บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาการมีส่วนร่วมของครูและบุคลากรทางการศึกษาในการบริหารสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน 2)เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของครูและบุคลากรทางการศึกษาในการบริหารจัดการสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของครู และบุคลากรทางการศึกษาจำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน 3)รวบรวมข้อเสนอแนะและแนวทางการมีส่วนร่วมในการบริหารสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูและบุคลากรทางการศึกษา โรงเรียนสุวรรณภูมิวิทยาลัย ตำบลสระคู อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 106 คน โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 มีความคลาดเคลื่อน 0.05 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่าห้าระดับ มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.88 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานได้ใช้ t-test และ F-test
ผลการวิจัยพบว่า (1)การมีส่วนร่วมของครูและบุคลากรทางการศึกษาในการบริหารสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานโดยรวมอยู่ในระดับมาก (2)การมีส่วนร่วมของครูและบุคลากรทางการศึกษาในการบริหารจัดการสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของครูและบุคลากรทางการศึกษาจำแนกตามเพศ และระดับการศึกษา พบว่า การมีส่วนร่วมรายด้านไม่แตกต่างกัน และจำแนกตามประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน พบว่า รายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (3)ข้อเสนอแนะและแนวทางการมีส่วนร่วมในการบริหารสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานทั้ง 6 ด้าน คือ ด้านการกระจายอำนาจ ด้านการบริหารตนเอง ด้านการบริการแบบมีส่วนร่วม ด้านภาวะผู้นำแบบเกื้อหนุน ด้านการพัฒนาทั้งระบบ และด้านความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ พบว่า ให้มีการสำรวจปริมาณงานและอัตรากำลังในการดำเนินงานเพื่อวางแผนการบริหารงาน ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาพัฒนาตนเองด้านวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง ครูและบุคลากรทางการศึกษาควรมีส่วนร่วมในการวางแผนการบริหารโรงเรียนให้เด่นชัดมากกว่านี้ บทบาทของคณะกรรมการสถานศึกษาในการมีส่วนร่วมในการวางแผนการบริหารให้มากขึ้น เปิดโอกาสให้มีการรับฟังความคิดเห็นของครูและบุคลากรทางการศึกษาเพิ่มขึ้นในการบริหารจัดการสถานศึกษา ควรมีระบบตรวจสอบการบริหารงานทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษามากกว่านี้ การบริหารงานควรคำนึงถึงประโยชน์ของสถานศึกษาเป็นสำคัญมีการกำหนดแผนพัฒนา ดำเนินการและมีการรายงานผล ประเมินผลแล้วนำไปใช้ในปรับปรุงในการปฏิบัติงาน (ดูฉบับเต็ม)
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาผู้เรียนตามหลักไตรสิกขา โรงเรียนมัธยมศึกษากลุ่มร้อยแก่นสารสินธุ์ 2) เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารงานวิชาการ 3) เพื่อพัฒนารูปแบบใช้ในการบริหารงานวิชาการ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาที่ 24 25 26 และ 27 จำนวน 226 คน ใช้วิธีการสุ่มอย่างง่ายด้วยวิธีการจับฉลาก เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมีค่า IOC ระหว่าง 0.67-1.00 และค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.98 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูป เพื่อหาค่าความถี่ ร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เทคนิค PNImodified
ผลการวิจัยพบว่า
1. องค์ประกอบรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาผู้เรียนตามหลักไตรสิกขา โรงเรียนมัธยมศึกษากลุ่มร้อยแก่นสารสินธุ์ มีจำนวน 6 ด้าน คือ ด้านหลักสูตรและการบริหารหลักสูตรตามหลักไตรสิกขา ด้านการจัดการเรียนการสอน ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ด้านการนิเทศภายใน ด้านการวัดและประเมินผลการศึกษา ด้านการประกันคุณภาพการศึกษา
2. การสร้างรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาผู้เรียนตามหลักไตรสิกขา โรงเรียนมัธยมศึกษากลุ่มร้อยแก่นสารสินธุ์ โดยรวม PNI = 0.27 ด้านการจัดการเรียนการสอน ค่า PNI= 0.28 ด้านการนิเทศภายใน ค่า PNI= 0.27 ด้านการวัดและประเมินผลการศึกษา ค่า PNI= 0.26 ด้านการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ด้านการประกันคุณภาพการศึกษา ค่า PNI= 0.25 ด้านหลักสูตรและการบริหารหลักสูตร ค่า PNI= 0.24 ตามลำดับ
3. การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาผู้เรียน ตามหลักไตรสิกขา โรงเรียนมัธยมศึกษากลุ่มร้อยแก่นสารสินธุ์ จำนวน 6 ด้าน 7 เป้าหมาย 35 แนวทาง 33 ตัวชี้วัด ด้านที่ 1 หลักสูตรและการบริหารหลักสูตร 1 เป้าหมาย 4 ตัวชี้วัด ด้านที่ 2 การนิเทศภายใน 1 เป้าหมาย 6 แนวทาง 6 ตัวชี้วัด ด้านที่ 3 การวัดและประเมินผลการศึกษา 1 เป้าหมาย 5 แนวทาง 5 ตัวชี้วัด ด้านที่ 4 การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ 1 เป้าหมาย 5 แนวทาง 5 ตัวชี้วัด ด้านที่ 5 การประกันคุณภาพการศึกษา 2 เป้าหมาย 5 แนวทาง 5 ตัวชี้วัด ด้านที่ 6 หลักสูตรและการบริหารหลักสูตร 1 เป้าหมาย 6 แนวทาง 4 ตัวชี้วัด (ดูฉบับเต็ม)
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาการมีส่วนร่วมของครูและบุคลากรทางการศึกษาในการบริหารสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน 2)เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมของครูและบุคลากรทางการศึกษาในการบริหารจัดการสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของครู และบุคลากรทางการศึกษาจำแนกตามเพศ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน 3)รวบรวมข้อเสนอแนะและแนวทางการมีส่วนร่วมในการบริหารสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครูและบุคลากรทางการศึกษา โรงเรียนสุวรรณภูมิวิทยาลัย ตำบลสระคู อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 106 คน โดยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้สูตรของทาโร่ ยามาเน่ ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 มีความคลาดเคลื่อน 0.05 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่าห้าระดับ มีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับเท่ากับ 0.88 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานได้ใช้ t-test และ F-test
ผลการวิจัยพบว่า (1)การมีส่วนร่วมของครูและบุคลากรทางการศึกษาในการบริหารสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานโดยรวมอยู่ในระดับมาก (2)การมีส่วนร่วมของครูและบุคลากรทางการศึกษาในการบริหารจัดการสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานของครูและบุคลากรทางการศึกษาจำแนกตามเพศ และระดับการศึกษา พบว่า การมีส่วนร่วมรายด้านไม่แตกต่างกัน และจำแนกตามประสบการณ์ในการทำงานต่างกัน พบว่า รายด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (3)ข้อเสนอแนะและแนวทางการมีส่วนร่วมในการบริหารสถานศึกษาโดยใช้โรงเรียนเป็นฐานทั้ง 6 ด้าน คือ ด้านการกระจายอำนาจ ด้านการบริหารตนเอง ด้านการบริการแบบมีส่วนร่วม ด้านภาวะผู้นำแบบเกื้อหนุน ด้านการพัฒนาทั้งระบบ และด้านความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ พบว่า ให้มีการสำรวจปริมาณงานและอัตรากำลังในการดำเนินงานเพื่อวางแผนการบริหารงาน ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาพัฒนาตนเองด้านวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง ครูและบุคลากรทางการศึกษาควรมีส่วนร่วมในการวางแผนการบริหารโรงเรียนให้เด่นชัดมากกว่านี้ บทบาทของคณะกรรมการสถานศึกษาในการมีส่วนร่วมในการวางแผนการบริหารให้มากขึ้น เปิดโอกาสให้มีการรับฟังความคิดเห็นของครูและบุคลากรทางการศึกษาเพิ่มขึ้นในการบริหารจัดการสถานศึกษา ควรมีระบบตรวจสอบการบริหารงานทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษามากกว่านี้ การบริหารงานควรคำนึงถึงประโยชน์ของสถานศึกษาเป็นสำคัญมีการกำหนดแผนพัฒนา ดำเนินการและมีการรายงานผล ประเมินผลแล้วนำไปใช้ในปรับปรุงในการปฏิบัติงาน (ดูฉบับเต็ม)
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพการจัดกิจกรรมการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) เพื่อสร้างและพัฒนาคู่มือปฏิบัติกิจกรรมการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน โดยการประยุกต์ใช้หลักธรรมอริยสัจสี่สัมพันธ์กับโครงงานคุณธรรมนักเรียน 3) เพื่อศึกษาผลการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน โดยใช้คู่มือปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียนโดยการประยุกต์ใช้หลักธรรมอริยสัจสี่สัมพันธ์กับโครงงานคุณธรรม และ 4) เพื่อศึกษาผลการประเมินคู่มือปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นครูผู้รับผิดชอบงานคุณธรรมจริยธรรม จำนวน 329 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองคู่มือ เป็นครูผู้สอนจาก 6 โรงเรียน จำนวน 18 คน ได้มาโดยการสมัครใจ เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) แบบสอบถาม 2) แบบประเมินดัชนีความสอดคล้อง 3) แบบทดสอบความรู้ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ 5) แบบนิเทศติดตามผลการดำเนินการคุณธรรม 6) แบบประเมินมาตรฐานการประเมิน และ 7) คู่มือกิจกรรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์และประเมินผล
ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการจัดกิจกรรมการคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2) คู่มือปฏิบัติกิจกรรมการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน โดยการประยุกต์ใช้หลักธรรมอริยสัจสี่สัมพันธ์กับโครงงานคุณธรรมนักเรียน ที่สร้างขึ้น ผ่านการจัดกลุ่มสนทนา การประเมินดัชนีความสอดคล้อง และการทดลองใช้ 3) เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผลการทดสอบก่อนและหลังการอบรม พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังการอบรมสูงกว่าก่อนการอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .05 คู่มือปฏิบัติกิจกรรมการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน มีค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.602 ผู้เข้าอบรมมีความพึงพอใจต่อการจัดอบรมโดยรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด จากการนิเทศติดตามผลการนำความรู้ประประสบการณ์ไปใช้ในสถานศึกษา พบว่า โดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด 4) การตรวจสอบประเมินคู่มือปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน พบว่า โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (ดูฉบับเต็ม)
ชุติเดช ทิพยวิชิน, ธีรภัทร์ ถิ่นแสนดี, จิราภรณ์ ผันสว่าง, พระสำรอง สัญญโต. 2563). การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยการประยุกต์ใช้หลักธรรมอริยสัจสี่ สัมพันธ์กับโครงงานคุณธรรมนักเรียน . วารสารมณีเชษฐาราม ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 (มกราคม-มีนาคม 2563) หน้า 10-22 P ISSN : 2774-0455 (Print) E ISSN : 2774-0978 (Online) (TCI2)
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) เพื่อศึกษาสภาพการจัดกิจกรรมการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียนในสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2) เพื่อสร้างและพัฒนาคู่มือปฏิบัติกิจกรรมการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน โดยการประยุกต์ใช้หลักธรรมอริยสัจสี่สัมพันธ์กับโครงงานคุณธรรมนักเรียน 3) เพื่อศึกษาผลการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน โดยใช้คู่มือปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียนโดยการประยุกต์ใช้หลักธรรมอริยสัจสี่สัมพันธ์กับโครงงานคุณธรรม และ 4) เพื่อศึกษาผลการประเมินคู่มือปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน กลุ่มตัวอย่างเป็นครูผู้รับผิดชอบงานคุณธรรมจริยธรรม จำนวน 329 คน ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองคู่มือ เป็นครูผู้สอนจาก 6 โรงเรียน จำนวน 18 คน ได้มาโดยการสมัครใจ เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย 1) แบบสอบถาม 2) แบบประเมินดัชนีความสอดคล้อง 3) แบบทดสอบความรู้ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ 5) แบบนิเทศติดตามผลการดำเนินการคุณธรรม 6) แบบประเมินมาตรฐานการประเมิน และ 7) คู่มือกิจกรรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์และประเมินผล
ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการจัดกิจกรรมการคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง 2) คู่มือปฏิบัติกิจกรรมการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน โดยการประยุกต์ใช้หลักธรรมอริยสัจสี่สัมพันธ์กับโครงงานคุณธรรมนักเรียน ที่สร้างขึ้น ผ่านการจัดกลุ่มสนทนา การประเมินดัชนีความสอดคล้อง และการทดลองใช้ 3) เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยผลการทดสอบก่อนและหลังการอบรม พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังการอบรมสูงกว่าก่อนการอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .05 คู่มือปฏิบัติกิจกรรมการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน มีค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.602 ผู้เข้าอบรมมีความพึงพอใจต่อการจัดอบรมโดยรวมอยู่ในระดับพึงพอใจมากที่สุด จากการนิเทศติดตามผลการนำความรู้ประประสบการณ์ไปใช้ในสถานศึกษา พบว่า โดยรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมากที่สุด 4) การตรวจสอบประเมินคู่มือปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียน พบว่า โดยรวมมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (ดูฉบับเต็ม)
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาวัฒนธรรมองค์กรการบริหารโรงเรียน 2) เปรียบเทียบวัฒนธรรมองค์กรการบริหารโรงเรียน 3) ศึกษาปัญหาและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กรโรงเรียนในอำเภอเมืองสรวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรโรงเรียนในอำเภอเมืองสรวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 จำนวน 181 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้คอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อหาค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีและการทดสอบความแปรปรวนทางเดียว (F-test)
ผลการวิจัยพบว่า 1. การนำไปใช้เกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กรการบริหารโรงเรียนในอำเภอเมืองสรวง ในภาพรวมอยู่ในระดับมากทุกรูปแบบ 2. การเปรียบเทียบวัฒนธรรมองค์กรการบริหารโรงเรียนในอำเภอเมืองสรวง ที่มีเพศและระดับการศึกษาต่างกัน โดยรวมและรายรูปแบบไม่แตกตางกัน และเมื่อเปรียบเทียบตามประสบการณ์การทำงานต่างกันโดยรวมและรายรูปแบบ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้นวัฒนธรรมองค์กรแบบครอบครัวไม่แตกต่างกัน 3. สภาพปัญหาวัฒนธรรมองค์กรโรงเรียนในอำเภอเมืองสรวง คือ 1)การจัดสรรงบประมาณในการจัดหาสื่ออุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอนไม่เพียงพอกับความต้องการของครูผู้สอน 2)บุคลากรไม่ยอมรับวิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้ขาดความคล่องตัวในระบบการทำงานและ 3)การแบ่งงานหน้าที่ความรับผิดชอบและภาระงานไม่เท่าเทียมกัน ไม่ตรงกับความรู้ความสามารถของบุคลากรทำให้การทำงานบางอย่างไม่สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวัฒนธรรมองค์กรโรงเรียนในอำเภอเมืองสรวง คือ 1)ควรแบ่งภาระงานให้เท่าเทียมกันและตรงตามความรู้ความสามารถของบุคลากรแต่ละคน 2)ควรปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรให้สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่เสมอ และ 3)ควรเน้นความสามัคคี ความรับผิดชอบ และความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เพื่อสนับสนุนให้การทำงานขององค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น (ดูฉบับเต็ม)
ประวิณา ทองวิเศษ, ธีรภัทร์ ถิ่นแสนดี, จิราภรณ์ ผันสว่าง (2564). การบริหารงานบุคคลตามหลักบารมี 6 ของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต 27. วารสารมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตร้อยเอ็ด, ปีที่ 10 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2564). หน้า 845-857. (TCI2).
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่คาดหวังของการบริหารงานบุคคลตามหลักบารมี 6 2)เพื่อวิเคราะห์ความต้องการจำเป็นการบริหารงานบุคคลตามหลักบารมี 6 3)เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะการบริหารงานบุคคลตามหลักบารมี 6 ของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยคือ ผู้บริหารและครูผู้สอน จำนวน 347 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพปัจจุบันการบริหารงานบุคคลตามหลักบารมี 6 ของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก และสภาพที่คาดหวัง โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด 2. ความต้องการจำเป็นการบริหารงานบุคคลตามหลักบารมี 6 ของผู้บริหารโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 27 โดยรวมมีค่าเท่ากับ 0.23 3. ผลการศึกษาข้อเสนอแนะ 1)ด้านการวางแผนบุคลากร ทาน ควรสำรวจถึงความขาดแคลนที่จำเป็นเพื่อนำข้อมูลมาวางแผนต่อไป 2)ด้านการสรรหาบุคลากร วิริยะ ควรนำหลัก กฎ ระเบียบ มาปฏิบัติอย่างเข้มงวด 3)ด้านการธำรงรักษาบุคลากร วิริยะ ควรมีการจัดประชุมเพื่อรับทราบปัญหาของบุคลากรแต่ละหน่วยย่อย 4)ด้านการพัฒนาบุลากร ทาน ควรส่งเสริมบุคลากรให้ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีการจัดอบรมบุคลากรอย่างน้อยภาคการศึกษาละ 1 ครั้ง 5)ด้านการประเมินผลการปฏิบัติงานบุคลากร ปัญญา ผู้บริหารควรประเมินผลงานครูตามสภาพจริง และ 6)ด้านการให้บุคลากรพ้นจากงาน ปัญญา ผู้บริหารควรใช้เหตุผลในการตัดสินใจและรับฟังความคิดเห็นของบุคลากร (ดูฉบับเต็ม)
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 2)เพื่อเปรียบเทียบทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 3)เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 4)เพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดมหาสารคาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรสังกัดสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดมหาสารคาม จำนวน 210 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยการทดสอบทีและการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวโดยใช้ F–test
ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ตามหลักสัปปุริสธรรม 7 โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. การเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นที่มีต่อทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 จำแนกตามตำแหน่ง วุฒิการศึกษา อายุ และประสบการณ์การทำงาน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน 3. ข้อเสนอแนะพบว่าผู้บริหารควรมีความรู้ ความชำนาญในการใช้ความรู้ความคิด ปัญญา และวิสัยทัศน์ในการบริหารหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เทคนิคและวิธีการต่างๆ ในการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพอย่างเป็นระบบ สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในทีมและให้ความเป็นธรรมระหว่างสมาชิกในกลุ่ม (ดูฉบับเต็ม)
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 2)เพื่อเปรียบเทียบทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 3)เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 4)เพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดมหาสารคาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรสังกัดสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดมหาสารคาม จำนวน 210 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยการทดสอบทีและการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวโดยใช้ F–test
ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ตามหลักสัปปุริสธรรม 7 โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. การเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นที่มีต่อทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 จำแนกตามตำแหน่ง วุฒิการศึกษา อายุ และประสบการณ์การทำงาน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน 3. ข้อเสนอแนะพบว่าผู้บริหารควรมีความรู้ ความชำนาญในการใช้ความรู้ความคิด ปัญญา และวิสัยทัศน์ในการบริหารหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เทคนิคและวิธีการต่างๆ ในการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพอย่างเป็นระบบ สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในทีมและให้ความเป็นธรรมระหว่างสมาชิกในกลุ่ม (ดูฉบับเต็ม)
ธิติญา เพ็ชร์แผ้ว, ธีรภัทร์ ถิ่นแสนดี, เอนก ศิลปนิลมาลบ์. 2565. การใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2. วารสารพุทธปรัชญาวิวัฒน์, ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 มกราคม. 2565. : 11-25, ISSN 2730-2644. (TCI-)
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาการใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 2)เพื่อเปรียบเทียบการใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 3) เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ครู จำนวน 347 คน และผู้ให้สัมภาษณ์ 5 คน โดยเลือกผู้ให้สัมภาษณ์ที่มีผลงานดีเด่นทางด้านงานวิชาการเครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t- test (Independent Samples) และ F-test
ผลการวิจัยพบว่า 1. การใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2. ผลการเปรียบเทียบการใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาผู้ตอบแบบสอบถามที่มีเพศต่างกันมีความคิดเห็นโดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน อายุต่างกัน มีความคิดเห็นโดยรวมแตกต่างกัน 3. ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการใช้หลักอิทธิบาท 4 ในการบริหารงานวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 มีดังนี้ 1)ผู้บริหารควรมีใจรักในการวางแผนการดำเนินงานต่างๆ ของโรงเรียน 2)ผู้บริหารควรบริการชุมชนด้วยความเต็มใจ 3)ผู้บริหารควรพยายามหาวิธีการทำงานและอำนวยความสะดวกแก่บุคลากรด้วยความเต็มใจ วิริยะอุตสาหะ 4)จากการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 ท่าน สรุปได้ดังนี้ 1)หลักสูตรและการนำหลักสูตรไปใช้มีการดำเนินการตามแผนงานบริหารวิชาการของโรงเรียนสรุปและประเมินผลการใช้หลักสูตรและนำไปปรับปรุงในการดำเนินงานวิชาการให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพสูงสุด 2)มีการประกันคุณภาพการศึกษาภายในและการประกันคุณภาพการศึกษาภายนอก โดยมีกระบวนการตรวจสอบ และประเมินคุณภาพที่ชัดเจน 3)มีการจัดการเรียนการสอนจัดให้มีการสอนซ่อมเสริมแก่นักเรียนอย่างสม่ำเสมอ สนับสนุนให้มีการใช้ภูมิปัญญาในท้องถิ่น 4)มีการวัดผลประเมินผลการเรียนตลอดปีการศึกษาติดตาม ตรวจสอบเอกสารการวัดผลและประเมินผลอย่างสม่ำเสมอ 5)ผู้บริหารมีการออกนิเทศติดตามให้กำลังใจแก่ครูผู้สอนอย่างสม่ำเสมอ
โกวิทย์ ศรีทองจันทร์, ธีรภัทร์ ถิ่นแสนดี, สุเทพ เมยไธสง. การมีส่วนร่วมการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของคณะกรรมการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดร้อยเอ็ด. วารสารพุทธปรัชญาวิวัฒน์, ปีที่ 5 ฉบัยที่ 1. หน้า 1-12, กุมภาพันธ์ 2565. ISSN 2730-2644. (TCI -)
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาการมีส่วนร่วมการมีส่วนร่วมการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของคณะกรรมการสถานศึกษา 2)เปรียบเทียบในการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของคณะกรรมการสถานศึกษา 3)ศึกษาข้อเสนอแนะการมีส่วนร่วมในการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของคณะกรรมการสถานศึกษา สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดร้อยเอ็ดกลุ่มตัวอย่าง คือ คณะกรรมการสถานศึกษาในสถานศึกษา จำนวน 123 คนเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t-test (Independent samples) และ F-test (One way ANOVA)
ผลการวิจัยพบว่า 1. สภาพการมีส่วนร่วมในการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลโดยรวมอยู่ในระดับมากโดยเรียงจากค่าเฉลี่ยสูงไปต่ำ ได้แก่ ด้านการให้คำปรึกษาและพิจารณาให้ข้อเสนอแนะการดำเนินงานด้านการระดมทุนทางสังคมและทรัพยากรด้านการกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานและด้านการวางแผนการดำเนินงาน 2. เปรียบเทียบการมีส่วนร่วมในการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของคณะกรรมการสถานศึกษา จำแนกตามเพศโดยรวม และด้านการระดมทุนทางสังคมและทรัพยากร ด้านการกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จำแนกตามอายุและอาชีพไม่แตกต่างกัน ส่วนด้านการให้คำปรึกษาและพิจารณาให้ข้อเสนอแนะการดำเนินงานด้านการกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .05 3. ข้อเสนอแนะการมีส่วนร่วมการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของคณะกรรมการสถานศึกษา ควรเปิดโอกาสให้คณะกรรมการสถานศึกษาเข้ามาส่วนคิดตัดสินใจ ร่วมวางแผน ร่วมทำงาน ร่วมในการค้นหาปัญหาและสาเหตุของปัญหาภายในสถานศึกษาควรสร้างความรู้สึกผูกพันเพื่อร่วมกันในการบริหารสถานศึกษาให้บรรลุเป้าหมายให้เกิดประโยชน์สูงสุด ควรมีการตรวจสอบ กำกับ ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างเป็นระบบ (ดูฉบับเต็ม)
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาความคิดเห็นของครูผู้สอนต่อการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในยุค NEW NORMAL ของผู้บริหารสถานศึกษา 2)เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูผู้สอนต่อการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในยุค NEW NORMAL ของผู้บริหารสถานศึกษา 3) เพื่อรวบรวมข้อเสนอแนะของครูผู้สอนต่อการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในยุค NEW NORMAL ของผู้บริหารสถานศึกษา ศูนย์เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ 3 เมืองศรีภูมิ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นครูผู้สอน จำนวน 140 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ได้แก่ความถี่ร้อยละค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานการทดสอบสมมติฐานงานวิจัยด้วยค่า t-test และ F–test
ผลการวิจัยพบว่า 1)การบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในยุค NEW NORMAL ของผู้บริหารสถานศึกษา ศูนย์เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ 3 เมืองศรีภูมิ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านโดยเรียงจากค่าเฉลี่ยมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการคัดกรอง ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา ด้านการส่งเสริมและพัฒนาและด้านการส่งต่อ ตามลำดับ 2)การเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูผู้สอนต่อการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในยุค NEW NORMAL ของผู้บริหารสถานศึกษาจําแนกตาม เพศ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงาน พบว่า ด้านการส่งเสริมและพัฒนา ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา ด้านการส่งต่อ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคลและด้านการคัดกรองไม่แตกต่างกัน 3)ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในยุคNEW NORMAL ของผู้บริหารสถานศึกษา ศูนย์เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ 3 เมืองศรีภูมิ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 (1) ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ผู้บริหารควรส่งเสริมให้บุคลากรใช้เครื่องมือที่หลากหลายในการสังเกตพฤติกรรมนักเรียน (2) ด้านการคัดกรอง ผู้บริหารควรสนับสนุนและจัดอบรมให้ความรู้แก่บุคลากรในการคัดกรอง (3) ด้านการส่งเสริมและพัฒนา ผู้บริหารควรจัดทำโครงการเยี่ยมบ้านนักเรียนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง (4) ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา ผู้บริหารควรดูแลความปลอดภัยและมีมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในโรงเรียนให้มากขึ้น (5) ด้านการส่งต่อ ผู้บริหารควรเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการกำกับ ติดตาม และประเมินผล เพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนต่อไป (ดูฉบับเต็ม)
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา 2)เพื่อเปรียบเทียบระดับความคิดเห็น การบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา 3)เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มพระธาตุอุปมุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้บริหาร ครูและบุคลากรทางการศึกษา ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานกลุ่มพัฒนาคุณภาพการศึกษาพระธาตุอุปมุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 จำนวน 10 โรงเรียน รวมทั้งสิ้น 95 คน และมีเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.98 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมุติฐานหารวิจัยด้วยค่า t-test และ F-test
ผลการวิจัยพบว่า 1)การบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มพระธาตุอุปมุงสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 พบว่า ความคิดเห็นของการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มพระธาตุอุปมุงสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2)การเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นของการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มพระธาตุอุปมุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 โดยรวมและรายด้าน จำแนกตามอายุโดยรวมไม่แตกต่างกัน สำหรับรายด้านปรากฏว่า ด้านการคัดกรองนักเรียน และด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา มีความคิดเห็นแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นของการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มพระธาตุอุปมุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 โดยรวมและรายด้าน จำแนกตามประสบการณ์ทำงานโดยรวมไม่แตกต่างกัน ในทุกด้านการเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นของการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มพระธาตุอุปมุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 โดยรวมและรายด้าน จำแนกตามระดับการศึกษาโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ในทุกด้าน 3)ข้อเสนอแนะการการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มพระธาตุอุปมุง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาร้อยเอ็ด เขต 3 มีดังนี้ มีการสังเกตสัมภาษณ์ สอบถาม บันทึกพฤติกรรมนักเรียนเป็นรายบุคคล โดยเฉพาะนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือ คัดกรองตามความจริงเพื่อประสิทธิภาพในการคัดกรองส่งเสริมนักเรียนตามความต้องการและความสามารถของแต่ละคนมีการร่วมมือกับผู้ปกครองและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ในการสอดส่องดูแล และแก้ไขปัญหาร่วมกันมีความร่วมมือกันในทุกภาคส่วน ในลักษณะองค์กรวิชาชีพ (ดูฉบับเต็ม)
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ 2)เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูต่อการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ 3)เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะแนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย ได้แก่ ครูผู้สอนโรงเรียนพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 105 รูป/คนสัมภาษณ์ผู้บริหาร จำนวน 5 รูป เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ได้แก่ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน โดยใช้ t–test
ผลการวิจัยพบว่า 1. การบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม โดยภาพรวมอยู่ในระดับ 2. การเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูต่อการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรมจำแนกตาม เพศ อายุ และประสบการณ์การทำงาน โดยรวมและรายด้านทุกด้านแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 ยกเว้น ประสบการณ์การทำงาน ที่ไม่แตกต่างกัน 3. ข้อเสนอแนะแนวทางการบริหารงานบุคคลตามหลักพรหมวิหาร 4 ของผู้บริหารโรงเรียนพระปริยัติธรรม ได้แนวทาง ดังนี้ 1)การแสดงออกถึงความรักความปรารถนาดี ให้ความช่วยเหลือให้ทุกคนประสบแต่ประโยชน์และมีความสุขโดยทั่วกัน และยึดหลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม 2)หากการทำงานเกิดปัญหาหรืออุปสรรค สิ่งแรกที่หัวหน้าควรทำ คือกรพูดคุย สอบถามถึงปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมชี้แนะแนวทางการแก้ไขและพูดให้กำลังใจ โดยไม่ปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพัง 3)ความยินดี พลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีได้รับความสำเร็จ มีความสุขมีความเจริญก้าวหน้า ยินดีในสิ่งที่ผู้อื่นได้รับ ไม่มีความอิจฉาริษยากันในความสำเร็จของผู้อื่นด้วยการพูดแสดงความยินดี 4)เมื่อประสบกับอุปสรรคในการทำงานใดๆ ต้องให้ความช่วยเหลือให้ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ ไม่ซ้ำเติมด้วยการลงโทษอย่างไม่เป็นธรรม ลงโทษโดยไร้เหตุผล (ดูฉบับเต็ม)
พัฒติยา อังคุนะะ, ธีรภัทร์ ถิ่นแสนดี, พระพลากร สุมงฺคโล (อนุพันธ์). 2566. แนวทางพัฒนาการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารโรงเรียนการกุศลของวัดในพระพุทธศาสนา จังหวัดร้อยเอ็ด. วารสารวารสารสหวิทยาการมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 (มกราคม – กุมภาพันธ์ 2566) : 40-57. ISSN : 2697-6471 (Online) (TCI1)
บทคัดย่อ
บทความวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 2)เพื่อเปรียบเทียบทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 3)เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 4)เพื่อศึกษาแนวทางพัฒนาทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ตามหลักสัปปุริสธรรม 7 ของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดมหาสารคาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรสังกัดสถานศึกษา สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดมหาสารคาม จำนวน 210 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยการทดสอบทีและการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวโดยใช้ F–test
ผลการวิจัยพบว่า 1. ระดับทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 ตามหลักสัปปุริสธรรม 7 โดยรวมอยู่ในระดับมาก 2. การเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นที่มีต่อทักษะการบริหารสถานศึกษาในศตวรรษที่ 21 จำแนกตามตำแหน่ง วุฒิการศึกษา อายุ และประสบการณ์การทำงาน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน 3. ข้อเสนอแนะพบว่าผู้บริหารควรมีความรู้ ความชำนาญในการใช้ความรู้ความคิด ปัญญา และวิสัยทัศน์ในการบริหารหน่วยงานให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้เทคนิคและวิธีการต่างๆ ในการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพอย่างเป็นระบบ สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในทีมและให้ความเป็นธรรมระหว่างสมาชิกในกลุ่ม (ดูฉบับเต็ม)
http://ojs.mbu.ac.th/index.php/RJGE/issue/view/135 วารสารการบริหารการศึกษา มมร.วิทยาเขตร้อยเอ็ด
รุจิรา มรกตอัมพรกุล, ธีรภัทร์ ถิ่นแสนดี p99
บทคัดย่อ
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์และความต้องการจำเป็นในการบริหารสถานศึกษา และ 2) เพื่อเสนอแนวทางการบริหารสถานศึกษาตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและครูผู้สอน จำนวน 145 คน และผู้ให้ข้อมูลสำคัญจำนวน 5 คน เครื่องมือวิจัยคือแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ซึ่งมีค่าความเที่ยงตรงของเนื้อหาเท่ากับ 0.67-1.00 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.97และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการประเมินความต้องการจำเป็นด้วยค่า PNIModified รวมทั้งการวิเคราะห์เชิงพรรณนา
ผลการวิจัยพบว่า สภาพปัจจุบันของการบริหารสถานศึกษาตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในอำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม อยู่ในระดับปานกลาง ด้านการมีส่วนร่วมและการสนับสนุนจากทุกภาคส่วนอยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่การบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กมีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด สภาพพึงประสงค์โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ด้านการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ความต้องการจำเป็นสูงสุดได้แก่ ด้านการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ด้านวิชาการและกิจกรรมตามหลักสูตร และด้านบุคลากร ส่วนแนวทางการบริหารสถานศึกษาตามหลักสังคหวัตถุ 4 ของผู้บริหารศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก คือ ด้านการบริหารจัดการศูนย์พัฒนาเด็กเล็กควรมีการจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ ส่งเสริมการอบรมเลี้ยงดูและพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง พร้อมจัดหาสื่อการเรียนที่เหมาะสม บุคลากรต้องมีความรู้ ความสามารถ และมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี อาคารสถานที่ต้องปลอดภัย สะอาด และเหมาะกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ควรมีการพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมที่สมดุล เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กปฐมวัย และสนับสนุนการดำเนินงานของศูนย์อย่างทั่วถึง
https://so07.tci-thaijo.org/index.php/rtnb/article/view/4564/3563
Factors of Buddhism Method a Reducing Aggression to Effectiveness of the 21st Century Thai’s Youth