โรคพิษสุนัขบ้าเป็นแล้วตาย รู้ไว้ป้องกันได้
โรคพิษสุนัขบ้าเป็นแล้วตาย รู้ไว้ป้องกันได้
โรคพิษสุนัขบ้า
เกิดจากเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้า (RABV) ซึ่งเชื้อไวรัสนี้มักพบได้ในน้ำลายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยสุนัขเป็นสาเหตุของการแพร่เชื้อนี้ในคนถึงร้อยละ 99 มีอันตรายร้ายแรงและเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสาคัญในการเสียชีวิตของการติดเชื้อจากสัตว์สู่คนทั่วโลก
ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อจะมีอาการทั้งแบบคลุ้มคลั่ง หรือแบบอัมพาต แขนขาอ่อนแรง จนกระทั่งหมดสติและเสียชีวิต โรคนี้มีอัตราการเสียชีวิตร้อยละ 100 (เสียชีวิตทุกราย) และยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายได้
การแพร่เชื้อ : เชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าไม่สามารถผ่านผิวหนังที่ปกติได้โดยตรง แต่จะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล หรือการสัมผัสพื้นผิวเยื่อเมือกโดยตรง
แนวทางการป้องกันและการดูแลรักษาผู้สัมผัสโรคพิษสุนัขบ้า
สำหรับแนวทางการป้องกันและการดูแลรักษาผู้สัมผัสโรคพิษสุนัขบ้ามีคำแนะนำจากหลายค่าย ไม่ว่าจะเป็นองค์การอนามัยโลก กระทรวงสาธารณสุข หรือ สภากาชาดไทย บทความนี้จะอ้างอิงจากสภากาชาดไทยเป็นหลักซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือ การป้องกันโรคล่วงหน้า และ การป้องกันโรคหลังสัมผัสโรค
การป้องกันโรคล่วงหน้า (Pre-exposure prophylaxis : PrEP)
แนะนำเฉพาะคนกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสได้รับเชื้อสูง เช่น สัตวแพทย์ผู้ที่ต้องทำงานในห้องปฏิบัติการ ผู้ที่ต้องทำงานกับสัตว์หรือต้องจับสัตว์ตลอดเวลา รวมถึงผู้ที่จะเดินไปยังประเทศที่มีการระบาดสูง โดยฉีด 2 ครั้ง และ 3 ครั้งในกรณีผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงในการสัมผัสโรคหรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
การป้องกันโรคหลังสัมผัสโรค (Post-exposure prophylaxis : PEP) องค์การอนามัยโลกได้แบ่งออกเป็น 3 กรณี
กรณีสัมผัสสัตว์โดยผิวหนังปกติไม่มีบาดแผล :
- แนะนำล้างฟอกสบู่บริเวณผิวหนังที่สัมผัส
- ไม่ต้องฉีดวัคซีน
สัตว์กัดหรือข่วนเป็นรอยช้ำเป็นแผลถลอก สัตว์เลียบาดแผล หรือบริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้าโดยไม่ทำให้สุก :
- แนะนำล้างแผลบริเวณผิวหนังที่สัมผัส
- ฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า
การล้างแผลนั้นให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและฟอกสบู่หลายๆครั้งทันที ล้างทุกแผล โดยให้ลึกถึงก้นแผลและล้างอย่างช้าๆ นานอย่างน้อย 15 นาที และระวังอย่าให้แผลช้ำ เพื่อลดปริมาณเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าที่ปนเปื้อนบริเวณแผล และ ช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อจุลชีพต่างๆ ที่บาดแผล และรักษาแผลโดยเช็ดแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อที่ไม่มีฤทธิ์ทำลายเนื้อเยื่อ เช่น povidone iodine หรือ 0.5% chlorhexidine in water แต่ถ้าไม่มีให้ใช้ 70% alcohol ห้ามใช้ครีม หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นทา อาจจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันบาดแผลติดเชื้อร่วมด้วย
สัตว์กัดหรือข่วน มีเลือดออกชัดเจน น้ำลายสัตว์ถูกเยื่อบุ หรือ บาดแผลเปิด รวมทั้งค้างคาวกัดหรือข่วน :
- ล้างและรักษาแผล
- ฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า
- ฉีดแอนติบอดีหรือที่เรียกว่าอิมมูโนโกลบูลิน (RIG) ให้เร็วที่สุด ไม่เกิน 48 ชั่วโมงหลังได้รับเชื้อยกเว้นผู้ที่เคยได้รับวัคซีนมาก่อนไม่ต้องฉีดแอนติบอดี
การให้วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าหลังสัมผัสโรค แบ่งออกเป็น 3 กรณี
ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน : ฉีดวัคซีน 4-5 ครั้ง ขึ้นกับวิธีบริหารยา
เคยได้รับวัคซีนมาก่อนไม่เกิน 6 เดือน : ฉีดวัคซีน 1 ครั้ง
เคยได้รับวัคซีนมานานกว่า 6 เดือน : ฉีดวัคซีน 1 - 2 ครั้ง ขึ้นกับวิธีบริหารยา
ทั้งนี้ หากผู้ป่วยมาพบแพทย์หลังสัมผัสสุนัขหรือแมวมานานกว่า 10 วัน โดยสัตว์ยังมีอาการปกติดี ไม่ต้องให้ฉีดวัคซีนก็ได้ (หรืออาจพิจารณาให้วัคซีนแบบป้องกันโรคล่วงหน้า : PrEP)
การให้วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก สำหรับผู้ที่สัมผัสโรคพิษสุนัขบ้า แบ่งออกเป็น 2 กรณีดังนี้
เคยได้วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักมาแล้วอย่างน้อย 3 ครั้ง และได้เข็มสุดท้ายมานานกว่า 5 ปี แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักกระตุ้น 1 เข็ม
ไม่เคยได้หรือเคยได้วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักน้อยกว่า 3 ครั้ง ให้วัคซีน 3 ครั้ง โดยให้ฉีดป้องกันโรคบาดทะยักในวันที่ 0, 1 เดือนและ 6 เดือน จนครบ 3 เข็ม
การให้วัคซีนในผู้ป่วยกลุ่มพิเศษ
เด็ก แนะนำให้วัคซีนเซลล์เพาะเลี้ยงและวัคซีนไข่เป็ดฟักบริสุทธิ์ภายหลังสัมผัสโรคด้วยขนาดยาเท่ากับผู้ใหญ่ (ใช้ได้กับทุกสูตร) ซึ่งผลข้างเคียงจากการรับวัคซีนไม่ได้เพิ่มขึ้น
หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร ไม่ได้เป็นข้อห้ามของการให้วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (rabies vaccines) และ RIG ทั้งนี้แนะนำแจ้งแพทย์และเภสัชกรก่อนฉีดวัคซีน
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง การให้วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า (rabies vaccines) และ RIG ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง แนะนำให้เจาะเลือดประเมินดูว่ามีภูมิคุ้มกันเพียงพอในการป้องกันโรคหรือไม่ในวันที่ 14 หลังได้รับวัคซีน
บทความโดย
ภญ.ดุษฎี ลือชาพุฒิพร
เภสัชกรประจำร้านบ้านยายิ้ม