“คิดเป็น” เป็นคำไทยสั้น ๆ ง่าย ๆ ที่ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ ใช้เพื่ออธิบายถึงคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของคนในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รุนแรง และซับซ้อน ได้อย่างปกติสุข “คิดเป็น” มาจากความเชื่อพื้นฐานเบื้องต้นที่ว่าคนมีความแตกต่างกันเป็นธรรมดา แต่ทุกคนมีความต้องการสูงสุดเหมือนกันคือความสุขในชีวิต คนจะมีความสุขได้ก็ต่อเมื่อมีการปรับตัวเองและสังคม สิ่งแวดล้อมให้เข้าหากันอย่างผสมกลมกลืนจนเกิดความพอดี นำไปสู่ความพอใจและมีความสุข อย่างไรก็ตามสังคมสิ่งแวดล้อมไม่ได้หยุดนิ่ง แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและรุนแรงอยู่ตลอดเวลาก่อให้เกิดปัญหา เกิดความทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจขึ้นได้เสมอ กระบวนการปรับตนเองกับสังคมสิ่งแวดล้อมให้ผสมกลมกลืนจึงต้องดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและทันการ คนที่จะทำได้เช่นนี้ต้องรู้จักคิด รู้จักใช้สติปัญญา รู้จักตัวเองและธรรมชาติสังคมสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดี สามารถแสวงหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างหลากหลายและพอเพียง อย่างน้อย 3 ประการ คือ ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลทางสังคมสิ่งแวดล้อม และข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับตนเองมาเป็นหลักในการวิเคราะห์ปัญหาเพื่อเลือกแนวทางการตัดสินใจที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา หรือสภาพการณ์ที่เผชิญอยู่อย่างรอบคอบ จนมีความพอใจแล้วก็พร้อมจะรับผิดชอบการตัดสินใจนั้นอย่างสมเหตุสมผล เกิดความพอดีความสมดุลในชีวิตอย่างสันติสุข เรียกได้ว่า “คนคิดเป็น” กระบวนการ คิดเป็น อาจสรุปได้ดังนี้
ท่านอาจารย์ ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ เคยกล่าวไว้ว่า “คิดเป็น” เป็นคำเฉพาะที่หมายรวมทุกอย่างไว้ในตัวแล้ว เป็นคำที่บูรณาการเอาการคิด การกระทำ การแก้ปัญหา ความเหมาะสม ความพอดี ความเชื่อ วัฒนธรรมประเพณี คุณธรรมจริยธรรม มารวมไว้ในคำว่า “คิดเป็น” หมดแล้ว นั่นคือ ต้อง
คิดเป็น คิดชอบ ทำเป็น ทำชอบ แก้ปัญหาได้อย่างมีคุณธรรมและความรับผิดชอบ ไม่ใช่เพียงแค่คิดอย่างเดียว เพราะเรื่องดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ต้องนำมาประกอบการคิด การวิเคราะห์อย่างพอเพียงอยู่แล้ว
กระบวนการเรียนรู้ตามทิศทางของ “คิดเป็น” นี้ ผู้เรียนสำคัญที่สุด ผู้สอนเป็นผู้จัดโอกาสจัดกระบวนการ จัดระบบข้อมูล และแหล่งการเรียนรู้ รวมทั้งการกระตุ้นให้กระบวนการคิด การวิเคราะห์ได้ใช้ข้อมูลอย่างหลากหลาย ลึกซึ้งและพอเพียง นอกจากนั้น “คิดเป็น” ยังครอบคลุมไปถึงการหล่อหลอมจิตวิญญาณของคนทำงาน กศน. ที่ปลูกฝังกันมาจากพี่สู่น้องนับสิบ ๆ ปี เป็นต้นว่า การเคารพคุณค่าของความเป็นมนุษย์ของคนอย่างเท่าเทียมกัน การทำตัวเป็นสามัญเรียบง่าย ไม่มีมุม ไม่มีเหลี่ยมไม่มีอัตตา ให้เกียรติผู้อื่นด้วยความจริงใจ มองในดีมีเสีย ในเสียมีดี ในขาวมีดำ ในดำมีขาว ไม่มีอะไรที่ขาวไปทั้งหมด และไม่มีอะไรที่ดำไปทั้งหมด ทั้งนี้ต้องมองในส่วนดีของผู้อื่นไว้เสมอ
จากแผนภูมิดังกล่าวนี้ จะเห็นว่า คิดเป็นหรือกระบวนการคิดเป็นนั้นจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1. เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ประกอบด้วยการคิด การวิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลประเภทต่าง ๆไม่ใช่การเรียนรู้จากหนังสือหรือลอกเลียนจากตำราหรือรับฟังการสอนการบอกเล่าของครูแต่เพียงอย่างเดียว
2. ข้อมูลที่นำมาประกอบการคิด การวิเคราะห์ต่าง ๆ ต้องหลากหลาย เพียงพอ ครอบคลุม อย่างน้อย 3 ด้าน คือ ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง และข้อมูลเกี่ยวกับสังคมสิ่งแวดล้อม
3. ผู้เรียนเป็นคนสำคัญในการเรียนรู้ ครูเป็นผู้จัดโอกาสและอำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้
4. เรียนรู้จากวิถีชีวิต จากธรรมชาติและภูมิปัญญา จากประสบการณ์และการปฏิบัติจริงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ตลอดชีวิต
5. กระบวนการเรียนรู้เป็นระบบเปิดกว้าง รับฟังความคิดของผู้อื่นและยอมรับความเป็นมนุษย์ที่ศรัทธาในความแตกต่างระหว่างบุคคล ดังนั้นเทคนิคกระบวนการที่นำมาใช้ในการเรียนรู้จึงมักจะเป็นวิธีการสานเสวนา การอภิปรายถกแถลง กลุ่มสัมพันธ์หรือกลุ่มสนทนา
6. กระบวนการคิดเป็นนั้น เมื่อมีการตัดสินใจ ลงมือปฏิบัติแล้วจะเกิดความพอใจ มีความสุข แต่ถ้าลงมือปฏิบัติแล้วยังไม่พอใจก็จะมีสติ ไม่ทุรนทุราย ไม่เดือดเนื้อร้อนใจ แต่จะกลับย้อนไปหาสาเหตุแห่งความไม่สำเร็จ ไม่พึงพอใจกับการตัดสินใจดังกล่าว แล้วแสวงหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อหาทางเลือกในการแก้ปัญหาแล้วทบทวนการตัดสินใจใหม่จนกว่าจะพอใจกับการแก้ปัญหานั้น
1.1 คิดเป็นและการเชื่อมโยงสู่ปรัชญาคิดเป็น
พจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2543 ให้นิยามคำว่า ปรัชญา ไว้ว่า วิชาว่าด้วยหลักแห่งความรู้และหลักแห่งความจริง
คิดเป็น คือ ลักษณะอันพึงประสงค์ที่ช่วยให้คนสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างสันติสุข เพราะคนคิดเป็นเชื่อมั่นในหลักแห่งความเป็นจริงของมนุษย์ที่ยอมรับในความแตกต่างของบุคคล รู้จักปรับตัวเองและสังคมให้ผสมกลมกลืนจนเกิดความพอดีและพอเพียง และเชื่อมั่นในการตัดสินใจแก้ปัญหาที่ใช้ข้อมูลประกอบการคิด การวิเคราะห์อย่างน้อย 3 ประการ จนเกิดความพอใจกับการตัดสินใจนั้นก็จะเป็นการแก้ปัญหาที่ประสบความสุข ถ้ายังไม่พอใจก็จะกลับไปศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลใหม่ที่เพียงพอ และทันเหตุการณ์จนกว่าจะพอใจกับการตัดสินใจของตนเอง คนที่จะทำได้เช่นนี้ต้องรู้จักคิด รู้จักใช้สติปัญญา รู้จักตัวเอง รู้จักธรรมชาติ สังคมสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดี มีความรอบรู้ที่จะแสวงหาข้อมูลมาประกอบการคิด การวิเคราะห์ของตนเองได้
คิดเป็น นอกจากจะเป็นความเชื่อในหลักความเป็นจริงตามธรรมชาติของมนุษย์ดังกล่าวแล้ว คิดเป็นยังเป็นหลักการและแนวคิดสำคัญในการจัดดำเนินโครงการต่าง ๆ ทางการศึกษาผู้ใหญ่ การศึกษานอกโรงเรียนตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะในเรื่องของความเป็นธรรมชาติ ความเรียบง่ายที่หลากหลาย มีข้อมูลให้พิจารณาทั้งด้านบวกและด้านลบ มีประเด็นให้คิด วิเคราะห์ แสวงหาเหตุผลในการหาคำตอบที่เหมาะสมให้กับตนเองและชุมชน
คิดเป็น นอกจากจะเป็นหลักในการดำเนินโครงการการศึกษาผู้ใหญ่ การศึกษานอกโรงเรียนแล้ว ยังเป็นหลักคิดและแนวทางในการดำเนินชีวิตประจำวันของคนทำงานการศึกษานอกโรงเรียนและบุคคลทั่วไป เป็นต้นว่า การเคารพในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ของคนอย่างเท่าเทียมกัน การทำตัวเป็นคนเรียบง่าย ไม่มีอัตตายึดเหนี่ยวจนไม่รับฟังความคิดของผู้อื่น รวมทั้งการมีทักษะการเรียนรู้เพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตด้วย
จากการที่คิดเป็น เป็นทั้งความเชื่อในหลักความเป็นจริงของมนุษย์ เป็นทั้งหลักการ แนวคิด และทิศทางการดำเนินกิจกรรมและโครงการต่าง ๆ ของ กศน. และเป็นพื้นฐานที่สำคัญในวิถีการดำเนินชีวิตของบุคคลทั่วไป รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้มีทักษะการเรียนรู้เพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตในอนาคต คิดเป็นจึงเป็นที่ยอมรับและกำหนดให้เป็น “ปรัชญาคิดเป็น” หรือปรัชญาการศึกษานอกโรงเรียนที่เหมาะสมกับความเป็น กศน. เป็นอย่างยิ่ง
2.2 กระบวนการและขั้นตอนการแก้ปัญหาของคนคิดเป็น
คนคิดเป็นเชื่อว่าทุกข์หรือปัญหาเป็นความจริงตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ก็สามารถแก้ไขได้ ถ้ารู้จักแสวงหาข้อมูลที่หลากหลายและพอเพียงอย่างน้อย 3 ด้าน คือ ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมทางสังคมในวิถีชีวิต วิถีวัฒนธรรมประเพณี วิถีคุณธรรมจริยธรรม และข้อมูลที่เกี่ยวกับตนเอง รู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ ซึ่งครอบคลุมถึงการพึ่งพาตนเองและความพอเพียง พอประมาณมาวิเคราะห์และสังเคราะห์ประกอบการคิดและการตัดสินใจแก้ปัญหา คนคิดเป็นจะเผชิญกับทุกข์หรือปัญหาอย่างรู้เท่าทัน มีสติไตร่ตรองอย่างละเอียดรอบคอบในการเลือกวิธีการแก้ปัญหาและตัดสินใจแก้ปัญหาตามวิธีการที่เลือกแล้วว่าดีที่สุด ก็จะมีความพอใจและเต็มใจรับผิดชอบกับผลการตัดสินใจเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม สังคมในยุคโลกาภิวัตน์เป็นสังคมแห่งการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและรุนแรง ปัญหาก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทุกข์ก็เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไป หรือเปลี่ยนโฉมหน้าไปตามกาลสมัย กระบวนทัศน์ในการดับทุกข์ก็ต้องพัฒนารูปแบบให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย กระบวนการดับทุกข์หรือแก้ปัญหาก็จะหมุนเวียนมาจนกว่าจะพอใจอีกเป็นเช่นนี้อยู่อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
1. คนคิดเป็นเชื่อว่า ทุกข์หรือปัญหาใด ๆ ย่อมมีอยู่ในวิถีชีวิตของมนุษย์ เมื่อใดที่ตนเองและสภาพสังคมสิ่งแวดล้อมไม่สามารถปรับเข้าหากันจนเกิดความพอดี ก็จะเกิดความทุกข์ ความไม่สบายกายไม่สบายใจ ทุกข์หรือปัญหาอาจเป็นของบุคคลหรือชุมชนและสังคม เมื่อเกิดทุกข์หรือปัญหาก็จะมีกระบวนการแก้ปัญหาเพื่อให้เกิดความสุขที่พึงปรารถนา
2. ขั้นหาสาเหตุของปัญหา กระบวนการแก้ปัญหาของคนคิดเป็นจะเริ่มที่การรู้จักปัญหา รู้จักสาเหตุของปัญหาเหล่านั้น โดยการวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 ประการ ว่า ปัญหาหรือทุกข์นั้นเกิดจากการไม่ผสมกลมกลืนระหว่างตนเองกับภาวะแวดล้อมหรือข้อมูลทางวิชาการตรงไหน อย่างไร มีอะไรเป็นสาเหตุสำคัญบ้าง เช่น
- สาเหตุสำคัญมาจากตนเอง จากพื้นฐานของชีวิตตนเองและครอบครัว ความไม่สมดุลของการงานอาชีพที่พึงปรารถนา ความขัดข้องที่เกิดจากโรคภัยของตนเอง ความโลภ โกรธ หลง ในใจของตนเอง ความคับข้องใจในการรักษาคุณธรรม จริยธรรมของตนเอง ฯลฯ
- สาเหตุสำคัญมาจากสังคม ชุมชนและสภาวะแวดล้อม ความไม่พึงพอใจต่อพฤติกรรม
ไม่พึงปรารถนาของเพื่อนบ้าน การขาดแหล่งเงินทุนในการประกอบอาชีพ ชุมชนมีการทะเลาะเบาะแว้ง ขาดความสามัคคี ฯลฯ
- สาเหตุสำคัญมาจากการขาดแหล่งข้อมูล แหล่งความรู้ความเคลื่อนไหวที่เป็นปัจจุบันของวิชาการและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ขาดภูมิปัญญาที่จะช่วยเติมข้อมูลทางปัญญาในการบริหารจัดการ ฯลฯ
3. ขั้นวิเคราะห์เสนอทางเลือกของปัญหา เมื่อรู้สาเหตุของปัญหาจากการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการกำหนดทางเลือกต่าง ๆ ที่น่าจะเป็นในการแก้ทุกข์ หรือแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น การกำหนดทางเลือกต่าง ๆ ที่จะใช้เป็นแนวทางแก้ปัญหานี้ เป็นการกระทำโดยการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลที่หลากหลายและพอเพียงทั้งในด้านวิชาการ ด้านสังคมสิ่งแวดล้อม และข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง ซึ่งเป็นตัวแปรที่สำคัญในการตัดสินใจด้วย
4. ขั้นการเลือกวิธีแก้ปัญหา ขั้นตอนนี้เป็นการตัดสินใจ เลือกแนวทางการแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุดตามข้อมูลที่วิเคราะห์ได้ เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในกลุ่มทางเลือกที่ได้เลือกไว้
5. การนำทางเลือกการแก้ปัญหาไปปฏิบัติ เมื่อได้ตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาแล้วก็มาถึงขั้นนำทางเลือกนั้นไปปฏิบัติเพื่อการแก้ปัญหา
6. การประเมินผลการแก้ปัญหา เมื่อมีการปฏิบัติการแก้ปัญหาแล้วก็จะต้องมีการประเมินผลการดำเนินงาน ถ้าผลที่เกิดขึ้นเป็นที่พอใจก็จะนำไปสู่ความสุข แก้ปัญหาได้สำเร็จ แต่ถ้าปฏิบัติการแก้ปัญหาแล้วยังไม่พอใจ ยังไม่บรรลุตามที่คิดไว้ก็จะนำไปสู่การพิจารณาปัญหากันใหม่ เข้าสู่กระบวนการแก้ปัญหา การศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมอีกจนกว่าจะพอใจและพบกับความสุขกับการแก้ปัญหานั้นจึงจะถือว่าจบกระบวนการแก้ปัญหาของคนคิดเป็น
1.1 ฝึกทักษะการคิดเป็น
คิดเป็น เป็นเรื่องของการสร้างสมประสบการณ์ที่จะทำความเข้าใจกับความจริงของชีวิตคิดเป็นนอกจากจะเป็นการทำความเข้าใจกับหลักการและแนวคิดแล้ว กระบวนการเรียนรู้จะเน้นหนักไปที่การฝึกปฏิบัติจากกรณีตัวอย่าง และจากการปฏิบัติจริงในวิถีการดำรงชีวิตประจำวัน รวมทั้งการได้แลกเปลี่ยนความคิดและประสบการณ์จากการสานเสวนาหรืออภิปรายถกแถลงกับเพื่อนในกลุ่มด้วย คนมีทักษะสูงก็จะสามารถมองเห็นทางเลือกและช่องทางในการแก้ปัญหาได้รวดเร็วและคล่องแคล่วมากขึ้น ฉะนั้น การฝึกปฏิบัติบ่อยครั้ง และด้วยวิธีที่หลากหลายก็จะช่วยให้การแก้ปัญหาไม่ผิดพลาดมากนัก ในตอนสุดท้ายนี้เป็นการเสนอกิจกรรมตัวอย่างให้ครูและผู้เรียนได้ร่วมกันปฏิบัติเพื่อเพิ่มพูนทักษะ “คิดเป็น” ให้เข้มแข็ง เฉียบคม ฉับไว จนเกิดสภาพคล่องเป็นธรรมชาติ และใช้เวลาในการคิด การตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้นด้วย