"วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน" แปลว่า พระองค์ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
คุณวิเศษของพระองค์ ในที่นี้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1) วิชชา
2) จรณะ
อะไรเรียกว่า วิชชา ?
วิชชาในที่นี้หมายเอาความรู้ที่กำจัดมืดเสียได้
มืด คืออะไร ?
ในที่นี้หมายเอา ขันธ์ 5 คือ รูป เวทนาสัญญาสังขาร วิญญาณตรงกันข้ามกับ อวิชชาที่แปลว่า ไม่รู้ คือ ไม่รู้ถูกหรือผิด เพราะว่าเข้าไปยึดมั่นในขันธ์ 5 ว่าเป็นตัวเป็นตน จึงมืดมน ไม่รู้ไม่เห็นของจริงคือนิพพาน
ข้อสำคัญอยู่ที่อุปาทาน ซึ่งแปลว่ายึดมั่น คือ ยึดมั่นในขันธ์ 5
บทขยายความ
พระพุทธคุณประการที่ 3 ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ วิชชาจรณสัมปันโน
พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำได้แบ่งอธิบายออกเป็น 2 อย่าง คือ วิชชา อย่างหนึ่งและ จรณะ อีกอย่างหนึ่ง
ในเบื้องต้นที่ท่านขยายความคำว่า "วิชชา" มีคำศัพท์ที่เราควรจะทำความเข้าใจก่อน 2 คำ คือคำว่า ขันธ์ 5 และ อุปาทาน
ขันธ์ 5 คืออะไร
ขันธ์ แปลว่า กอง หรือหมวดหมู่
ขันธ์ 5 คือองค์ประกอบ 5ส่วน หรือ 5 กองของสิ่งมีชีวิตทุก ๆ ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์
ในเบื้องต้นพระพุทธองค์ทรงชี้ชัดเลยว่าสิ่งมีชีวิตนั้นประกอบด้วย 2ส่วนสำคัญคือ กายและ ใจ ซึ่งพระองค์ใช้คำว่า รูป กับ นาม และกายกับใจนี้ทรงแบ่งออกเป็น 5 กอง รวมเรียกว่า ขันธ์ 5 คือ
1. รูป
2. เวทนา
3.สัญญา
4.สังขาร
5. วิญญาณ
ส่วนที่เป็น "กาย" ทรงใช้คำว่า "รูป"
รูป คืออะไร คือส่วนที่เป็นร่างกายของเรา ประกอบด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ซึ่งมาประชุมกันอย่างได้สัดส่วน พระองค์ตรัสไว้ชัดเจนทีเดียว ที่เรียกว่า "รูป" เพราะว่ามันแตก ลายได้ เพราะว่ามันกระทบกระทั่งกับวัตถุภายนอกอยู่ตลอดเวลา กระทบกับความหนาวบ้าง ความร้อนบ้าง ความหิวบ้าง ความกระหายบ้าง ทั้งเหลือบ ยุง ริ้น ไร มาไต่ตอมร่างกายของเรามันก็แตกได้ทำลายได้ พอตากแดดตากฝนเข้าหน่อย มันก็เจ็บไข้ได้ป่วยกันไป แล้วพอถึงวันหนึ่งก็ย่อมแตกสลายไปเป็นธรรมดา ที่เราเรียกว่า "ตาย" ลายกลับเป็นธาตุดินธาตุน้ำ
ส่วน "ใจ" ก็มีองค์ประกอบ 4 ส่วนคือ เวทนาสัญญาสังขาร วิญญาณ
ก่อนที่จะไปทำความเข้าใจถึงองค์ประกอบของใจทั้ง 4ส่วนกันต่อไปนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องเข้าใจโครงสร้างและกลไกการทำงานของใจเสียก่อน เพราะเป็นพื้นฐานเบื้องต้น ที่จะช่วยให้เข้าใจองค์ประกอบของใจทั้งหมดในแต่ละส่วนได้อย่างง่าย ๆ และชัดเจนยิ่งขึ้น
แม้ว่าโดยปกติทั่วไป ใจของคนเรานั้นไม่ชอบอยู่นิ่ง ๆ คือ ชอบซัดส่ายไปตามอารมณ์ต่าง ๆ ที่น่าพออกพอใจ ตามแต่อำนาจของกิเลสจะพาไป แต่ถึงกระนั้นใจก็ยังมีที่อยู่ของมันเองอย่างถาวร ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ท่านได้ค้นพบว่า แท้ที่จริงแล้วใจนี้มีลักษณะรูปร่างเป็นดวงกลม ใสะอาด บริสุทธิ์ ตั้งอยู่ที่กลางกลาย เหนือสะดือขึ้นมา 2 นิ้วมือ หรือที่เรียกกันว่า ศูนย์กลางกายฐานที่ 7
โครงสร้างของใจคนเราซ้อนกันเป็นชั้นๆ มีอยู่ 4 ชั้น คล้ายๆ กับผลของมะพร้าวที่แบ่งเป็นชั้น ๆ เข้าไปตั้งแต่เปลือกแข็ง เปลือกอ่อน กะลา และเนื้อมะพร้าวส่วนขนาดแต่ละชั้นของใจก็มีขนาดไม่เท่ากัน แถมยังมีหน้าที่เฉพาะแตกต่างกันอีกด้วย
ขนาดของใจหรือเนื้อใจชั้นนอกของแต่ละคนก็ไม่เล็กไม่ใหญ่ โตเท่ากับ "เบ้าตา" ของตัวเอง ทำหน้าที่ "รับ" เปรียบได้กับชั้นเปลือกแข็งของมะพร้าว
เนื้อใจชั้นที่ 2 โตเท่ากับลูกนัยน์ตาของเรา ทำหน้าที่ "จำ" เปรียบได้กับชั้นเปลือกอ่อน
เนื้อใจชั้นที่ 3 โตเท่ากับลูกนัยน์ตาดำของเรา ทำหน้าที่ "คิด" เปรียบได้กับชั้นกะลา
เนื้อใจชั้นที่ 4 โตเท่ากับแววตาดำของเรา ทำหน้าที่ "รู้" เปรียบได้กับชั้นเนื้อมะพร้าว
ส่วนกลไกการทำงานของใจ ทั้ง 4 ขั้นตอน รับ จำ คิด รู้ จะเริ่มจากประสาทสัมผัสต่าง ๆ ของกายก่อน คือ
เมื่อมีรูปมากระทบตา ประสาทตาก็ส่งต่อไปให้ใจ ใจรับเอาไว้ เรียกว่า "เห็น"
เมื่อมีเสียงมากระทบหู ประสาทหูก็ส่งต่อไปให้ใจ ใจรับเอาไว้ เรียกว่า "ได้ยิน"
เมื่อมีกลิ่นมากระทบจมูก ประสาทจมูกก็ส่งต่อไปให้ใจ ใจรับเอาไว้เรียกว่า "ได้กลิ่น"
เมื่อมีรสมากระทบลิ้น ประสาทลิ้นก็ส่งต่อไปให้ใจ ใจรับเอาไว้ เรียกว่า "ลิ้มรส"
เมื่อมีสิ่งใดที่มากระทบกาย ประสาทกายก็ส่งต่อไปให้ใจ ใจรับเอาไว้ เรียกว่า "โผฏฐัพพะหรือสัมผัสทางกาย"
นี่เป็นกลไกการทำงานขั้นตอนที่ 1 คือ "รับ" ซึ่งเกิดขึ้นที่เนื้อใจชั้นนอกสุด แต่แปลกอยู่ตรงที่ว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่มาสัมผั ประสาทในตัวแล้ว เมื่อถูกส่งต่อไปที่ใจ ก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นภาพให้ใจรับไว้ทั้งหมด เสียงก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นภาพได้ กลิ่นก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นภาพได้รสก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นภาพได้สัมผั ทางกายก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นภาพได้ อุปมาเหมือนกับคลื่นไฟฟ้า ภาพที่เปลี่ยนเป็นคลื่นไฟฟ้า เมื่อเข้าไปในจอทีวี มันก็เปลี่ยนไปเป็นรูป เสียงที่เปลี่ยนเป็นคลื่น เมื่อเข้าไปในเครื่องทีวี เข้าไปในวิทยุก็กลับมาเป็นเสียงได้อีก คือสามารถจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ เพราะฉะนั้นรูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส และธรรมารมณ์ทั้งหลายจึงเปลี่ยนไปเป็นภาพได้ทั้งหมด ดังนั้นพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำ ท่านจึงใช้คำว่า "เห็น" (ภาพ) แทนคำว่า "รับ"
เนื้อใจชั้นที่ 1 เมื่อรับแล้ว ก็ส่งต่อไปยังเนื้อใจชั้นที่ 2 ซึ่งอยู่ลึกกว่า เบา โปร่ง โล่ง และประณีตมากกว่า ทำหน้าที่บันทึกไว้เป็นภาพทั้งหมด เหมือนกับวิดีโอที่สามารถบันทึกภาพไว้ได้การบันทึกนี้ก็คือ "จำ" ทำให้มนุษย์สามารถจำสิ่งต่าง ๆ ได้
เมื่อเนื้อใจชั้นที่ 2 จำไว้ได้แล้ว ก็ส่งต่อไปยังเนื้อใจชั้นที่ 3 ซึ่งทำหน้าที่ "คิด" แยกแยะหาเหตุ หาผลตามแต่ข้อมูลที่ได้รับเข้ามา
เมื่อคิดแยกแยะหาเหตุผลแล้ว ก็ส่งต่อไปยังเนื้อใจชั้นที่ 4 ที่อยู่ลึกกว่า เบา โปร่ง โล่งและประณีตมากยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก ทำหน้าที่ตัดสินใจสรุปข้อมูลที่ได้รับมาทั้งหมด เป็น "รู้" ซึ่งความรู้นี้ จะถูกนำไปใช้เป็นความเชื่อ หรือเป็นทิฏฐิต่อไปข้างหน้า
แต่การที่จะรับ จำ คิด รู้ ได้ถูกต้องหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ได้รับมา ถ้ารับมาถูกก็จะจำถูก คิดถูก และรู้ถูกตรงตามความเป็นจริง แต่ถ้ารับมาผิด ก็จะจำผิด คิดผิด และรู้ผิดไปจากความเป็นจริงด้วยเช่นกัน
ทำนองเดียวกับเวลาที่เราไม่สบาย จะมีอาการปวดหัว ตัวร้อน และรู้สึกไม่ค่อยอยากรับประทานอาหาร แม้ว่าอาหารจะอร่อยสักปานใด แต่เมื่อเข้าปากแล้ว เพราะความที่เป็นไข้อาหารที่ว่าอร่อยก็เลยพาลไม่มีร ชาติไปได้เหมือนกัน
หรือในขณะที่อารมณ์ไม่ดี หรือกำลังโกรธใครอยู่ แม้พูดดี ๆ ด้วย ก็ฟังไม่ค่อยจะเข้าหูหาว่าพูดจาเยาะเย้ยถากถางบ้าง เหน็บแนมบ้าง ก็คิดไปต่าง ๆ นานา
หรือเมื่ออยู่ในที่มืด ๆ เห็นเชือกวางอยู่บนพื้น ก็อาจเข้าใจว่า เป็นงู ครั้นแสง ว่างจ้าไปตาก็พร่าแสบตา มองไม่ถนัดเสียอีก หรืออยู่ใกล้เกินไป ก็จะเบลอ ๆ มองไม่เห็น เหมือนผงเข้าตา ครั้นอยู่ไกลเกินไป ต้องเพ่งต้องจ้อง การเห็นก็ผิดพลาดไปได้ง่าย หรือแม้แต่ขณะขับรถผ่านไปเร็ว ๆ เห็นหมูข้างทางก็อาจมองเห็นเป็นสุนัขไปได้อีกเหมือนกัน
ดังนั้น ถ้าขั้นตอนการรับของใจถูกต้องแล้ว ขั้นตอนอื่นๆ ทั้งจำ คิด รู้ ก็จะพลอยถูกต้องตามความเป็นจริงไปด้วย แต่หากว่ารับมาผิด ๆ แล้ว ขั้นตอนอื่น ๆ ทั้งจำ คิด รู้ก็จะพลอยผิดทั้งหมด
จากความรู้เรื่องโครงสร้างและกลไกการทำงานของใจทั้ง 4 ขั้นตอนดังกล่าว จะทำให้เราสามารถทำความเข้าใจเรื่องขันธ์ ที่เป็นองค์ประกอบของใจ คือ เวทนาสัญญาสังขาร และวิญญาณ
เวทนา แปลว่า ความรู้สึก
รู้สึกว่าอย่างไร รู้สึกว่าเป็นสุข ก็คือ สบายกายสบายใจ หรือรู้สึกว่าเป็นทุกข์ก็คือไม่สบายกายไม่สบายใจ หรือว่าเฉย ๆ คือทั้งไม่สุข ไม่ทุกข์
เวทนาเกิดจากอะไร เกิดจากการที่มีวัตถุภายนอกมากระทบประสาทสัมผัสทั้ง 5 แล้วก็ส่งไปให้ใจ เมื่อใจรับเอาไว้ แล้วก็เลยเกิดความรู้สึกขึ้นมา
เช่น มีรูปมากระทบตา ประสาทตาส่งไปให้ใจ ใจรับเอาไว้ คือ เห็น พอเห็นแล้วก็เลยเกิดความรู้สึกว่า แหม! เห็นรูปนี้สวยจัง เลยสบายใจ หรือไปเห็นสุนัขเน่าทั้งตัว จึงไม่สบายใจนี้ก็เป็นทุกข์ หรือเห็นคนที่มีหน้าตาธรรมดา เห็นแล้วก็เฉยๆ เป็นต้น
ความรู้สึกที่เกิดขึ้น เพราะมีวัตถุภายนอกมากระทบนี้ เรียกว่า "เวทนาขันธ์"
เมื่อมีเสียงมากระทบหู ประสาทหูส่งไปให้ใจ ใจรับเอาไว้ เรียกว่า "ได้ยิน" พอได้ยินแล้วก็อาจจะสุข เพราะว่าเสียงนั้นเป็นเสียงชม อาจจะทุกข์ เพราะว่าเขานินทา อาจจะเฉย ๆ เพราะว่าเขาพูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้
เมื่อมีกลิ่นมากระทบจมูก ประสาทจมูกส่งไปให้ใจ ใจก็รับเอาไว้ เรียกว่า "ได้กลิ่น" พอได้กลิ่นแล้วก็เกิดเวทนา เช่น ถ้าหอมดีจังเลย ก็สบายใจ ถ้าเหม็นจังเลย ก็เป็นทุกข์ หรือมันมีกลิ่นนิด ๆ หน่อย ๆ จึงไม่ได้รู้สึกอะไร เฉย ๆ
เมื่อรสมากระทบลิ้น ประสาทลิ้นก็ส่งไปให้ใจ ใจก็รับเอาไว้ เรียกว่า "ลิ้มรส" พอลิ้มรสปุบ ก็เกิดเวทนาขึ้นมาทันที เช่น ถ้ามันอร่อยสุขเวทนาก็เกิด ถ้ามันเผ็ดจนหุบปากไม่ลง หรือขมปีทุกขเวทนาก็เกิด หรือไม่อย่างนั้น มันเฉย ๆ ภาษาพระก็ใช้คำว่า อทุกขมสุขเวทนา คือรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์อะไร เฉย ๆ นี้ก็อีกอย่างหนึ่ง
เมื่อมีวัตถุมากระทบกาย ประสาทกายส่งให้ใจ ใจก็รับเอาไว้ พอรับเอาไว้ก็เกิดเวทนาขึ้นมาว่า มันเย็น มันร้อน มันอ่อน มันแข็ง มันนิ่ง มันกระด้าง ทั้งหมดนี้คือเวทนา
เพราะฉะนั้น "รับ" กับ "เวทนา" มิใช่อันเดียวกัน เพราะ "รับ" แล้วจึงเกิด "เวทนา" เวทนาเป็นปฏิกิริยาต่อจากการ "รับ" ของใจ เหมือนโดนต่อยแล้วทำให้เจ็บ การโดนต่อยกับรู้สึกเจ็บเป็นคนละอย่างกัน
สัญญา เป็นองค์ประกอบของใจประการที่ 2 แปลว่า ความจำได้หมายรู้ หรือระลึกถึง
จำอะไรบ้าง ? จำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำสัมผั ทางกาย แล้วก็จำอารมณ์ที่เกิดกับใจได้เช่น ฉันจำได้ว่าเคยโกรธกับอีตาคนนี้ ฉันเคยชอบตาคนนั้น มันก็เป็นอารมณ์ที่เกิดกับใจของเรา ความจำอารมณ์ที่เกิดกับใจเช่นนี้ก็เรียกว่า "สัญญาขันธ์"
สัญญาขันธ์ เกิดขึ้นเพราะกลไกการทำงานของใจที่สามารถ "จำ" หรือบันทึกข้อมูลไว้ได้ ทั้งภาพ ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งสัมผัสทางกาย และบันทึกได้แม้กระทั่งอารมณ์ที่เกิดกับใจ
พูดง่ายๆ ก็คือ เพราะใจมีกลไกในการ "จำ" หรือบันทึกข้อมูลได้ จึงเกิดสัญญาความจำได้ หรือระลึกถึง รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัสและอารมณ์ที่เคยประสบมาได้
เพราะฉะนั้น "สัญญา" กับ "จำ" ที่เป็นขั้นตอนการทำงานของเนื้อใจชั้นที่ 2 เป็นคนละอย่างกัน มิใช่อันเดียวกัน อย่าได้เข้าใจสับสน อุปมาเหมือนกับม้วนวิดีโอทัศน์ที่สามารถบันทึกทั้งภาพและเสียงไว้ในแถบแม่เหล็ก ภาพและเสียงกับสัญญาณแม่เหล็กในเนื้อเทปมิใช่สิ่งเดียวกันฉันใดสัญญาที่เป็นข้อมูลกับความสามารถในการบันทึกข้อมูล ที่เรียกว่า "จำ" ที่ฝังอยู่ในเนื้อใจชั้นที่ 2 ก็เป็นคนละอย่างกันฉันนั้น
สังขาร เป็นองค์ประกอบของใจ ประการที่ 3 แปลว่า ความคิดปรุงแต่ง
เมื่อมีรูปมากระทบตา ประสาทตาก็รับเอาไว้ ก็ก่อให้เกิดเวทนา แล้วก็ส่งไปให้เนื้อใจ ชั้นที่ 2 ซึ่งทำหน้าที่จำอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ แล้วจากนั้นก็ส่งไปให้เนื้อใจชั้นที่ 3 ซึ่งมีความใสความโปร่ง ความเบามากขึ้นไปอีก ทำหน้าที่คิด จึงเกิด "ความคิด" ขึ้นมา เช่น คิดจะยืนคิดจะเดิน คิดจะนั่ง คิดจะพูด คิดจะฟัง บางคนก็คิดสั้น คิดยาว คิดลึก คิดซึ้ง ซึ่งแบ่งประเภทได้ 3 ประเภท คือ
1. คิดดี เรียกว่า "กุศล"
2. คิดชั่ว เรียกว่า "อกุศล" และ
3. คิดไม่ดีไม่ชั่ว เป็นกลาง ๆ ก็เรียกว่า "อัพยากฤต"
เช่น คิดอายบาป คิดกลัวบาป ก็เป็นหิริโอตตัปปะ คิดที่จะพยายามแก้ไขตนเอง ก็เป็นวิริยะ คิดที่จะเสีย ละ ก็เป็นจาคะ เหล่านี้เป็นความคิดที่ดี
ส่วนความคิดชั่ว เช่น คิดจะโกง คิดจะลักจะขโมย คิดจะฆ่า คิดจะพยาบาท
หรือคิดชนิดที่ไม่ดีไม่ชั่ว กลาง ๆ เช่น คิดว่า เดี๋ยวกินแล้วจะไปนอน เดี๋ยวจะเรื่อย ๆเฉื่อย ๆ หิวก็กิน อิ่มก็นอน ร้อนก็อาบน้ำ คือ คิดเหมือนเด็ก
ความคิดทั้งหมดนี้เรียกว่า "สังขารขันธ์"
ถ้าพูดง่าย ๆสังขาร คือ ความคิด ได้แก่ คิดดี คิดชั่ว คิดไม่ดีไม่ชั่ว มีอยู่ 3 อย่างแค่นี้
เพราะฉะนั้น "คิด" กับ "สังขาร" ไม่เหมือนกัน เนื้อใจชั้นที่ 3 ทำหน้าที่คิดพอคิดแล้ว มันก็คิดปรุงแต่งให้เกิดได้ทั้งที่ดี ทั้งชั่ว ทั้งเฉย ๆ
ความคิดดี ความคิดชั่ว ความคิดเฉย ๆ นั้น ท่านเรียกว่า "สังขาร" หรือ ความคิดที่เกิดจากการปรุงแต่ง
ดังนั้น "คิด" ที่หมายถึง ความสามารถในการคิดของใจ กับ "สังขาร" ที่หมายถึงการปรุงแต่งความคิดไปในอารมณ์ต่าง ๆ ทั้งที่ดี ที่ชั่ว ที่กลาง ๆ จึงเป็นคนละเรื่องกัน
วิญญาณ เป็นองค์ประกอบของใจ ประการที่ 4 แปลว่า ความรู้แจ้งอารมณ์ เมื่อคิดแล้วก็เกิดความรู้ขึ้นมาด้วยในตัวของมันเอง คือ รู้รูปที่เห็นทางตา รู้เสียงที่ได้ยินทางหูรู้กลิ่นที่ได้สูดทางจมูก รู้รสที่ได้ลิ้มทางลิ้น รู้สัมผัสที่ได้แตะต้องทางกาย และรู้อารมณ์ที่นึกที่คิดขึ้นมาจากใจเอง ความรู้นี้เรียกว่า "วิญญาณขันธ์"
แต่มีศัพท์อีกคำหนึ่งที่มักเข้าใจสับ นกันคือ "วิญญาณธาตุ"
วิญญาณธาตุ คือ ธาตุรู้ เป็นผู้รู้หรือตัวรู้ส่วนวิญญาณขันธ์ คือ ความรู้
ตกลงจึงมี 2 อย่าง คือ ผู้รู้ (วิญญาณธาตุ) กับ ความรู้ (วิญญาณขันธ์)
ถ้าจะอุปมาให้ชัดเจน วิญญาณธาตุหรือจิตนั้น เหมือนดวงไฟส่วนวิญญาณขันธ์เปรียบเหมือนแสงไฟที่ส่องออกมาจากดวงไฟ ดวงไฟมันอยู่เฉย ๆ เมื่อมีไฟฟ้าเข้ามาก็เลยเปล่งแสงออกมาได้ เช่นเดียวกัน ใจหรือวิญญาณธาตุน่ะ อยู่เฉย ๆ แต่ว่าเมื่อมีเสียงมากระทบมีกลิ่นมากระทบ มีรูปมากระทบ จึงเกิดความรู้ออกมาได้
โดยสรุปคือ เวทนาสัญญาสังขาร วิญญาณ นั้นเป็นงานของใจส่วนใจ เป็นธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง ท่านอุปมาให้ฟังเอาไว้ว่า จิตของเราก็เหมือนกระบอกไฟฉายส่วนเวทนาสัญญาสังขาร วิญญาณ เปรียบเหมือนแสงที่พุ่งออกจากไฟฉาย
เพราะเนื้อใจชั้นที่ 1 ทำหน้าที่ "รับ" จึงเกิด "เวทนา" คือ ความรู้สึก
เพราะเนื้อใจชั้นที่ 2 ทำหน้าที่ "จำ" จึงเกิด "สัญญา" คือ ความจำได้หมายรู้
เพราะเนื้อใจชั้นที่ 3 ทำหน้าที่ "คิด" จึงเกิด "สังขาร" คือ ความคิดปรุงแต่ง
เพราะเนื้อใจชั้นที่ 4 ทำหน้าที่ "รู้" จึงเกิด "วิญญาณ" (ขันธ์) คือ ความรู้
คนนอนหลับ เวทนาสัญญาสังขาร วิญญาณ ดับไป แต่ธรรมชาติที่เรียกว่า "จิต" ยังมีอยู่ จิตยังไม่ดับ เพียงแต่ยังไม่ออกฤทธิ์ ยังไม่ทำงานออกมา
เวลาคนตาย ขันธ์ทั้ง 4 นั้นดับไปหมด แต่จิตก็ยังอยู่ ถ้าจิตนั้นไม่สิ้นกิเลสจิตก็ออกจากร่างไปถือปฏิ นธิในภพต่อ ๆ ไป พร้อมด้วยบุญกรรมที่ทำไว้
จากเท่าที่เคยศึกษามาในประวัติศาสตร์โลก ผู้ที่สามารถจำแนกแจกแจงให้เห็นองค์ประกอบของชีวิต และอธิบายกลไกการทำงานของใจได้เป็นขั้นเป็นตอนชัดเจนอย่างพระเดชพระคุณหลวงปู่นี้ ยังไม่มี
ทำไม ? เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในใจ ฉะนั้นใครที่จะเห็นปฏิกิริยานี้ได้จะต้องเห็นใจของมนุษย์ เห็นใจของสัตวโลกก่อน จึงจะสามารถอธิบายได้ถูกต้อง และอุปกรณ์สำคัญที่จะทำให้คนสามารถเห็น "ใจ" ได้นั้นคือ ธรรมกาย ซึ่งเป็นกายภายในที่มีอยู่ในกายของมนุษย์ทุกคนมาตั้งแต่เกิดนั่นแหละ
แต่มนุษย์และสัตวโลกไม่เคยเห็นธรรมกายมาก่อน จนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระองค์ได้เข้าถึง "ธรรมกาย" และทรงอาศัยตาธรรมกาย ไปรู้ไปเห็นกลไกการทำงานของใจ จึงได้ทรงนำมาชี้แจงแสดงให้เราฟังได้อย่างชัดเจนเช่นนี้
นอกจากนี้พระองค์ยังทรงอาศัยตาธรรมกายไปเห็นอีกว่า ขันธ์ 5 นี้ มีการเกิด การดับอยู่ตลอดเวลา เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน เพราะถ้าร่างกายนี้เป็นของของเราจริง เราต้องควบคุมได้ว่า ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย แต่นี่ไม่ใช่ ซึ่งในเรื่องของร่างกายวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ก็ได้เห็นแล้วว่า ร่างกายของคนเราประกอบด้วยเซลล์ (Cell) จำนวนมหาศาล แล้วเซลล์เล็ก ๆ เหล่านี้ก็รวมตัวกันเป็นเนื้อเยื่อ (Tissue) จากเนื้อเยื่อก็ประกอบกันเป็นอวัยวะ (Organ) ต่าง ๆ ในร่างกาย และอวัยวะต่าง ๆ ก็รวมตัวกันเข้าเป็นคนหรือสัตว์ขึ้นมาและนักวิทยาศาสตร์ยังใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องเห็นอีกด้วยว่า เซลล์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของร่างกายมีการเกิดการตายอยู่ตลอด เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดงของมนุษย์มีอายุเฉลี่ย ๑๒๐ วัน เป็นต้น
แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่าคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเห็นด้วยตาธรรมกายว่าแม้แต่เวทนาคือความรู้สึกสัญญาคือความจำได้สังขารคือความคิดปรุงแต่ง และวิญญาณคือความรู้ของใจ ก็มีการเกิดดับ ๆ อยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกับเซลล์ในร่างกายมนุษย์
จากการที่พระองค์ทรงเห็นการเกิดการดับอยู่ตลอดเวลาของขันธ์ 5 นี้ จึงทำให้ทรงเห็นชัดว่า ขันธ์ 5 เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เป็นของควรละ ควรปล่อยวางแต่สัตวโลกกลับเกิดความกำหนัดพอใจเสียอีกด้วย เพราะยังไม่บรรลุธรรมกาย ยังมองไม่เห็นความจริง หลงยึดว่าขันธ์ 5 นั่นแหละ เป็นตัวเป็นตนแท้จริงของเขาเอง
ความกำหนัดพอใจในขันธ์ 5 เกิดขึ้นเพราะคนเรายังไม่เข้าถึงธรรมกาย จึงไม่เห็นกลไกของชีวิตทั้ง 5 ประการ และมองไม่เห็นการเกิดดับของขันธ์ 5 ดังกล่าว จึงทำให้หลงผิดยึดมั่นว่าร่างกายและจิตใจนี้เป็นตัวตนของเรา ความยึดมั่นนี้ ท่านเรียกว่า "อุปาทาน"
พระธรรมเทศนา
ถ้ายังตัดอุปาทานไม่ได้ตราบใด ก็คงมืดตื้ออยู่อย่างนั้น ตัดอุปาทานได้มีนิพพานเป็นที่ไปในเบื้องหน้า หรือพูดให้ฟังง่ายกว่านี้ก็ว่าเมื่อตัดอุปาทานเสียได้จะมองเห็นพระนิพพานอยู่ข้างหน้า
อวิชชาที่แปลว่า ไม่รู้ นั้น ได้แก่ ไม่รู้อดีต ปัจจุบัน อนาคตของสังขารไม่รู้ปฏิจจ มุปบาทและอริยสัจ
บทขยายความ
ตรงนี้เท่ากับพระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำท่านบอกว่า ที่อุปาทานเกิดขึ้นโดยไปยึดมั่นถือมั่นเอาขันธ์ 5 ว่าเป็นตัวเป็นตนนั้น ก็เพราะมีอวิชชาเป็นต้นเหตุ อย่างที่เคยพูดไว้แล้วว่า อวิชชานี้ เป็นรากเหง้า เป็นต้นตอของกิเลสที่หยั่งรากลึกลงไปอยู่ในใจคนและเป็นความมืดที่สามารถแผ่ออกไปหุ้ม ไปคลุมใจไว้ ทำให้มนุษย์ทั้งหลายมองเห็นขันธ์ 5 ได้ไม่ครบหมดทุกส่วน อย่างดีก็เห็นแต่เพียงส่วนที่เป็นกาย แต่มองไม่เห็นส่วนที่เป็น "ใจ"
เมื่อมองไม่เห็นใจ ก็เลยไม่เห็นกลไกการทำงานของใจทั้ง 4 ขั้นตอน คือ รับ จำ คิด รู้ก็เลยยิ่งไม่รู้จักเวทนา คือความรู้สึก ไม่รู้จักสัญญา คือความจำได้หมายรู้ ไม่รู้จักสังขาร คือความคิดปรุงแต่ง และไม่รู้จักวิญญาณ คือรับรู้
เพราะฉะนั้น ทั้งมนุษย์ทั้งสัตวโลกอื่น ๆ ไม่มีใครเห็นทั้ง "ใจ" และกลไกการทำงานของใจตนเอง เพราะไม่เห็น ก็เลยทำให้หลงเข้าใจผิด ไปยืดมั่นว่าขันธ์ 5 แต่ละอย่างเป็นตัวตนหลงเข้าใจว่า รูปเป็นตัวตน เข้าใจว่า เวทนาเป็นตัวตน เข้าใจว่าสัญญาเป็นตัวตน เข้าใจว่าสังขารเป็นตัวตน เข้าใจว่า วิญญาณเป็นตัวตน
เมื่อไปยืดมั่นอย่างนี้ด้วยอำนาจของอวิชชาที่มาหุ้มใจ จึงทำให้มองไม่เห็นนิพพานทั้ง ๆ ที่นิพพานก็มีอยู่ในศูนย์กลางของธรรมกาย ที่มีอยู่แล้วภายในตัว ไม่เพียงแต่ไม่เห็นเท่านั้นยังไม่รู้สึกเฉลียวใจด้วยว่า นิพพานมีอยู่ข้างใน เป็นต้นแหล่งของความ ว่าง ปัญญา และความสุขแท้จริง แม้กระทั่งมีใครมาบอก ก็ยังไม่เชื่อ ดีไม่ดีกลับไปดูถูกผู้มาบอกด้วยความหลงผิดหรือโกรธ หาว่าเขาหลอกลวงอีก
เมื่ออวิชชาเข้ามาห่อหุ้มใจ เลยทำให้ไม่รู้อดีต ปัจจุบัน อนาคตของสังขาร ที่ว่าไม่รู้อดีตคือไม่รู้ว่า ร่างกายและจิตใจของเรามีความเป็นมาอย่างไร ไม่รู้ปัจจุบัน คือ ไม่รู้ว่าร่างกายและจิตใจที่กำลังดำเนินอยู่นี้มีความแตกดับอยู่อย่างไร ไม่รู้อนาคต คือ ไม่รู้ว่าร่างกายและจิตใจจะเป็นอย่างไรต่อไป ยิ่งไม่มีทางรู้ได้ เว้นเสียแต่จะมี วิชชา ซึ่งเป็นความรู้ที่เกิดขึ้นจากการเห็นด้วยตาธรรมกายเท่านั้น จึงจะสามารถขจัดความมืดที่ห่อหุ้มใจอันเกิดจากอวิชชา ซึ่งเป็นต้นตอของกิเลสได้เด็ดขาด
เมื่อไม่รู้อดีต ปัจจุบัน อนาคตของทั้งร่างกายและจิตใจ ก็เลยทำให้ยิ่งไม่รู้จักปฏิจจสมุปบาท วงจรลูกโซ่ของเหตุปัจจัยให้เกิดทุกข์ ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่วัดปากน้ำได้บอกไว้ในตอนสัมมาสัมพุทโธ ว่ามีอวิชชาเป็นสมุทัยหรือเหตุให้เกิดทุกข์นั่นเอง พูดง่าย ๆ
ก็คือ การที่ทุกข์นานาประการเกิดขึ้นมาได้นั้น ก็เพราะอาศัยปัจจัยที่สืบต่อเนื่องกันมา คือ
1. มี อวิชชา เป็นต้นเหตุของทุกข์
2. เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
3. เพราะมีสังขารเป็นปัจจัย จึงมี วิญญาณ
4. เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมี นามรูป
5. เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมี อายตนะ 6
6. เพราะมีอายตนะ 6 เป็นปัจจัย จึงมี ผัสะ
7. เพราะมีผัสะเป็นปัจจัย จึงมี เวทนา
8. เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัย จึงมี ตัณหา
9. เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน
10. เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมี ภพ
11. เพราะมีภพเป็นปัจจัย จึงมี ชาติ
12. เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมี ชรา มรณะ และความทุกข์ทั้งปวง
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะเอาแต่เพียงตรึกตรองด้วยความคิดนั้นยากที่จะเข้าใจ เพราะแม้แต่พระอานนท์ผู้เป็นพุทธอุปัฏฐากเอง ซึ่งเวลานั้นถึงท่านจะเป็นพระโสดาบันแล้วก็ตามก็ยังไม่อาจเข้าใจเรื่องปฏิจจ สมุปบาทนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง เช่นในครั้งหนึ่ง พระอานนท์ท่านนั่งสมาธิเพื่อพิจารณาธรรมนี้อยู่ แล้วท่านก็รู้สึกว่า ปฏิจจ มุปบาท ที่เขาว่ากันว่ายากนักหนานั้น ทำไมถึงดูเหมือนง่ายสำหรับท่านเหลือเกิน คิดได้ดังนี้ ท่านก็เลยเข้าไปเฝ้ากราบทูลเล่าความคิดของท่านแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธองค์จึงตรัสตอบว่า
"ดูก่อนอานนท์ เธออย่ากล่าวอย่างนี้ ดูก่อนอานนท์ เธออย่ากล่าวอย่างนี้ปฏิจจสมุปบาทนี้ เป็นธรรมลึกซึ้ง ทั้งมีกระแสความลึกซึ้ง เพราะไม่รู้ ไม่ตรัสรู้ไม่แทงตลอดธรรมนี้ หมู่สัตว์นี้จึงเป็นเหมือนเส้นด้ายที่ยุ่ง เป็นเหมือนกลุ่มเส้นด้ายที่เป็นปม เป็นเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง ย่อมไม่ผ่านพ้น อบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร
ดูก่อนอานนท์ เมื่อภิกษุเห็นความพอใจเนือง ๆ ในธรรมทั้งหลายอันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทานอยู่ ตัณหาย่อมเจริญ เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะโสก ปริเทว ทุกข โทมนัส และอุปายา ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้"
นี่มันยากอย่างนี้และท้ายที่สุดก็เลยไม่รู้จักอริยสัจ 4 หรือความจริงอันประเสริฐประจำโลก 4 ประการ คือ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ หลักการดับทุกข์ และทางปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้
ที่มา: https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=14777