เรื่องที่ 2 วิธีการปฐมพยาบาลกรณีต่าง ๆ

2.1 วิธีการปฐมพยาบาลกรณีอุบัติเหตุ

อุบัติเหตุ หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมิได้วางแผนไว้ล่วงหน้า ซึ่งก่อให้เกิด การบาดเจ็บ

พิการ หรือทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย นอกจากนี้ความหมายในเชิง วิศวกรรมความปลอดภัยนั้นอุบัติเหตุ ยังมีความหมายครอบคลุมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว มีผลกระทบกระเทือนต่อกระบวนการผลิตปกติ ทำให้เกิดความล่าช้า หยุดชะงัก หรือเสียเวลาแม้จะไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บ หรือพิการก็ตาม เช่น อุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือทางถนน อุบัติเหตุ ทางน้ำ อุบัติเหตุทั่วไป เป็นต้น

อุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือทางถนน

อุบัติเหตุทางรถยนต์หรือทางถนน เป็นสาเหตุสำคัญที่คร่าชีวิตคนไทย ซึ่งการ ช่วยเหลือผู้

ประสบเหตุอย่างถูกวิธีจะช่วยลดการบาดเจ็บรุนแรงและเสียชีวิตได้ เพราะบ่อยครั้งที่ ผู้เข้าช่วยเหลือได้รับอันตรายจากอุบัติเหตุซ้ำซ้อน จึงมีข้อแนะน˚าที่ควรปฏิบัติในการช่วยเหลือ ผู้ประสบอุบัติเหตุทางถนนอย่างถูกวิธี ดังนี้

1. ประเมินสถานการณ์ จากสภาพแวดล้อมและสภาพการจราจรของจุดเกิดเหตุ โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืนหรือทัศนวิสัยไม่ดี ควรเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษเพื่อป้องกัน อุบัติเหตุซ้ำซ้อน

2. ส่งสัญญาณเตือนให้ผู้ร่วมใช้เส้นทางเพิ่มความระมัดระวัง โดยเปิด สัญญาณไฟฉุกเฉินของรถคันที่เกิดเหตุ นำกิ่งไม้ ป้ายสามเหลี่ยม หรือกรวยสะท้อนแสงมาวางไว้ ด้านหลังรถห่างจากจุดเกิดเหตุในระยะไม่ต่ำกว่า 50 เมตร

3. โทรศัพท์แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ตำรวจ หน่วยแพทย์ฉุกเฉิน พร้อมให้ ข้อมูลจุดเกิดเหตุ จำนวนและอาการของผู้บาดเจ็บ เพื่อเจ้าหน้าที่จะได้วางแผนให้การช่วยเหลือ ผู้ประสบเหตุได้อย่างถูกต้อง

4. ช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุที่มีอาการรุนแรงเป็นลำดับแรก โดยเฉพาะผู้ที่ หมดสติหยุดหายใจ -หัวใจหยุดเต้นและเสียเลือดมาก กรณีผู้ประสบเหตุบาดเจ็บเล็กน้อย ให้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นตามอาการ

5. หากไม่มีทักษะการช่วยเหลือ ห้ามเคลื่อนย้ายผู้ประสบเหตุด้วยตนเอง ควรรอให้ทีมแพทย์ฉุกเฉินมาช่วยเหลือ และนำส่งสถานพยาบาล จะช่วยลดการบาดเจ็บรุนแรง ที่ท˚าให้ผู้ประสบเหตุพิการหรือเสียชีวิต

การช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุอย่างถูกวิธีจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการได้รับ อันตราย และทำให้ผู้ประสอุบัติเหตุได้รับการดูแลอย่างปลอดภัย จึงช่วยลดอัตราการบาดเจ็บ รุนแรงและเสียชีวิตจากการช่วยเหลือไม่ถูกวิธี

อุบัติเหตุทางน้ำ

อุบัติเหตุทางน้ำอาจเกิดจากสาเหตุที่สำคัญ 2 ประการ คือ ตัวบุคคล และ สภาพแวดล้อม

ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ของอุบัติเหตุทางน้ำ มักเกิดจากความประมาท และการกระทำ ที่ไม่ปลอดภัยของผู้ขับเรือและผู้โดยสาร  อย่างไรก็ตาม กรณีที่เกิดอุบัติเหตุทางน้ำส่วนใหญ่ผู้ที่ประสบเหตุที่จะได้รับ อันตราย คือ ผู้ที่อยู่ในสภาวะจมน้ำ และขาดอากาศหายใจ ในที่นี้จึงยกตัวอย่างวิธีการปฐมพยาบาล กรณีจมน้ำ ดังนี้

การจมน้ำ

การจมน้ำทำให้เกิดอันตรายจากการขาดออกซิเจนไปเลี้ยงสมองการช่วยชีวิต และการกู้ฟื้น

คืนชีพ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ท˚าให้ผู้ที่จมน้˚ารอดชีวิตจากการปฐมพยาบาล

1. จัดให้นอนตะแคงกึ่งคว่ำ รีบตรวจสอบการหายใจ

2. ถ้าไม่มีการหายใจให้ช่วยกู้ชีพทันที โดยการผายปอด/เป่าปาก

3. ให้ความอบอุ่นกับร่างกายผู้จมน้˚าโดยถอดเสื้อผ้าที่เปียกน้˚าออกและใช้ผ้าแห้งคลุมตัวไว้

4. นำส่งสถานพยาบาล

ข้อควรระวัง

1. กรณีผู้จมน้˚ามีประวัติการจมน้˚า เนื่องจากการกระโดดน้ำหรือเล่นกระดานโต้คลื่น การช่วยเหลือต้องระวังเรื่องกระดูกหัก โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายผู้จมน้ำ โดยเมื่อนำ ผู้จมน้ำขึ้นถึงน้ำตื้นพอที่ผู้ช่วยเหลือจะยืนได้สะดวกแล้วให้ใช้ไม้กระดานแข็งสอดใต้น้ำรองรับตัว ผู้จมน้ำใช้ผ้ารัดตัวผู้จมน้˚าให้ติดกับไม้ไว้

2. ไม่ควรเสียเวลากับการพยายามเอาน้˚าออกจากปอดหรือกระเพาะอาหาร

3. หากไม่สามารถนำผู้จมน้ำขึ้นจากน้˚าได้โดยเร็วอาจเป่าปากบนผิวน้ำ โดยหลีกเลี่ยงการเป่าปากใต้น้ำ และห้ามนวดหน้าอกระหว่างอยู่ในน้ำ

อุบัติเหตุทั่วไป (ตกจากที่สูง หกล้ม ไฟไหม้/น้ำร้อนลวก)

อุบัติเหตุทั่วไป เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ทุกที่ ทุกเวลา และเกิดได้กับบุคคลทุกเพศ ทุกวัย เช่น การตกจากที่สูง หกล้ม ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เป็นต้น

1. การตกจากที่สูง

การตกจากที่สูง สามารถท˚าให้เกิดอันตรายได้รุนแรงมากน้อยต่าง ๆ กันไป เช่น ตกจากที่สูง

มากอาจทำให้เสียชีวิต ทำให้กระดูกสันหลังหักกดไขสันหลังกลายเป็นอัมพาต อาจท˚าให้กระดูกส่วนต่างๆ หัก ในรายที่รุนแรง อาจเป็นกระดูกซี่โครงหักท˚าให้เกิดเลือดออก ในช่องปอด และอาจท˚าให้อวัยวะภายในช่องท้องที่สำคัญแตกอันตรายถึงชีวิตได้

                ทั้งนี้ จากการตกจากที่สูง ส่วนใหญ่จะส่งผลก่อให้เกิดการบาดเจ็บของ กล้ามเนื้อและกระดังนี้

 

 

 

1.1 ข้อเคล็ด หมายถึง การที่ข้อมีการเคลื่อนไหวมากเกินไป ท˚าให้เนื้อเยื่อ อ่อน ๆ และเอ็นรอบ ๆ ข้อ หรือกล้ามเนื้อ มีการชอกช้ำ ฉีกขาด หรือยึด เนื่องจากข้อถูกบิด พลิก หรือแพลงไป ทำให้เจ็บปวดมาก

ขั้นตอนการช่วยเหลือเบื้องต้น

1. ให้ข้อพักนิ่ง ๆ

2. ควรยกมือหรือเท้าที่เคล็ดให้สูงขึ้น ถ้าเป็นข้อมือควรใช้ผ้าคล้องแขนไว้

3. ภายใน 24 ชั่วโมงแรกให้ประคบด้วยความเย็น เพื่อให้เลือดใต้ผิวหนัง หยุดไหล หลังจาก

นั้นให้ประคบด้วยความร้อน

4. พันด้วยผ้า

5. ภายใน 7 วัน หากอาการไม่ดีขึ้น ให้ไปโรงพยาบาล เพื่อตรวจให้แน่นอนว่า ไม่มีกระดูกหัก

ร่วมด้วย

1.2 ข้อเคลื่อน หมายถึง  ส่วนของข้อต่อบริเวณปลายกระดูกเคลื่อนหรือหลุดออกจากที่เกิด

จากการถูกกระชากอย่างแรง หรือมีโรคที่ข้ออยู่ก่อนแล้ว เช่น วัณโรคที่ข้อสะโพก

 

ขั้นตอนการช่วยเหลือเบื้องต้น

1. ให้ข้อพักนิ่ง อย่าพยายามดึงกลับเข้าที่

2. ประคบด้วยความเย็น

3. เข้าเฝือกชั่วคราว หรือใช้ผ้าพัน

4. รีบน˚าส่งโรงพยาบาล ควรงดอาหาร น้ำ และยาทุกชนิด

 

1.3 กระดูกหัก หมายถึง ภาวะที่กระดูกได้รับแรงกระแทกมากเกินไป ส่งผลให้กระดูกไม่สามารถรองรับน้ำหนักจากแรงกระแทกได้ ก่อให้เกิดอาการ ปวด บวม ร้อน บริเวณที่หัก ถ้าจับกระดูกนั้นโยกหรือบิดเล็กน้อยจะมีเสียงดังกรอบแกรบ เนื่องจากปลายกระดูก ที่หักนั้นเสียดสีกันการเคลื่อนไหวผิดปกติอาจมีบาดแผลและพบปลายกระดูกโผล่ออกมาเห็นได้

ขั้นตอนการช่วยเหลือเบื้องต้น

การหักของกระดูกชิ้นสำคัญ เช่น กระดูกเชิงกราน กะโหลกศีรษะ ขากรรไกร คอ และกระดูก

สันหลัง ต้องการการดูแลรักษาที่ถูกต้อง เพราะการหักของกระดูกเหล่านี้จะทำ อันตรายอย่างรุนแรงต่อเนื้อเยื่อใกล้เคียงกะโหลกศีรษะแตก และสันหลังหักเป็นอันตราย มากที่สุด เพราะว่าเนื้อสมอง และไขสันหลังถูกทำลายทั้งนี้ เมื่อมีภาวะกระดูกแตกหักในบริเวณ กระดูกที่มีลักษณะเป็นแท่งยาว ผู้ปฐมพยาบาลต้องจัดให้มี  

การเข้าเฝือก ซึ่งการเข้าเฝือก หมายถึง การใช้วัสดุต่าง ๆ พยุง หรือห่อหุ้มอวัยวะที่กระดูกหักให้อยู่นิ่ง ซึ่งมีประโยชน์ช่วยให้ บริเวณที่บาดเจ็บอยู่นิ่ง เป็นการบรรเทาความเจ็บปวดและป้องกันอันตรายเพิ่มมากขึ้น

การปฐมพยาบาลกระดูกหักต้องพยายามตรึงกระดูกส่วนที่หักให้อยู่กับที่ โดยใช้วัสดุที่หาง่าย

เช่น ไม้ หรือกระดาษหนังสือพิมพ์พับให้หนา รวมทั้งผ้า และเชือกสำหรับ พันรัดด้วย

กระดูกโผล่ออกมานอกเนื้อ ห้ามดันกลับเข้าไปเป็นอันขาด ถ้ามีเลือดออก ให้ทำการห้าม

เลือด และปิดแผลก่อนทำการเข้าเฝือกชั่วคราว





 

 

 

 

 

 


การตรวจบริเวณที่หัก ต้องท˚าด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจท˚าให้ปลาย กระดูกที่หัก

เคลื่อนมาเกยกัน หรือทะลุออกมานอกผิวหนัง

การถอดเสื้อผ้าผู้บาดเจ็บ ควรใช้วิธีตัดตามตะเข็บอย่าพยายามให้ผู้บาดเจ็บ ถอดเอง เพราะ

จะท˚าให้เจ็บปวดเพิ่มขึ้น

หลักการเข้าเฝือกชั่วคราว

   1. วัสดุที่ใช้ดาม ต้องยาวกว่าอวัยวะส่วนที่หัก

   2. ไม่วางเฝือกลงบนบริเวณที่กระดูกหักโดยตรง ควรมีสิ่งอื่นรอง เช่น ผ้าวาง ก่อน

ตลอดแนวเฝือกเพื่อไม่ให้เฝือกกดลงบริเวณผิวหนังโดยตรง ซึ่งท˚าให้เจ็บปวด และเกิดเป็นแผลจากเฝือกกดได้

   3. มัดเฝือกกับอวัยวะที่หักให้แน่นพอควร ถ้ารัดแน่นจนเกินไปจะกดผิวหนัง จนทำ

ให้การไหลเวียนของเลือดไม่สะดวกเป็นอันตรายได้

 

 

                                                 

 

 

 

 

 

 

 

 

2. การหกล้ม

  การหกล้ม เป็นอาการหรือพฤติกรรมที่รู้จักกันทั่วไป ซึ่งหมายถึง การที่เกิด การเปลี่ยนท่า

โดยไม่ตั้งใจ และเป็นผลให้ร่างกายทรุด หรือลงนอนกับพื้น หรือ ปะทะสิ่งของต่าง ๆ เช่น โต๊ะ เตียง

 ทั้งนี้ จากการหกล้มอาจส่งผลทำให้เกิดการบาดเจ็บที่รุนแรงแตกต่างกัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ

สภาพร่างกาย และสิ่งแวดล้อมในขณะที่เกิดเหตุ เช่น เกิดแผลเปิด บาดแผลปิด และ การบาดเจ็บในลักษณะฟกช้ำ ไม่มีเลือดออก เป็นต้น จึงสามารถนำเสนอข้อมูลวิธีการปฐมพยาบาล ได้ดังนี้

บาดแผล รอยฉีกขาดรอยแตกแยกของผิวหนัง หรือเยื่อบุส่วนที่ลึกกว่า

ชั้นผิวหนังถูกทำลาย ทำให้อวัยวะนั้นแยกจากกันด้วยสาเหตุต่าง ๆ บาดแผลแบ่งออกเป็น 2 ชนิด

1.       บาดแผลเปิด คือ บาดแผลที่ผิวหนังฉีกขาดจนเห็นเนื้อข้างใน เช่น แผลถลอก แผลที่เกิด

จากการเจาะ การแทง การกระแทก แผลถูกของมีคมบาด แผลฉีกขาด เนื่องจากวัตถุมีคมอาจลึกลงไปถึงเนื้อเยื่อ เส้นเอ็น ทำให้เสียเลือดมาก แขนขาขาดจากอุบัติเหตุ ถูกสัตว์ดุร้ายกัด หรือถูกยิง เป็นต้น ซึ่งบาดแผลบางอย่างอาจทำให้เสียเลือดมาก และเสียชีวิตได้

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับบาดแผลที่มีเลือดออกควรใช้วิธีการ ห้ามเลือด โดย

หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเลือดของคนเจ็บโดยตรง แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้รีบล้างมือ ด้วยสบู่ รวมทั้งบริเวณที่เปื้อนเลือดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ควรถอดหรือเปลี่ยนเสื้อผ้า ของคนเจ็บ แม้ว่าจะเปื้อนเลือดจนชุ่ม เพราะจะทำให้เลือดออกมาก

หากสามารถท˚าได้ ควรทำความสะอาดแผลก่อนเพื่อป้องกันการติดเชื้อ โดยล้างแผลด้วยน้ำ

สะอาด แล้วใช้ผ้าก็อซหรือผ้าสะอาดวางไว้ตรงบาดแผล ยกเว้นเมื่อเกิด บาดแผลที่ดวงตา เพราะอาจมีสิ่งแปลกปลอมท˚าให้ดวงตาได้รับบาดเจ็บมากขึ้น แล้วใช้ผ้าสะอาด พันปิดแผลไว้ อย่าให้แน่นจนชา หากไม่มีผ้าพันแผล สามารถดัดแปลงสิ่งของใกล้ตัวมาใช้ได้ เช่น ผ้าเช็ดหน้า ชายเสื้อ ชายกระโปรง หรือเนคไท

แผลที่แขนหรือขาให้ยกสูง จะช่วยให้เลือดไหลช้าลง ปกติเลือดจะหยุดไหล ภายในเวลา

ประมาณ 15 นาที หากเลือดไหลไม่หยุด ให้กดเส้นเลือดแดงใหญ่ที่ไปเลี้ยงแขนขา โดยกดบริเวณเหนือบาดแผล ถ้าเลือดออกที่แขนให้กดแขนด้านใน ช่วงระหว่างข้อศอกและ หัวไหล่ ถ้าเลือดออกที่ขาให้กดที่หน้าขาบริเวณขาหนีบ

การห้ามเลือดโดยการกดเส้นเลือดแดงใหญ่ ควรทำก็ต่อเมื่อใช้วิธีการ ห้ามเลือด โดยการ

บาดแผลหรือใช้ผ้าพันแผลแล้วไม่ได้ผล เพราะจะทำให้อวัยวะที่ต่ำกว่า จุดกดขาดเลือดไปเลี้ยง หากกดนาน ๆ กล้ามเนื้ออาจตายได้ จึงไม่ควรกดเส้นเลือดแดงใหญ่ เกินกว่าครั้งละ 15 นาที

สำหรับบาดแผลที่ศีรษะ ไม่ควรใช้น้ำล้างแผล เพราะจะท˚าให้ปิดขวาง ทางออกของแรงดัน

ภายใน และสมองอาจติดเชื้อโรคที่อยู่ในน้ำได้ หากมีเลือดไหลออกจากปาก จมูกหรือหู อย่าพยายามห้ามเลือด เพราะจะปิดกั้นทางออกของแรงดันในสมองเช่นกัน

การทำความสะอาดบาดแผลเล็กน้อย

วิธีการปฐมพยาบาลบาดแผลเล็กน้อย ทำได้โดยล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนที่จะทำแผล

ใช้น้ำสะอาดล้างแผล ใช้สบู่อ่อน ๆ ล้างผิวหนังที่อยู่รอบ ๆ บาดแผล แล้วล้าง ด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง หลีกเลี่ยงการสัมผัสบาดแผลโดยตรง ใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดซับแผลให้ แห้ง แล้วใส่ยาสำหรับแผลสด เช่น โพวิโดนไอโอดีน ซึ่งจะช่วยลดการติดเชื้อได้ จากนั้นเปิดแผล ด้วยผ้าพันแผล

2. บาดแผลปิด คือ บาดแผลที่ไม่มีรอยแผลให้เห็นบนผิวหนังภายนอก อาจเห็นเพียงแค่รอยเขียวช้ำ แต่บางกรณีเนื้อเยื่อภายในอาจถูกกระแทกอย่างแรง ท˚าให้เลือด ตกใน บางครั้งอวัยวะภายในได้รับความเสียหายมาก เช่น ม้ามแตก ตับแตก หรือเลือดคั่งในสมอง ระยะแรกอาจไม่แสดงอาการใด ๆ แต่เมื่อเวลาผ่านไปคนเจ็บอาจอาเจียน เลือดออกปากหรือจมูก หนาวสั่น ตัวซีด เจ็บปวดรุนแรง หมดสติ และอาจเสียชีวิตเนื่องจากเสียเลือดมาก

แผลฟกซ้ำไม่มีเลือดออก

บาดแผลฟกซ้ำจะไม่มีเลือดออกมาภายนอก แต่เกิดอาการบวม ผิวเปลี่ยนสี และมีรอย

ฟกซ้ำ ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดบริเวณนั้นแตกแต่ผิวหนังไม่ฉีกขาด จึงทำให้เลือดซึม อยู่ใต้ผิวหนัง ระยะแรกจะมีสีแดงแล้วเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำในเวลาต่อมา

คนส่วนใหญ่มักไม่ใส่ใจกับแผลฟกซ้ำ แต่ความจริงแล้วแผลฟกซ้ำก็มี วิธีการดูแลที่ถูกต้อง

เช่นกัน ก่อนอื่นให้ตรวจดูว่าไม่มีบาดแผล หรืออาการอื่น ๆ หรือกระดูกหัก ร่วมด้วย ให้คนเจ็บนั่งในท่าที่สบาย แล้วประคบแผลด้วยถุงน้ำแข็งหรือถุงน้ำเย็นเพื่อลดอาการ บวม หากเป็นแผลที่แขนให้ใช้ผ้าสามเหลี่ยมคล้องแขนให้อยู่กับที่ หากเป็นแผลที่ขาให้นอนหนุนขา ให้สูง หากเป็นที่ล˚าตัวให้นอนตะแคงหนุนหมอนที่ศีรษะและไหล่

3. ไฟไหม้น้ำร้อนลวก

บาดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก โดยมากมักจะมีสาเหตุจากอุบัติเหตุ ความ ประมาท ขาดความ

ระมัดระวัง แผลไหม้จะท˚าให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย ตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึง เสียชีวิตได้ การช่วยเหลืออย่างถูกต้องจะช่วยลดความรุนแรงได้

 

ขั้นตอนการช่วยเหลือเบื้องต้น

หลักการปฐมพยาบาลไฟไหม้น้ำร้อนลวก ให้ดับไฟโดยใช้น้ำราด หรือใช้ ผ้าหนา ๆ คลุมตัว

ถอดเสื้อผ้าที่ไหม้ไฟหรือถูกน้ำร้อน พร้อมถอดเครื่องประดับที่อมความร้อน ออกให้หมด เมื่อเกิดแผลไหม้ น้ำร้อนลวกให้ปฐมพยาบาลตามลักษณะของแผล ดังนี้

1. เฉพาะชั้นผิวหนัง

(1) ระบายความร้อนออกจากแผล โดยใช้ผ้าชุบน้˚าประคบบริเวณบาดแผล แช่ลง

ในน้ำหรือเปิดให้น้ำไหลผ่านบริเวณบาดแผลตลอดเวลา นานประมาณ 10 นาที ซึ่งจะช่วย บรรเทาความเจ็บปวดได้

(2) ทาด้วยยาทาแผลไหม้

(3) ห้ามเจาะถุงน้˚าหรือตัดหนังส่วนที่พองออก

(4) ปิดด้วยผ้าสะอาด เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

(5) ถ้าแผลไหม้บริเวณกว้าง หรืออวัยวะที่สำคัญต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล

 





 

 

 

 

 


 

2. ลึกถึงเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง

(1) ไม่ต้องระบายความร้อนออกจากบาดแผล เพราะจะทำให้แผลติดเชื้อมากขึ้น

(2) ห้ามใส่ยาใด ๆ ทั้งสิ้นลงในบาดแผล

(3) ใช้ผ้าสะอาดห่อตัวผู้บาดเจ็บเพื่อป้องกันสิ่งสกปรกให้ความอบอุ่นและรีบนำส่ง

โรงพยาบาล





 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


2.2 วิธีการปฐมพยาบาลกรณีการเจ็บป่วยโดยปัจจุบัน

2.2.1 การเป็นลม

     การเป็นลม เป็นอาการหมดสติเพียงชั่วคราว เนื่องจากเลือดไปเลี้ยงสมอง

ไม่พอ สาเหตุ และลักษณะอาการของคนเป็นลมที่พบบ่อย เช่น หิว เหนื่อย เครียด ตกใจ กังวลใจ กลัว เสียเลือดมากมีอาการวิงเวียนศีรษะตาพร่า หน้ามืด ใจสั่น มือเท้าไม่มีแรง หน้าซีด เหงื่อออก ตัวเย็น ชีพจร เบา เร็ว

ขั้นตอนการช่วยเหลือเบื้องต้น

1. พาเข้าที่ร่ม ที่อากาศถ่ายเทสะดวก

2. นอนราบไม่หนุนหมอน หรือยกปลายเท้าให้สูงเล็กน้อย

3. คลายเสื้อผ้าให้หลวม

4. พัดหรือใช้ผ้าชุบน้˚าเช็ดเหงื่อตามหน้า มือ และเท้า

5. ให้ดมแอมโมเนีย

6. ถ้ารู้สึกตัวดี ให้ดื่มน้˚า

7. ถ้าอาการไม่ดีขึ้น น˚าส่งต่อแพทย์

2.2.2 ลมชัก

ลมชัก อาการชักของผู้ป่วย บางรายอาจชักด้วยอาการเหม่อลอย เริ่ม กระตุก

ท่าทางแปลกๆ ผิดปกติ ตาเหลือก อาจจะเริ่มท˚าท่าเหมือนเคี้ยวอะไรอยู่ หรือบางคน อาจจะเริ่มต้นด้วยอาการสับสนมึนงง พูดจาวกวนก่อนที่จะเริ่มมีอาการชัก

ขั้นตอนการช่วยเหลือเบื้องต้น

1. สังเกตว่าผู้ป่วยมีสติสัมปะชัญญะหรือไม่ ส่วนใหญ่ยังไม่ถึงกับขั้นสลบ แต่จะควบคุมตัวเอง

ไม่ได้เมื่อผู้ป่วยเริ่มมีอาการชัก แล้วลงไปกองกับพื้น พยายามพาเขามาอยู่ ในที่โล่ง ๆ ปลอดภัย ไม่มีสิ่งของใดๆ รอบตัว

2.       คลายกระดุม เนคไทที่คอเสื้อ คลายกระดุม เข็มขัดที่กางเกงหรือ กระโปรง ถอดแว่นตา

นำหมอน หรือเสื้อพับหนา ๆ มารองไว้ที่ศีรษะ

3. จับผู้ป่วยนอนตะแคง

4. ไม่ง้างปาก ไม่งัดปากด้วยช้อน ไม่ยื่นอะไรให้ผู้ป่วยกัด ไม่ยัดปากด้วย สิ่งของต่าง ๆ

เด็ดขาด ไม่กดท้อง ไม่ถ่างขา ไม่ทำอะไรทั้งนั้น

5. จับเวลา ตามปกติผู้ป่วยลมชักจะมีอาการสงบลงได้เองเมื่อผ่านไป 2 – 3 นาที หากมีอาการชักเกิน 5 นาทีควรรีบส่งแพทย์ (หรือกด 1669 บริการแพทย์ฉุกเฉิน)

6. อย่าลืมอธิบายผู้คนรอบข้างด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น และขอความช่วยเหลือ เท่าที่จำเป็น เช่น

อย่ามุงผู้ป่วยใกล้ ๆ หรือช่วยเรียกรถพยาบาลกรณีที่ผู้ป่วยชักเกิน 5 นาที หรือมีอาการบาดเจ็บ

ในกรณีที่ผู้ป่วยลมชักมีอาการกัดลิ้นตัวเอง ไม่ต้องตกใจ โดยส่วนใหญ่แล้ว จะไม่ได้กัดลิ้น

ตัวเองจนขาดหรือมีบาดแผลใหญ่มากนัก อาจจะมีความเป็นไปได้ที่เผลอกัดลิ้น ตัวเองจนได้รับบาดแผลมีเลือดออก แต่ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิตมากเท่ากับการยัดสิ่งต่าง ๆ เข้าไปในปากของผู้ป่วย ด้วยหวังว่าจะให้กัดแทนลิ้น เพราะมีหลายครั้งที่สิ่งของเหล่านั้นทำให้ ผู้ป่วยมีอาการบาดเจ็บหนักกว่าเดิม แผลที่กัดลิ้นใหญ่กว่าเดิม หรือผลัดหลุดเข้าไปติดในหลอดลม หลอดอาหาร

 

 

2.2.3 การเป็นลมแดด

การเป็นลมแดด เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถปรับตัวกับความร้อน ที่เกิดขึ้น จน

เกิดภาวะวิกฤตในภาวะปกติร่างกายจะมีระบบการปรับสมดุลความร้อน เมื่อความร้อน ในร่างกายเพิ่มขึ้น อาการสำคัญ ได้แก่ ตัวร้อน อุณหภูมิร่างกาย 41 องศาเซลเซียส หน้าแดง ไม่มีเหงื่อ มีอาการเพ้อ ความดันลดลง กระสับกระส่าย มึนงง สับสน ชักเกร็ง หมดสติ โดยกลไก การทำงานของร่างกาย จะมีการปรับตัวโดยส่งน้ำ หรือเลือดไปเลี้ยงอวัยวะภายใน เช่น สมอง ตับ กล้ามเนื้อ ท˚าให้ผิวหนังขาดเลือดและขาดน้ำไปเลี้ยงผิวหนัง จึงไม่สามารถระบายความร้อน ออกจากร่างกายได้

ขั้นตอนการช่วยเหลือเบื้องต้น

 

นำผู้ที่มีอาการเข้าในที่ร่ม นอนราบ ยกเท้าสูง เพื่อเพิ่มการไหลเวียนเลือด ถอด

เสื้อผ้า ใช้ผ้าชุบน้ำประคบบริเวณใบหน้า ข้อพับ ขาหนีบ เช็ดตัวเพื่อระบายความร้อน และ ถ้ารู้สึกตัวดีให้ค่อย ๆ จิบน้ำเย็น เพื่อลดอุณหภูมิร่างกายให้เร็วที่สุด และรีบนำส่งโรงพยาบาล

2.2.4 เลือดกำเดาไหล

สาเหตุ มาจากการกระทบกระแทก การเป็นหวัด การสั่งน้ำมูกการติดเชื้อ ในช่อง

จมูกหรือความหนาวเย็นของอากาศ

 

ขั้นตอนการช่วยเหลือเบื้องต้น

1. ให้ผู้ป่วยนั่งนิ่ง ๆ เอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย

2. ใช้มือบีบปลายจมูก และให้หายใจทางปากโดยบีบปลายจมูกไว้ 10 นาที ให้คลาย

มือออกถ้าเลือดยังไหลต่อให้บีบต่ออีก 10 นาทีถ้าเลือดไม่หยุดใน 20 นาทีให้รีบนำส่ง โรงพยาบาลที่รองรับ

3. ถ้ามีเลือดออกมาก ให้ผู้ป่วยบ้วนเลือดหรือน้˚าลายลงในอ่าง หรือภาชนะ

4. เมื่อเลือดหยุดแล้ว ใช้ผ้าสะอาดเช็ดบริเวณจมูกและปาก

ข้อห้าม

ห้ามสั่งน้ำมูกหรือล้วงแคะ ขยี้จมูก เพราะจะทำให้อาการแย่ลง

 

2.2.5 การหมดสติ

การหมดสติ เป็นภาวะที่ร่างกายไม่มีการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น สาเหตุ

เนื่องจากสมองได้รับการกระทบกระเทือนบริเวณศีรษะ ซึ่งเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดใกล้ผิวชั้นนอก มาทำให้เลือดไหลออกมาก แต่มีบางกรณีไม่มีเลือดไหลออกมาภายนอก ทำให้ผู้บาดเจ็บหมดสติ หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออาจทำให้เสียชีวิต-จึงต้องประเมินสถานการณ์และการบาดเจ็บ เพื่อให้ การช่วยเหลือเบื้องต้นและนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา

ขั้นตอนการช่วยเหลือผู้หมดสติ

1.       สำรวจสถานการณ์ บริเวณที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว ถ้าสถานการณ์ปลอดภัย ให้ตะโกเรียก

ผู้หมดสติ

2.       หากไม่มีการตอบสนอง ใช้มือทั้ง 2 ข้างตบไหล่ เรียก พร้อมสังเกต การตอบสนอง      

(การลืมตา ขยับตัว และพูด) และดูการเคลื่อนไหวของทรวงอก หน้าท้อง ถ้าพบว่า ยังหายใจอยู่ให้รีบให้การช่วยเหลือ และขอความช่วยเหลือ โดยการโทรเรียกรถพยาบาล 1669 แต่หากไม่ตอบสนอง หน้าอกหน้าท้องไม่กระเพื่อมขึ้นลง แสดงว่า หมดสติและไม่หายใจต้อง ช่วยเหลือ โดยการปั้มหัวใจ และการผายปอด

 

 

2.3 วิธการปฐมพยาบาลกรณีสัตว์ แมง หรือแมลงที่มีพิษกัดต่อย

2.3.1 สุนัข/แมว

     โรคพิษสุนัขบ้าหรือโรคกลัวน้ำ เป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่เกิดจากเชื้อเรบีส์

ไวรัส โรคนี้เกิดได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด ดังนั้น เมื่อถูกสุนัขกัดจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอน ดังนี้

   1.ชำระล้างบาดแผล ด้วยการฟอกแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่หลายครั้ง

ให้สะอาดโดยการถูเบา ๆ เท่านั้น หากแผลลึกให้ล้างจนถึงก้นแผล แล้วซับแผลให้แห้งด้วยผ้าก๊อซ หรือผ้าที่สะอาด (ในกรณีน้ำลายสุนัขเข้าตา ให้ใช้น้ำสะอาดล้างตาเท่านั้น แต่ล้างหลาย ๆ ครั้ง)

 2.พบแพทย์เพื่อดูแลแผล และฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าหรือ โรคกลัวน้ำ –

ข้อสังเกตสำหรับสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า จะมีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น สัตว์ที่มีนิสัยดุร้ายจะกลายเป็นสัตว์ที่เชื่อง สัตว์ที่เชื่องจะกลายเป็นสัตว์ดุร้าย ตื่นเต้น กระวนกระวาย สุดท้ายจะเป็นอัมพาต และตายในที่สุด

  2.3.2 งูมีพิษ/งูไม่มีพิษ

พิษจากการถูกงูกัดงูในประเทศไทยแบ่งเป็นงูมีพิษและไม่มีพิษซึ่งจะมี ลักษณะ

บาดแผลต่างกันคืองูพิษมีเขี้ยวอยู่ด้านหน้าของขากรรไกรบนและมีฟัน ส่วนงูไม่มีพิษ มีแต่รอยฟันไม่มีรอยเขี้ยว

 

ขั้นตอนการช่วยเหลือเบื้องต้น

การปฐมพยาบาล เป็นสิ่งที่ต้องกระทำหลังถูกงูกัดทันทีก่อนที่จะนำส่ง โรงพยาบาล การปฐมพยาบาลผู้ที่ถูกงูกัด มีดังนี้

1.       รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล ระหว่างน˚าส่งอาจใช้เชือก ผ้า หรือสายยาง รู้

แขนหรือขาระหว่างแผลงูกัดกับหัวใจเหนือรอยเขี้ยว ประมาณ 2 - 4 นิ้ว เพื่อป้องกันพิษงู ถูกกัดซึมเข้าร่างกายโดยเร็ว ในปัจจุบันนักวิชาการบางท่านไม่แนะนำให้รีบทำการใช้เชือกรัด และขันชะเนาะ เนื่องจากอาจทำให้เกิดผลเสีย คือ การช่วยเหลือล่าช้าขึ้น และเสี่ยงต่อการ ขาดเลือดบริเวณแขนหรือขา ทำให้พิษทำลายเนื้อเยื่อมากขึ้นดังนั้นถ้ารัดควรคำนึงถึงความเสี่ยง ของการรัดด้วย โดยคลายเชือกทุกๆ 15 นาที นานครั้งละ 30 - 60 วินาทีจนกว่าจะถึงโรงพยาบาล ในกรณีที่ถูกงูมีพิษต่อเลือดกัด ไม่ควรรัด เพราะจะทำให้แผลที่บวมอยู่แล้ว เสี่ยงต่อการเกิด เนื้อตาย และการบวมอาจกดเบียดเส้นประสาทและเส้นเลือดได้

2.       ควรล้างบาดแผลให้สะอาด อย่าใช้ไฟหรือเหล็กร้อนจี้ที่แผลงูกัด และ อย่าใช้มีด

กรีดแผลเป็นอันขาด เพราะอาจทำให้เลือดออกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าถูกงูที่มีพิษ ต่อเลือดกัด หรืออาจกัดถูกเส้นเอ็นหรือเส้นประสาท รวมทั้งทำให้เกิดการติดเชื้อได้ รวมทั้ง ไม่แนะนำให้ใช้ปากดูดพิษจากแผลงูกัด เพราะพิษอาจเข้าทางเยื่อบุปากได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ามีบาดแผล ถ้ารู้สึกปวดแผลให้รับประทานพาราเซตามอล ห้ามให้แอสไพริน เพราะอาจท˚าให้ เลือดออกง่ายขึ้น

3. เคลื่อนไหวแขน หรือขาส่วนที่ถูกงูกัดให้น้อยที่สุด ควรจัดตำแหน่งของส่วน

ที่ถูกงูกัดให้อยู่ในระดับต่ำกว่าหัวใจ เช่น ห้อยมือหรือเท้าส่วนที่ถูกงูกัดลงต่ำ ระหว่างเดินทาง ไปยังสถานพยาบาลอย่าให้ผู้ป่วยเดิน หรือขยับส่วนที่ถูกกัด เนื่องจากการขยับตัวจะทำให้กล้ามเนื้อ มีการยืดและหดตัว พิษงูเข้าสู่กระแสเลือดเร็วขึ้น

4.-ควรตรวจสอบว่างูอะไรกัด และถ้าเป็นได้ควรจับหรือตีงูที่กัด และน˚าส่ง ไปยัง

สถานพยาบาลด้วย

5.-อย่าให้ผู้ป่วยดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาดองเหล้า หรือรับประทานยากระตุ้น

ประสาท รวมทั้ง ชากาแฟ

6.-ถ้าผู้ป่วยหยุดหายใจจากงูที่มีพิษต่อประสาท ให้ท˚าการเป่าปากช่วยหายใจ ไป

ตลอดทางจนกว่าจะถึงสถานพยาบาลที่ใกล้บ้านที่สุด

 

ข้อห้าม

ห้ามรับประทานยาและเครื่องดื่มกระตุ้นหัวใจ

ข้อสังเกต

ปลอบโยนให้ก˚าลังใจอย่าให้ตื่นเต้นตกใจซึ่งจะทำให้หัวใจสูบฉีดโลหิต มากยิ่งขึ้นพิษง

แพร่กระจายได้เร็วขึ้น ควรนำงูที่กัดไปพบแพทย์เพื่อสะดวกต่อการวินิจฉัยและรักษา

2.3.3 แมงป่อง/ตะขาบ

ผู้ที่ถูกแมงป่องต่อยหรือตะขาบกัด เมื่อถูกแมงป่องต่อยจะมีอาการปวดแสบ ปวด

ร้อนอย่างรุนแรงบริเวณที่ถูกต่อย สำหรับผู้ที่ถูกตะขาบกัด เขี้ยวตะขาบจะฝังลงในเนื้อ ทำให้มองเห็นเป็น 2 จุด อยู่ด้านข้าง เมื่อถูกตะขาบกัดจะมีอาการบวมแดงและปวด บางราย อาจมีไข้ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน

 

ขั้นตอนการช่วยเหลือเบื้องต้น

1.-ใช้สายรัดหรือขันชะเนาะเหนือบริเวณที่ถูกกัด หรือเหนือบาดแผล เพื่อป้องกันมิให้พิษ

แพร่กระจายออกไป

2.พยายามทำให้เลือดไหลออกจากบาดแผลให้มากที่สุด อาจทำได้หลายวิธี เช่น

เอามือบีบ เอาวัตถุที่มีรูกดให้แผลอยู่ตรงกลางรูพอดี เลือดจะได้พาเอาพิษออกมาด้วย

3. ใช้แอมโมเนียหอมหรือทิงเจอร์ไอโอดี ทาบริเวณแผลให้ทั่ว

4.-ถ้ามีอาการบวมอักเสบและปวดมาก ให้ใช้ก้อนน้ำแข็งประคบบริเวณแผล เพื่อช่วย

บรรเทาอาการความเจ็บปวดด้วย

5. ถ้าอาการยังไม่ทุเลาลง ต้องนำตัวส่งโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์ตรวจรักษาต่อไป

2.3.4 ผึ้ง ต่อ แตน

ผึ้ง ต่อ แตน แมลงเหล่านี้มีพิษต่อคน เมื่อถูกแมลงเหล่านี้ต่อย โดยเฉพาะผึ้งมันฝังเหล็กใน

เข้าไปในบริเวณที่ต่อยและปล่อยสารพิษจากต่อมพิษออกมา  ผู้ถูกแมลงต่อย ส่วนมากมีอาการเฉพาะที่ คือ บริเวณที่ถูกต่อยจะ ปวด บวม แดง แสบ ร้อน แต่บางคนแพ้มาก ทำให้อาการหายใจลำบาก หัวใจเต้นผิดปกติ หอบ คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บหน้าอก มีไข้ และชัก ความรุนแรงขึ้นอยู่กับภูมิไวของแต่ละคน และจำนวนครั้งที่ถูกต่อย

ขั้นตอนการช่วยเหลือเบื้องต้น

1)      รีบเอาเหล็กในออกโดยระวังไม่ให้ถุงน้ำพิษที่อยู่ในเหล็กในแตก อาจทำ โดย

ใช้ใบมีดขูดออก หรือใช้สก็อตเทปปิดทาบบริเวณที่ถูกต่อย แล้วดึงออกเหล็กในจะติด ออกมาด้วย

2) ประคบบริเวณที่ถูกต่อยด้วยความเย็นเพื่อลดอาการปวด

3) ทาครีมลดอาการบวมแดง หรือน้ำยาที่มีฤทธิ์เป็นด่างอ่อน ๆ ปิดแผล เช่น

แอมโมเนีย น้ำปูนใส

4) ถ้ามีอาการแพ้เฉพาะที่ เช่น บวม คัน หรือเป็นลมพิษให้รับประทาน

ยาแก้แพ้

5) ในกรณีที่มีบวมตามหน้าและคอ ซึ่งทำให้หายใจไม่สะดวกต้องรีบนำส่ง

โรงพยาบาลเพื่อรับการรักษาขั้นต่อไป

 

2.4 วิธีการปฐมพยาบาลกรณีหมดสติจากการถูกท˚าร้ายร่างกาย

การหมดสติ เป็นภาวะที่ร่างกายไม่มีการตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้น สาเหตุ เนื่องจาก

สมองได้รับการกระทบกระเทือนจากการถูกทำร้ายร่างกายบริเวณศีรษะ ซึ่งเป็นบริเวณ ที่มีเส้นเลือดใกล้ผิวชั้นนอก มาทำให้เลือดไหลออกมาก แต่มีบางกรณีไม่มีเลือดไหลออกมา ภายนอก ทำให้ผู้บาดเจ็บหมดสติ หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออาจทำให้เสียชีวิต  จึงต้องประเมิน สถานการณ์และการบาดเจ็บ เพื่อให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นและนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรับการ รักษา

ขั้นตอนการช่วยเหลือผู้หมดสติ

1.       สำรวจสถานการณ์บริเวณที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว ถ้าสถานการณ์ปลอดภัย ให้

ตะโกนเรียกผู้หมดสติ

2.       หากไม่มีการตอบสนอง ใช้มือทั้ง 2 ข้างตบไหล่ เรียกพร้อมสังเกตการตอบสนอง

(การลืมตา ขยับตัว และพูด) และดูการเคลื่อนไหวของทรวงอก หน้าท้อง ถ้าพบว่ายังหายใจอยู่ให้รีบให้การช่วยเหลือ และขอความช่วยเหลือโดยการโทรเรียก รถพยาบาล 1669 แต่หากไม่ตอบสนอง หน้าอกหน้าท้องไม่กระเพื่อมขึ้นลง แสดงว่าผู้ถูกทำร้าย หมดสติและไม่หายใจ ต้องช่วยเหลือผู้หมดสติ โดยการทำCPR (Cardiopulmonary  Resuscitation) โดยเร็วทันทีให้แก่ผู้บาดเจ็บ ซึ่งจะช่วยให้เลือดได้รับออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น และมีการไหลเวียนเข้าสู่สมองและอวัยวะสำคัญอื่น ๆ ก่อนที่จะถึงมือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทั้งนี้ ในกรณีที่ศีรษะ ลำคอหรือหลังของผู้บาดเจ็บได้รับการบาดเจ็บด้วย ผู้ให้การปฐมพยาบาล จะต้องระมัดระวังไม่ให้ศีรษะ ลำคอหรือหลังของผู้บาดเจ็บมีการเคลื่อนไหว ซึ่งทำได้ โดยดึงขากรรไกรล่างหรือคางของผู้บาดเจ็บไปข้างหน้าเพื่อเปิดทางให้อากาศเดินทางเข้า ได้สะดวก