educational research. In U. Bernath & A. Sangrà (Eds.), Research on distance education and e-learning: Open questions and possible directions (pp. 95-105). Oldenburg, Germany: BIS-Verlag.
Miller, G. (2014). The brain-friendly workplace: Five big ideas that drive employee engagement and productivity. New York, NY: Pearson.
Sweller, J. (1988). Cognitive load during problem solving: Effects on learning. Cognitive Science, 12(2), 257-285.
Thalheimer, W. (2017). Does microlearning work? What the research says about the benefits and limitations of microlearning. Portland, OR: Will Thalheimer Research.