“คิดเป็น คืออะไร ใครรู้บ้าง
มีทิศทางมาจากไหน ใครเคยเห็น
จะเรียนร่ำทำอย่างไรให้ “คิดเป็น”
ไม่ล้อเล่นใครตอบได้ขอบใจเอย”
ทุกวันนี้นอกจากเด็กและเยาวชนที่คร่ำเคร่งเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนกันมากมายทั่วประเทศแล้วก็ยังมีเยาวชนและผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยที่สนใจใฝ่รู้ใฝ่เรียนต่างก็ใช้เวลาว่างจากการทำงาน หรือวันหยุดไปเรียนรู้เพิ่มเติมทั้งวิชาสามัญ วิชาอาชีพ หรือการฝึกทักษะการเรียนรู้ต่าง ๆ จากสื่อและเทคโนโลยีที่แพร่หลายมากมายที่เรียกว่า การศึกษาผู้ใหญ่ การศึกษานอกโรงเรียน การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ผู้เรียนเหล่านี้บางคนเป็นเยาวชนที่ยังเรียนไม่จบมัธยมศึกษาตอนต้น แต่ต้องออกมาทำงานเพราะครอบครัวยากจน มีพี่น้องหลายคน บางคนไม่ได้เรียนหนังสือแต่ทำงานเป็นเจ้าของกิจการใหญ่โต บางคนจบปริญญาแล้วก็ยังมาเรียนอีก บางคนอายุมากแล้วก็ยังสนใจมาฝึกวิชาชีพและวิชาที่สนใจ เช่น ร้องเพลง ดนตรี หมอดู พระเครื่อง เป็นต้น และมีจำนวนไม่น้อยที่เรียนรู้ การทำร้านอาหาร การทำร้านขายทอง หรือการทำการเกษตรปลูกส้มโอตามที่พ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ทำมาหากินมาหลายชั่วอายุคน
คนทุกคนมีความแตกต่างกันเป็นธรรมดา ท่านเคยรู้บ้างไหมว่า เหตุใดนักศึกษาเหล่านี้จึงคิดมาเรียนหนังสือ เมื่ออายุเลยวัยที่จะเรียนในโรงเรียนแล้ว คำตอบมีหลากหลายแตกต่างกันไป เช่น
- อยากมีโอกาสได้เรียนสูง ๆ ได้เป็นเจ้าคนนายคน
- เรียนจบระดับประถมศึกษาแล้วตั้งแต่เด็ก ๆ อยากเรียนต่อระดับมัธยมศึกษาบ้าง
- ต้องการนำความรู้ไปใช้พัฒนาตนเอง พัฒนาอาชีพให้ดีขึ้น มีรายได้ดีกว่าเดิม
- ต้องการพบเพื่อนรุ่นเดียว วัยเดียวกัน ได้แลกเปลี่ยนความคิดด้วยกัน
- มีเงินมีทอง มีงานทำเป็นหลักเป็นฐาน มีชื่อเสียงเด่นดังแล้ว อยากมีวุฒิการศึกษาสูง ๆ มาประดับตัวเอง
- มีฐานะดี เป็นเจ้าของกิจการใหญ่โตระดับประเทศและนานาชาติ แต่มีวุฒิทางการศึกษาเพียงแค่ ม. 3 ก็อายเขา
- อยากเรียนปริญญาบ้าง ตั้งใจจะสมัครเป็นนักการเมืองท้องถิ่น แต่วุฒิการศึกษาไม่เพียงพอ จึงต้องมาเรียนให้ได้วุฒิตามที่กฎหมายกำหนด
- มาเรียนให้จบมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อจะได้มีโอกาสประเมินเลื่อนตำแหน่งเป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร
- มาเรียนวิชาชีพทำอาหารตามที่เพื่อน ๆ ชวนมา ตั้งใจจะนำความรู้ไปทำอาหารขายในชุมชน เมื่อเรียนสำเร็จ ฯลฯ
คำตอบอาจจะมีอีกมากมายตามเหตุผลของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน หรือบางคนอาจมีเหตุผลเหมือนกับคนอื่นบ้าง แม้แต่ตัวท่านเอง เคยถามตัวเองบ้างไหมว่า มาเรียนที่นี่เพราะอะไร?
คำตอบของท่าน คือ เพราะ _____________________________________________________________________(ลองเติมตามใจท่าน) ถ้าจะถามต่ออีกว่า ทำไมเหตุผลของหลายคนที่กล่าวมาแล้วใน
การเรียนที่นี่จึงไม่เหมือนกันทุกคนและอาจจะไม่เหมือนกับเหตุผลของท่าน? หลายคนตอบว่า เพราะเขาไม่ใช่ท่าน ความคิด ความประสงค์ ความต้องการของเขาจึงแตกต่างไปจากของท่าน
ท่านว่าจริงไหม? (ลองคิด แต่ไม่ต้องเขียนตอบ)
เชื่อว่า คำตอบของท่านก็คงเหมือนกันทุกคน นั่นก็คือ คนทุกคนมีความแตกต่างกัน มีการดำเนินชีวิตที่ต่างกัน ความคาดหวัง ความต้องการต่าง ๆ ในชีวิตก็แตกต่างกัน แต่ทุกคนก็ต้องการความสำเร็จในชีวิตด้วยกันทุกคน ซึ่งถ้าประสบความสำเร็จก็จะมีความสุข ความเชื่อดังกล่าวนี้ เป็นความจริงในชีวิต 1 ใน 5 ข้อ ของคน ที่ดร. โกวิท วรพิพัฒน์ อดีตอธิบดีกรมการศึกษานอกโรงเรียนได้ใช้เป็นพื้นฐานความคิดที่สำคัญในการจัดการศึกษาผู้ใหญ่หลายโครงการ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 เป็นต้นมา ความจริงในชีวิตของคน 5 ประการ ที่ต่อมาเรียกกันว่า ความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่นี้นับว่าเป็นปฐมบท หรือที่มาของคำว่า คิดเป็น
ความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ เชื่อว่าคนทุกคนมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน ความต้องการก็ไม่เหมือนกันแต่ทุกคนก็มีจุดมุ่งหมายปลายทางของตนที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งถ้าบรรลุถึงสิ่งนั้นได้เขาก็จะมีความสุข ดังนั้น ความสุขเหล่านี้จึงเป็นเรื่องต่างจิตต่างใจที่กำหนดตามสภาวะของตน อย่างไรก็ตามการจะมีความสุขอยู่ได้ในสังคม จำเป็นต้องรู้จักปรับตัวเอง และสังคมให้ผสมกลมกลืนกันจนเกิดความพอดีแก่เอกัตภาพ และบางครั้งหากเป็นการตัดสินใจที่ได้กระทำดีที่สุดตามกำลังของตัวเองแล้ว ก็จะมีความพอใจกับการตัดสินใจนั้น อีกประการหนึ่งในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ การที่จะปรับตัวเองและสิ่งแวดล้อมให้เกิดความพอดีนั้น จำเป็นต้องรู้จักการคิด การแก้ปัญหา การเรียนการสอนที่จะให้คนรู้จักแก้ปัญหาได้นั้น การสอนโดยการบอกอย่างเดียวคงไม่ได้ประโยชน์มากนัก การสอนให้รู้จักคิด รู้จักวิเคราะห์จึงเป็นวิธีที่ควรนำมาใช้ กระบวนการคิด การแก้ปัญหามีหลากหลายวิธีแตกต่างกันไป แต่กระบวนการคิด การแก้ปัญหาที่ต้องใช้ข้อมูลประกอบการคิด การวิเคราะห์อย่างน้อย 3 ประการ คือข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเอง และข้อมูลเกี่ยวกับสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเมื่อนำผลการคิดนี้ไปปฏิบัติแล้วพอใจ มีความสุข ก็จะเรียกการคิดเช่นนั้นว่า คิดเป็น
เราได้เรียนรู้ถึงความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ โดยการทำกิจกรรมร่วมกันทั้ง 5 กิจกรรมดังบทสรุปที่ได้ร่วมกันเสนอไว้แล้ว ความเชื่อพื้นฐานที่สรุปไว้นี้คือ ความเชื่อพื้นฐานที่เป็นความจริงในชีวิตของคนที่ กศน. นำมาเป็นหลักให้คนทำงาน กศน. ตลอดจนผู้เรียนได้ตระหนักและเข้าใจแล้วนำไปใช้ในการดำรงชีวิตเพื่อการคิด การแก้ปัญหา การทำงานร่วมกับคนอื่น การบริหารจัดการในฐานะเป็นนายเป็นผู้นำหรือผู้ตาม ในฐานะผู้สอน ผู้เรียน ในฐานะเป็นสมาชิกในครอบครัว สมาชิกในชุมชนและสังคม เพื่อให้รู้จักตัวเอง รู้จักผู้อื่น รู้จักสภาวะสิ่งแวดล้อม การคิดการตัดสินใจต่าง ๆ ที่คำนึงถึงข้อมูลที่เพียงพออย่างน้อยประกอบด้วยข้อมูล 3 ด้าน คือ ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองและข้อมูลเกี่ยวกับสังคม สิ่งแวดล้อม ด้วยความใจกว้าง มีอิสระ ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นไม่เอาแต่ใจตนเอง จะได้มีสติ รอบคอบ ละเอียดถี่ถ้วน ไม่ผิดพลาดจนเกินไป เราถือว่าความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ ดังกล่าวนี้ คือ พื้นฐานเบื้องต้นของการนำไปสู่การคิดเป็น หรือเรียกตามภาษานักวิชาการว่า ปฐมบทของกระบวนการคิดเป็น