พ่อแม่ที่มีลูกกำลังเป็นวัยรุ่น ล้วนพบปัญหาเดียวกันคือ “พูดกับลูกไม่ค่อยจะรู้เรื่อง คุยกันได้แปับๆ ก็ขัดคอกัน ทะเลาะกันแล้ว” ช่วงเวลาแห่งการเชื่อฟัง ไม่ว่าพ่อแม่พูดอะไร ลูกก็ เออ ออ ห่อหมกไปด้วยได้หมดไปแล้วเมื่อลูกย่างเข้าสู่วัยที่กำลังจะเริ่มเป็นหนุ่มเป็นสาว และยิ่งยากมากขึ้นเมื่อหัวข้อของการพูดคุยเกี่ยวกับความประพฤติที่พ่อแม่เป็นห่วง เพราะลูกกำลังจะเป็นหนุ่มเป็นสาวนี่เอง
เพราะไม่เคยมีใครสอนเราซึ่งเป็นพ่อแม่มาก่อนว่าต้องคุยกับลูกยังไง ดังนั้น เมื่อเกิดความไม่สบายใจ กังวลใจกับพฤติกรรมของลูก เราจึงมักเลือกวิธีเดียวกับที่พ่อแม่ปฏิบัติกับเราเมื่อเราเป็นเด็กคือ เงียบ บ่น หรือด่าว่า ซึ่งวิธีการเหล่านั้นเป็นการสร้างกำแพงระหว่างเรากับลูกให้ยิ่งสูงขึ้น และยากต่อการปีนป่ายข้าม โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องเพศ ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายครอบครัวไม่เคยเอ่ยปากสนทนาเมื่ออยู่ด้วยกันพร้อมหน้า
การกอบกู้ช่วงเวลาดี ๆ ที่เคยมีเมื่อตอนลูกยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ให้กลับมาแม้ลูกจะเข้าสู่วัยรุ่นแล้วเป็นเรื่องที่ทำได้ แด่ต้องอาศัยการ‘ฟิกฝน ทำบ่อย ๆ และแม้จะยากเพียงใด ก็เป็นเรื่องที่พ่อแม่ควรต้องเรียนรู้ ต้อง‘ฟิกการพูดคุยกับลูกด้วยทำทีที่แสดงให้ลูกเห็นถึงความรัก ความห่วงใย และสร้างความไว้วางใจ เพราะผลดีจะตกอยู่ที่ลูกของเรา เมื่อความสัมพันธ์ในครอบครัวดีขึ้น
ก่อนจะเริ่มต้นคุยกับลูก ลองทบทวน ถามตัวเองในใจว่า
• มีเรื่องอะไรบ้างที่เราพูดได้อย่างสบายใจ
• มีเรื่องอะไรที่เห็น ๆ อยู่ตำตา แต่ไม่เคยพูดเลย
• มีเรื่องอะไรที่เป็นความลับสุดยอดของครอบครัว ซึ่งต้องปิดไว้ ไม่สามารถเปิดเผยได้จริงๆเพราะจะส่งผลกระทบถึงสมาชิกในครอบครัว
• มีศีลธรรม จริยธรรมข้อไหนบ้างที่เราได้แต่พูด แต่ทำตามไม่ได้
การตอบคำถามเหล่านี คือการเริ่มต้นที่จะทำการสำรวจและทำความเข้าใจกับกฎกติกาความคิดความเชื่อของครอบครัวเราที่มีต่อเรื่องต่าง ๆ ทำให้เรารู้ว่าทำไมเราถึงคิดและประพฤติเช่นนั้น และจะช่วยเตือนเราว่ามีหลายเรื่องอาจไม่สอดคล้องกับครอบครัวของเราหรือกับของคนอื่น เราจึงควรเปิดใจกว้างขึ้นซึ่งการเปิดใจยอมรับประสบการณ์ใหม่ ๆ คือจุดเริ่มต้นของการสื่อสารที่ได้ผล