ในปัจจุบันคนเรามีการดูแลสุขภาพของตนเองกันมากขึ้น โดยให้ความสำคัญต่อตัวเองเพิ่มเติมจากปัจจัย 4 ที่ต้องให้ความสำคัญอยู่แล้ว จึงเกิดธุรกิจงานบริการด้านสุขภาพเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของทุกๆ คน ซึ่งมีหลายประเภท เช่น การนวดแผนไทย การทำสปา การัฟิกโยคะ การเต้นแอโรมิค และการลีลาศเพื่อสุขภาพ เป็นต้น ในที่นี้จะขอยกตัวอย่างเช่น การนวดแผนไทย เพื่อเป็นลู่ทางไปสู่การประกอบอาชีพกับงานบริการด้านสุขภาพได้ต่อไป
การนวดแผนไทย เป็นภูมิปัญญาอันลํ้าค่าของคนไทยที่สั่งสมและสืบทอดมาแต่โบราณ คนไทยเรียนรู้วิธีการช่วยเหลือกันเองเมื่อปวดเมื่อย เจ็บป่วย รู้จักการผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยการบีบ นวด ยืด เหยียด ดัดดึงตนเอง หรือรู้ไว้ช่วยเหลือผู้อื่น การนวดเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลที่อบอุ่นเริ่มจากคนในครอบครัวด้วยสื่อสัมผัสแห่งความรักและความเกื้ออาทร ถ่ายทอดความรู้จากการสั่งสมประสบการณ์จากคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง จนกระทั่งมีหลักในการปฏิบัติและมีวิซีการที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและการนวดเป็นศิลปะของการสัมผัสที่สร้างความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลายความเมื่อยล้า ทำให้เรารู้สึกสดชื่นทั้งร่างกายและจิตใจ การนวดแผนไทยจึงเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่มีพัฒนาการมาเป็นลำดับ แม้ว่าความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอันทันสมัยของการแพทย์แผนปัจจุบัน จะมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพของคนทั่วโลก แต่หลายคนก็ยังเสาะแสวงหาทางเลือกอื่น ในการดูแลสุขภาพของตนเองด้วยเหตุผลแตกต่างกัน การนวดแผนไทย เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง สำหรับการดูแลสุขภาพ และได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจาก ปัจจุบันมีการใช้ยาแก้ปวด และยากล่อมประสาทหลายชนิด และมีผลแทรกซ้อนจาก ยาแก้ปวดบางชนิดค่อนข้างรุนแรง เช่น ทำให้ปวดท้อง เกิดแผลในกระเพาะอาหาร อาเจียนเป็นเลือด เป็นต้น
ในสมัยโบราณบัน ความรู้เกี่ยวกับการแพทย์และการนวดของไทย จะสั่งสอนสืบต่อกันมาเป็นทอด ๆ โดยครูจะรับศิษย์ไว้ แก้วค่อยสั่งค่อยสอนให้จดจำความรู้ต่าง ๆ ซึ่งความรู้ ที่สืบทอดกันมาบันอาจเพิ่มขึ้น สูญหาย หรือผิดแปลกไปบ้าง ตามความสามารถของครู และศิษย์ที่สืบทอดกันมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา รัชสมัยของ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช การแพทย์แผนไทย เจริญรุ่งเรืองมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนวดแผนไทย ปรากฏในทำเนียบศักดินาข้าราชการฝ่ายทหาร และพลเรือนทรงโปรดให้มีการแต่งตั้งกรมหมอนวด ให้บรรดาศักดิ์เป็นปลัดฝ่ายขวา มีศักดินา 300 ไร่ ฝ่ายซ้ายมีศักดินา 400 ไร, หลักฐานอีกประการหนึ่งจากจดหมายเหตุของราชฑูตลาลูแบร์ ประเทศฝรั่งเศส บันทึกเรื่องหมอนวดในแผ่นดินสยาม มีความว่า "ในกรุงสยามนั้น ถ้ามีใครป่วยไข้ลง ก็จะเริ่มทำเส้นสายยืดโดยผู้ชำนาญทางนี้ขึ้นไปบนร่างกายคนไข้แก้วใช้เท้าเหยียบ"
ในสมัยรัตนโกสินทร์ การแพทย์แผนไทยไต้สืบทอดมาจากสมัยอยุธยา แต่เอกสารและวิชาความรู้บางส่วน สูญหายไปในช่วงภาวะสงคราม ทั้งยังถูกจับเป็นเชลยส่วนหนึ่ง เหลือเพียงหมอพระที่อยู่ตามหัวเมืองพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงโปรดให้ระดมปันรูปฤาษีดัดตน 80ท่าและจารึกสรรพวิชาการนวดไทยลงบนแผ่นหินอ่อน 60ภาพ แสดงจุดนวดต่าง ๆ อย่างละเอียด ประดับบนผนังศาลาราย และบนเสาภายในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธ) เพื่อให้ประชาชนได้ศึกษาโดยทั่วกันต่อมาใน พ.ศ.2375 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้บูรณะวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธ) ใหม่ ทรงให้ หล่อรูปฤษีดัดตนเป็นโลหะ มีการปรับปรุงตำรายาสมุนไพร จารึกไว้รอบอาราม และทรงให้รวบรวมตำราการนวด และตำราการแพทย์จารึกในวัดโพธ เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไปศึกษา และนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไปใน พ.ศ. 2397 สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีการชำระตำราการนวดไทยและการแพทย์ไทยเรียกว่า “ตำราแพทย์หลวง” หรือ แพทย์ในราชสำนัก และทรงโปรดให้หมอนวดและหมอยา ถวายการรักษาความเจ็บป่วยยามทรงพระประชวร แม้เสด็จประพาสแห่งใด ต้องมีหมอนวดถวายงานทุกครั้ง
ใน พ.ศ. 2499 สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯให้แพทย์หลวงทำการสังคายนา และแปลตำราแพทย์จาก ภาษาบาลี และสันสกฤตเป็นภาษาไทย เรียกว่าตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ (ฉบับหลวง)ต่อมาเมื่อการแพทย์แผนตะวันตกเข้ามาในสังคมไทย การนวด จึงหมดบทบาทจากราชสำนักในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และมาฟินฟูอีกครังในสมัยรัชกาลปัจจุบัน เมื่อมีการจัดตังอายุรเวชวิทยาลัย (วิทยาลัยสำหรับการแพทย์แผนไทย) ส่วนการนวดกันเองแบบชาวบ้านยังคงสืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน
การนวดแผนไทยแบ่งออกเป็น 2 แบบ ได้แก่
1. การนวดแบบราชสำนัก เป็นการนวดเพื่อถวายพระมหากษัตริย์ และเจ้านายชั้นสูงในราชสำนัก การนวดประเภทนี้จึงใช้เฉพาะมือ นัวหัวแม่มือ และปลายนัว เพื่อที่ผู้นวดจะได้สัมผัสร่างกายของผู้รับการนวดให้น้อยที่สุด และท'วงทำที่ใช้ในการนวดมีความสุภาพเรียบร้อย มีข้อกำหนดในการเรียนมากมาย ผู้ที่เชี่ยวชาญทางวิชาชีพด้านนี้ จะได้ทำงานอยู่ในรัวในวังเป็นหมอหลวงมีเงินเดือนมียศมีตำแหน่ง
2. การนวดแบบทั่วไป (แบบเชลยศักดิ์) หรือเรียกกันทั่วไปว่า "จับเส้น" เป็นการนวดของสามัญชนเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนือ และช่วยการไหวเวียนของโลหิต โดยใช้มือนวดร่วมกับอวัยวะอื่น ๆเช่น ศอก เข่า และเท้า ด้วยท่าทางทั่วไปไม่มีแบบแผน หรือพิธีรีตองในการนวดมากนัก นับเป็นการนวดซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในสังคมไทย
การนวดแผนไทย ทำให้สุขภาพดี ผ่อนคลาย ซึ่งแบ่งออกได้หลายประเภท ได้แก่
การนวดร่างกายโดยใช้น้ำมันที่สกัดจากธรรมชาติที่บริสุทธิ ที่มีกลิ่นหอมจากธรรมชาติ ช่วยให้สดชื่น ผ่อนคลาย และคลายเครียด ด้วยกลิ่นหอม เฉพาะทางที่ใช้ในการบำบัดอาการให้เบาบางลง เช่นอาการนอนไม่หลับ อาการเครียด หดหู่ นอกจากนีนำมันบริสุทธิยังช่วยบำรุงผิว และกระชับรูปร่างทำให้กล้ามเนื้อไม่หย่อนยาน สลายไขมันตามร่างกาย ความร้อนของน้ำมันที่เกิดจากการนวดจะซึมซาบ ลึกเช้าไบ่ผิวหนังและกล้ามเนื้อ ช่วยให้รู้สึกเบาสบายตัว
การนวดผ่อนคลาย เป็นการนวดที่ลูกสุขลักษณะตามแบบแผนไทยโบราณ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อร่างกายและจิตใจ ทำให้เกิดการไหลเวียนของเลือดลม คลายกล้ามเนื้อที่ล้า รักษาอาการบ่วดเมื่อยตามร่างกาย คลายเครียด เคล็ดขัดยอก ช่วยให้สุขภาพกระปรี่กระเบ่ร่า จิตใจผ่อนคลาย
การนวดผ่าเท้า นวดเท้า เป็นการบ่รับสมดุลในร่างกาย ช่วยให้ระบบการไหวเวียนไปยังอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายได้ดีขึ้น ส่งผลให้มีการขับถ่ายของเสียออกจากเซลล์ ปรับสภาวะสมดุลของร่างกายทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น
การออกกำลังกายอย่างหักโหมจนเกินไป อาจทำให้เกิดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อเฉพาะส่วนหรืออาการล้า การนวดสปอร์ต จึงเป็นการนวดคลายกล้ามเนื้อลังกล่าว ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย
การนวดเพื่อบำบัดอาการปวดเมื่อยเฉพาะจุด หรือตามข้อต่อ การยึดติดของพังผืดของร่างกายให้ทุเลา ผ่อนคลาย โดยการใช้นี้าหนักกดลงตลอดลำเส้นที่กระหวัดไปตามอวัยวะต่าง ๆ การนวดชนิดนี้ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญของผู้นวด ซึ่งได้ทำการนวดมานาน และสังเกตถึงปฏิกิริยาของแรงกดที่แล่นไปตามอวัยวะต่าง ๆ
เป็นการนวดนี้ามัน เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกาย
เป็นการใช้ลูกประคบสมุนไพร โดยการนำเอาสมุนไพรทั้งสดหรือแห้งหลาย ๆ ชนิด โขลกพอแหลกและคลุกรวมกัน ห่อด้วยผ้า ทำเป็นลูกประคบ จากนั้นนึ่งด้วยไอความร้อน แล้วนำไปประคบตามร่างกาย เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงหรือเครียดให้สบาย
เป็นการนวดเพื่อแก้อาการปวดศีรษะ โดยจะกดจุดบริเวณศีรษะที่ปวด
1. การกด
เป็นวงกลมหรือใช้ฝ่ามือกดเป็นวงกลมและกดตรงเลันพลังงาน โดยใช้นี้าหนักตัวกด นิ้วและหัวแม่มือหัวเข่า ฝ่าเท้า ทำการกดเพื่อยืดเส้น ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวหลอดเลือดขยายตัว การไหลเวียนของเลือดระบบประสาทการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ดีขึ้น
2. การบีบ
เป็นการใช้น้ำหนักปีบกล้ามเนื้อให้เต็มฝ่ามือเข้าหากันโดยการออกแรง สามารถใช้นิ้วหัวแม่มือช่วยหรือการประสานมือเพื่อเพิ่มการออกแรง เป็นการเพิ่มการหมุนเวียนของเลือด และผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
3. การทุบ/ตบ/สับ
ใช้มือและกำปันทุบ/ตบ/สับ กล้ามเนื้อเบา ๆ เป็นการผ่อนคลายการตึงของกล้ามเนื้อและให้เลือดหมุนเวียนดีขึ้นและเป็นการช่วยขจัดของเสียออกจากร่างกาย
4. การคลึง
เป็นการใช้น้ำหนักกดคลึงบริเวณกล้ามเนื้อโดยการหมุนแขนให้กล้ามเนื้อเคลื่อนหรือคลึงเป็นวงกลม ใช้แรงมากกว่าการใช้ข้อศอก ซึ่งให้ผลในการผ่อนคลาย มักใช้กับบริเวณที่ไวต่อการสัมผัสเช่น กระดูก หรือข้อต่อ
5. การถู
โดยใช้น้ำหนักนวดถูไปมา หรือวนไปมาเป็นวงกลม บนกล้ามเนื้อเพื่อช่วยผ่อนคลายอาการปวดเมื่อยเฉพาะจุด หรือตามข้อต่อต่าง ๆ
6. การหมุน
โดยการใช้มือจับและออกแรงหมุนข้อต่อกระลูกวนเป็นวงกลม ช่วยให้การเคลื่อนไหวของข้อต่อทำงานดีขึ้น ผ่อนคลาย
7. การกลิ้ง
เป็นการใช้ข้อศอกและแขนท่อนล่าง กดแรง ๆ ในกล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ เช่น ต้นขา โดยใช้น้ำหนักหมุนกลิ้ง ทำให้เกิดแรงกดต่อเนื่อง และเคลื่อนที่ไปตลอดอวัยวะที่ต้องการนวด ทังยังเป็นการยืดกล้ามเนื้อด้วย
8. การสั่น/เขย่า
ใช้มือเขย่าขาหรือแขนของผู้ถูกนวด เพื่อช่วยทำให้การหมุนเวียนของเลือดดีขึ้น ผ่อนคลายกล้ามเนื้อไปในตัว
9. การบิด
ลักษณะคล้ายการหมุน แต่เป็นการออกแรงบิดกล้ามเนื้อกับข้อต่อให้ยืดขยายออกไปในแนวทะแยง ทำให้กล้ามเนื้อยืด เพื่อให้ผังผืด เส้นเอ็นรอบ ๆ ข้อต่อยึดคลาย เคลื่อนไหวดีขึ้น
10. การลั่นข้อต่อ
เป็นการออกแรงยืดข้อต่ออย่างเร็วทำให้เกิดเสียงดังลั่น เพื่อให้การเคลื่อนไหวของข้อต่อทำงานดีขึ้น
11. การยืดดัดตัว
โดยใช้ฝ่าเท้า เป็นการออกแรงยืดกล้ามเนื้อข้อต่อให้ยืดขยายออกไปทางยาว ช่วยให้กล้ามเนื้อเส้นเอ็นยืดคลายตัว
12. การหยุดการไหลเวียนของเลือด
ใช้ฝ่ามือกดที่จุดชีพจรที่โคนขาเพื่อหยุดการไหลเวียนของเลือดชั่วขณะกดไว้ประมาณครึ่งถึง 1 นาทีแล้วค่อย ๆ ปล่อยช้า ทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น
ในปัจจุบัน ปัญหาเมื่อยขบ อาการปวดตามร่างกาย หรืออาการเครียด มักจะเกิดขึ้นกับหลาย ๆคนโดยเฉพาะเมื่อมีอายุมากขึ้น สาเหตุมาจากหลายปัจจัย เช่น ปวดเมื่อยจากการนั่งทำงานนาน ๆ คอตกหมอน หรือเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้ทำให้มีผู้ที่มีความต้องการใช้บริการนวดมากขึ้นซึ่งความนิยมการนวดไม่จำกัดอยู่เฉพาะแค'ชาวไทย หากแต่ขยายตัวออกไปในหมู่ชาวต่างชาติด้วยโดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน ดังนั้น ธุรกิจนวดแผนไทย จึงเกิดขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการการประกอบธุรกิจนี้จึงเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ที่ต้องการประกอบธุรกิจของตนเอง แต่ก่อนที่จะเริ่มต้นลงมือทำ ผู้ประกอบการควรศึกษาและทำความเข้าใจในธุรกิจนี้ให้ลึกซึ้งเสียก่อน ผู้ที่สนใจทำธุรกิจนวดแผนไทย ควรมีศักยภาพและคุณสมบัติพื้นฐาน ดังนี้
1. มีใจรักในการให้บริการ เนื่องจากว่าการนวดแผนไทย เป็นธุรกิจบริการ ผู้ประกอบการจึงต้องมีใจรักการให้บริการ มีความซื่อสัตย์ จริงใจ สุภาพ พูดจาไพเราะ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี
2. มีสุขภาพกาย สุขภาพใจที่ดีอยู่เสมอ หมั่นออกกำลังกายให้แข็งแรง หากมีอาการไข้หรือรู้สึกไม่สบาย ไม่ควรทำการนวด เพราะนอกจากจะไม่ได้ผลดีแล้วยังอาจแพร่โรคให้กับผู้ถูกนวดได้
3. มีศีลธรรม และมีสัมมาอาชีวะ การนวดเป็นการบริการแบบตัวต่อตัว โอกาสใกล้ชิดและสัมผัสร่างกายลูกค้ามีอยู่ตลอดเวลา ลังนั้น ผู้ประกอบอาชีพนี้จึงต้องให้การนวดเป็นไปด้วยความบริสุทธิ๙ใจ มีศีลธรรม คือ
· ไม่ดื่มสุรา ไม่ดื่มสุรา ทังก่อนและหลังการนวด เพราะอาจจะควบคุมตัวเองไม่ได้และอาจทำให้การนวดไม่ได้ผลเท่าที่ควร
· ไม่เจ้าชู้โดยไม่แสดงกิริยาลวนลาม หรือใช้คำพูดแทะโลมผู้ลูกนวดหรือคนไข้ที่เป็นผู้หญิงกรณีผู้นวดเป็นผู้ชายหรือถ้าผู้นวดเป็นผู้หญิงก็ไม่ควรแสดงกิริยาชี้ชวนผู้ลูกนวดในเรื่องที่ไม่เหมาะสมโดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ ต้องนวดด้วยความสุภาพเรียบร้อย พูดคุยแค,พอสมควร
· ไม่พูดจาหลอกลวง หมายถึง ไม่เลี้ยงไข้หรือล่อลวงให้ผู้ลูกนวดกลับมาอีกครั้งก็ตามถ้าเห็นว่าไม่ได้ผลก็ควรบอกไปตามตรง และแนะนำให้ผู้ป่วยไปรับการรักษาโดยวิธีอื่น มิใช่ล่อลวงเพื่อหวังผลประโยชน์ เงินทอง ลาภยศสรรเสริญ
· ผู้นวดไม่ควรนวดในสถานที่ อโคจร หรือสถานที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น สถานที่ค้าประเวณี โรงนำชา บ่อนการพนัน เป็นต้น
4. ควรมีพื้นฐานความรู้ด้านการนวดแผนไทย หรือผ่านการ‘ฟิกอบรมจากสถาน‘ฟิกอบรมอย่างห้อย 30 - 75 ชม. หรือ 15 - 45 วัน เพราะพื้นฐานดังกล่าว จะทำให้ผู้ประกอบการมีความเข้าใจในธุรกิจนี้อย่างถ่องแท้
5. มีทำเลที่เหมาะสม มองเห็นได้ง่าย ชัดเจน การคมนาคมสะดวก เพราะธุรกิจนี้หากมีทำเลที่ดีก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง
การประกอบการ
ก่อนเปิดการนวดแผนไทย นั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ ดังนี้
· กรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อจดทะเบียนจัดตังธุรกิจ โดยทั่วไปธุรกิจบ?การจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องจดทะเบียนพาณิชย์ แต่ถ้าขายสินค้าอื่นร่วมด้วยต้องจดทะเบียน โดยสามารถศึกษารายละเอยดขออนุญาตได้ท www.ismed.or.th หรือที่ www.thairegistration.com
·กรมสรรพากร เพื่อดำเนินการทางภาษีการจดทะเบียน และภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยศึกษาจากwww.rd.go.th
· กระทรวงสาธารณสุข เพื่อจดทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะ ทั้งนี้หากเป็นการนวดเพื่อบำบัด วินิจฉัยโรค หรือพื้นฟูสมรรถภาพ ตาม พ.ร.บ. การประกอบโรคศิลปะ พ.ศ.2542
ผู้ทำการนวดต้องขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต สาขาการแพทย์แผนไทยหรือเวชกรรมโบราณจากคณะกรรมการวิชาชีพก่อน และต้องดำเนินการในสถานพยาบาลที่ได้รับใบอนุญาตแล้วเท่านั้นแต่หากเป็นการนวดเพื่อบรรเทาอาการปวดเมื่อย ไม่ใช่เพื่อการรักษาโรค ผู้ที่ทำการนวดไม่จำเป็นต้องขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตผู้ประกอบการโรคศิลปะ ผู้ประกอบการสามารถยื่นคำขอได้ที่กองการประกอบโรคศิลปะ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข หรือในต่างชังหวัดยื่นที่สำนักงานสาธารณสุขอำเภอ หรือสำนักงานสาธารณสุขชังหวัด แม้ธุรกิจการนวดจะเป็นอาชีพให้บริการ แต่ก็เป็นอาชีพที่ต้องใช้ความรับผิดชอบสูงเช่นกันโทษทางกฎหมายมีบทลงโทษทางกฎหมายหากผู้นวดกระทำการนวดแบบการรักษาโรค แด,ไม่มีใบอนุญาตประกอบโรคศิลปะซึ่งจะมีความผิดจำคุกไม่เกิน3 ปีปรับไม่เกิน 30,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และแม้จะไม่ได้นวดแต่ขึ้นป้ายโฆษณาว่าเป็นการนวดรักษาโรคโดยไม่มีใบอนุญาตก็มีความผิด คือ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามกฎหมายผู้นวดต้องรับผิดชอบ หากเกิดอันตรายแก,ผู้ถูกนวด ดังนี้หากทำให้ผู้อื่นเกิดอันตรายแก,ร่างกาย จิตใจ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4,000บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากผู้ถูกนวดเป็นอันตรายสาหัส ดังนี้คือ ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด เสียความสามารถที่ม่านประสาท อวัยวะสืบพันธุ ใบหน้า แท้งลูกชิตพิการติดตัว ทุพพลภาพหรือเจ็บป่วยเรื้อรังตลอดชีวิต หรือไม่สามารถประกอบกิจตามปกติเกินกว่า 20วัน ต้องโทษจำคุก 6 เดือนถึง 10ปี หากกระทำโดยประมาท เช่น นวดแล้วเกิดอันตรายสาหัส ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากนวดผู้ป่วยแล้วทำให้เสียชีวิตถือว่ากระทำการโดยประมาท ต้องโทษจำคุกไม่เกิน 10ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท
1. ต้องซื่อสัตย์กับลูกค้า ต่อตัวเองและพนักงาน
2. สร้างจิตสำนึกที่ดีด้านการบริการลูกค้าให้แก'พนักงาน เช่น การสวัสดีเมื่อมีลูกค้าเข้าร้านการทักทายอย่างเป็นมิตร
3. รักษาการบริการให้ได้มาตรฐานคงที่ โดยให้บริการนวดครบทุกขั้นตอนและตามเวลาที่กำหนด
4. ทำเลที่ตั้งเหมาะสม ใกล้กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ค่าเช่าสถานที่ไม่แพงจนเกินไป
5. มีการรักษาความสะอาดของสถานที่ ความสะอาดอุปกรณ์การนวด และความสะอาดของพนักงานให้ดูดีตลอดเวลา