การจัดการ (Management) หมายถึง กระบวนการในการเข้าถึงความรู้และการถ่ายทอดความรู้ที่ต้องดำเนินการร่วมกันกับผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งอาจเริ่มต้นจากการบ่งชี้ความรู้ที่ต้องการใช้ การสร้างและแสวงหาความรู้ การประมวลเพื่อกลั่นกรองความรู้ การจัดการความรู้ให้เป็นระบบ การสร้างช่องทางเพื่อการสื่อสารกับผู้เกี่ยวข้อง การแลกเปลี่ยนความรู้ การจัดการสมัยใหม่ใช้กระบวนการทางปัญญาเป็นสิ่งสำคัญในการคิด ตัดสินใจ และส่งผลให้เกิดการกระทำ การจัดการจึงเน้นไปที่การปฏิบัติ
ความรู้ (Knowledge) หมายถึง ความรู้ที่ควบคู่กับการปฏิบัติ ซึ่งในการปฏิบัติจำเป็นต้องใช้ความรู้ที่หลากหลายสาขาวิชามาเชื่อมโยงบูรณาการเพื่อการคิดและตัดสินใจและลงมือปฏิบัติ จุดกำเนิดของความรู้คือสมองของคน เป็นความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในสมอง ชี้แจงออกมาเป็นถ้อยคำหรือตัวอักษรได้ยาก ความรู้นั้นเมื่อนำไปใช้จะไม่หมดไป แต่จะยิ่งเกิดความรู้ เพิ่มพูนมากขึ้นอยู่ในสมองของผู้ปฏิบัติ
ในยุคแรก ๆ มองว่า ความรู้หรือทุนทางปัญญา มาจากการจัดระบบและการตีความสารสนเทศ ซึ่งสารสนเทศก็มาจากการประมวลข้อมูล ขั้นของการเรียนรู้เปรียบดังปิระมิดตามรูปแบบนี้
1. ความรู้เด่นชัด (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่เป็นเอกสาร ตำรา คู่มือ ปฏิบัติงาน สื่อต่าง ๆ กฎเกณฑ์ กติกา ข้อตกลง ตารางการทำงาน บันทึกจากการทำงาน ความรู้เด่นชัดจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ความรู้ในกระดาษ”
2. ความรู้ซ่อนเร้น / ความรู้ฝังลึก (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่แฝงอยู่ในตัวคน พัฒนาเป็นภูมิปัญญา ฝังอยู่ในความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ที่คนได้มาจากประสบการณ์ สั่งสมมานาน หรือเป็นพรสวรรค์อันเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวที่มีมาแต่กำเนิดหรือเรียก อีกอย่างหนึ่งว่า “ความรู้ในคน” แลกเปลี่ยนความรู้กันได้ยาก ไม่สามารถแลกเปลี่ยนมาเป็นความรู้ที่เปิดเผยได้ทั้งหมด ต้องเกิดจากการเรียนรู้ร่วมกัน ผ่านการเป็นชุมชน เช่น การสังเกต การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างการทำงานหากเปรียบความรู้เหมือนภูเขาน้ำแข็ง จะมีลักษณะดังนี้
ส่วนของน้ำแข็งที่ลอยพ้นน้ำ เปรียบเหมือนความรู้ที่เด่นชัด คือความรู้ที่อยู่ในเอกสาร ตำรา ซีดี วีดีโอ หรือสื่ออื่น ๆ ที่จับต้องได้ ความรู้นี้มีเพียง 20 เปอร์เซ็นต์
ส่วนของน้ำแข็งที่จมอยู่ใต้น้ำ เปรียบเหมือนความรู้ที่ยังฝังลึกอยู่ในสมองคน มี ความรู้จากสิ่งที่ตนเองได้ปฏิบัติ ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นตัวหนังสือให้คนอื่นได้รับรู้ได้ ความรู้ที่ฝังลึกในตัวคนนี้มีประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์
ความรู้ยุคที่ 1 เน้นความรู้ในกระดาษ เน้นความรู้ของคนส่วนน้อย ความรู้ที่สร้างขึ้นโดยนักวิชาการที่มีความชำนาญเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เรามักเรียกคนเหล่านั้นว่า “ผู้มีปัญญา” ซึ่งเชื่อว่าคน ส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ ไม่มีปัญญา ไม่สนใจที่จะใช้ความรู้ของคนเหล่านั้น โลกทัศน์ในยุคที่ 1 เป็นโลกทัศน์ที่คับแคบ
ความรู้ยุคที่ 2 เป็นความรู้ในคน หรืออยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างคน เป็นการ ค้นพบ “ภูมิปัญญา” ที่อยู่ในตัวคน ทุกคนมีความรู้เพราะทุกคนทำงาน ทุกคนมีสัมพันธ์กับผู้อื่น จึงย่อมมีความรู้ที่ฝังลึกในตัวคนที่เกิดจากการทำงาน และการมีความสัมพันธ์กันนั้น เรียกว่า “ความรู้อันเกิดจากประสบการณ์” ซึ่งความรู้ยุคที่ 2 นี้ มีคุณประโยชน์ 2 ประการ คือ ประการแรก ทำให้เราเคารพซึ่งกันและกันว่าต่างก็มีความรู้ ประการที่ 2 ทำให้หน่วยงาน หรือองค์กรที่มีความเชื่อเช่นนี้ สามารถใช้ศักยภาพแฝงของทุกคนในองค์กรมาสร้างผลงาน สร้างนวัตกรรมให้กับองค์กร ทำให้องค์กรมีการพัฒนามากขึ้น
การจัดการความรู้ (Knowledge Management) หมายถึง การจัดการกับความรู้ และประสบการณ์ ที่มีอยู่ในตัวคน และความรู้เด่นชัด นำมาแบ่งปันให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง และองค์กร ด้วยการผสมผสานความสามารถของคนเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสม มีเป้าหมาย เพื่อการพัฒนางาน พัฒนาคน และพัฒนาองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
ในปัจจุบันและในอนาคตโลกจะปรับตัวเข้าสู่การเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ ซึ่งความรู้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาคน ทำให้คนจำเป็นต้องสามารถแสวงหาความรู้พัฒนา และสร้างองค์ความรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำพาตนเองสู่ความสำเร็จ และนำพาประเทศชาติไปสู่การพัฒนา มีความเจริญก้าวหน้าและสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
คนทุกคนมีการจัดการความรู้ในตนเองแต่ยังไม่เป็นระบบ การจัดการความรู้เกิดขึ้นได้ในครอบครัวที่มีการเรียนรู้ตามอัธยาศัย พ่อแม่สอนลูก ปู่ย่า ตายาย ถ่ายทอดความรู้ และภูมิปัญญาให้แก่ลูกหลานในครอบครัว ทำกันมาหลายชั่วอายุคน โดยใช้วิธีธรรมชาติ เช่น พูดคุย สั่งสอน จดจำ ไม่มีกระบวนการที่เป็นระบบแต่อย่างใด วิธีการดังกล่าวถือเป็น การจัดการความรู้รูปแบบหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม โลกในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็วในด้านต่าง ๆ การใช้วิธีการจัดการความรู้แบบธรรมชาติ อาจก้าวตามโลกไม่ทัน จึงจำเป็นต้องมีกระบวนการที่เป็นระบบ เพื่อช่วยให้องค์กรสามารถทำให้บุคคลได้ใช้ความรู้ตามที่ต้องการได้ทันเวลา ซึ่งเป็นกระบวนการพัฒนาคนให้มีศักยภาพ โดยการสร้างและใช้ความรู้ในการปฏิบัติงานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ดีขึ้นกว่าเดิม การจัดการความรู้หากไม่ปฏิบัติจะไม่เข้าใจเรื่องการจัดการความรู้ นั่นคือ “ไม่ทำ ไม่รู้” การจัดการความรู้จึงเป็นกิจกรรมของนักปฏิบัติ กระบวนการจัดการความรู้จึงมีลักษณะเป็นวงจรเรียนรู้ที่ต่อเนื่องสม่ำเสมอ เป้าหมายคือการพัฒนางานและพัฒนาคน การจัดการความรู้ที่แท้จริงเป็นการจัดการความรู้โดยกลุ่มผู้ปฏิบัติงานเป็นการดำเนินกิจกรรมร่วมกันในกลุ่มผู้ทำงาน เพื่อช่วยกันดึง “ความรู้ในคน” และคว้าความรู้ภายนอกมาใช้ในการทำงาน ทำให้ได้รับความรู้มากขึ้น ซึ่งถือเป็นการยกระดับความรู้และนำความรู้ที่ได้รับการยกระดับไปใช้ในการทำงานเป็นวงจรต่อเนื่องไม่จบสิ้น การจัดการความรู้จึงต้องร่วมมือกันทำหลายคน ความคิดเห็นที่แตกต่างในแต่ละบุคคลจะก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ด้วยการใช้กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มีปณิธานมุ่งมั่นที่จะทำงาน ให้ประสบผลสำเร็จดีขึ้นกว่าเดิม เมื่อดำเนินการจัดการความรู้แล้วจะเกิดนวัตกรรมในการทำงานนั่นคือเกิดการต่อยอดความรู้ และมีองค์ความรู้เฉพาะเพื่อใช้ในการปฏิบัติงานของตนเอง การจัดการความรู้มิใช่การเอาความรู้ที่มีอยู่ในตำราหรือจากผู้เชี่ยวชาญมากองรวมกันและจัดหมวดหมู่ เผยแพร่ แต่เป็นการดึงเอาความรู้เฉพาะส่วนที่ใช้ในงานมาจัดการให้เกิดประโยชน์กับตนเอง กลุ่ม หรือชุมชน
การจัดการความรู้เป็นการเรียนรู้จากการปฏิบัติ นำผลจากการปฏิบัติมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เสริมพลังของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยการชื่นชม ทำให้เป็นกระบวนการแห่งความสุข ความภูมิใจ และการเคารพเห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน ทักษะเหล่านี้นำไปสู่การสร้างนิสัยคิดบวกทำบวก มองโลกในแง่ดี และสร้างวัฒนธรรมในองค์กรที่ผู้คนสัมพันธ์กันด้วยเรื่องราวดี ๆ ด้วยการแบ่งปันความรู้ และแลกเปลี่ยนความรู้จากประสบการณ์ซึ่งกันและกัน โดยที่กิจกรรมเหล่านี้สอดคล้องแทรกอยู่ในการทำงานประจำทุกเรื่อง ทุกเวลา...
....ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช....
หัวใจของการจัดการความรู้ คือ การจัดการความรู้ที่มีอยู่ในตัวบุคคล โดยเฉพาะบุคคลที่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติงานจนงานประสบผลสำเร็จ กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างคนกับคน หรือกลุ่มกับกลุ่ม จะก่อให้เกิดการยกระดับความรู้ที่ส่งผลต่อเป้าหมายของการทำงาน นั่นคือ เกิดการพัฒนาประสิทธิภาพของงาน คนเกิดการพัฒนา และ ส่งผลต่อเนื่องไปถึงองค์กร เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ผลที่เกิดขึ้นกับการจัดการความรู้ จึงถือว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนาบุคลากรในองค์กร ซึ่งประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อบุคคล กลุ่ม หรือองค์กร มีอย่างน้อย 3 ประการ คือ
1. ผลสัมฤทธิ์ของงาน หากมีการจัดการความรู้ในตนเอง หรือในหน่วยงาน องค์กรจะเกิดผลสำเร็จที่รวดเร็วยิ่งขึ้น เนื่องจากความรู้เพื่อใช้ในการพัฒนางานนั้น เป็นความรู้ที่ได้จากผู้ที่ผ่านการปฏิบัติโดยตรง จึงสามารถนำมาใช้ในการพัฒนางานได้ทันที และเกิดนวัตกรรมใหม่ในการทำงาน ทั้งผลงานที่เกิดขึ้นใหม่และวัฒนธรรมการทำงานร่วมกันของคนในองค์กรที่มีความเอื้ออาทรต่อกัน
2. บุคลากร การจัดการความรู้ในตนเองจะส่งผลให้คนในองค์กรเกิดการพัฒนา ตนเอง และ ส่งผลรวมถึงองค์กร กระบวนการเรียนรู้จากการแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกัน จะทำให้บุคลากรเกิดความมั่นใจในตนเอง เกิดความเป็นชุมชนในหมู่เพื่อนร่วมงาน บุคลากร เป็นบุคคลเรียนรู้และส่งผลให้องค์กรเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้อีกด้วย
3. ยกระดับความรู้ของบุคลากรและองค์กร การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จะทำให้บุคลากรมีความรู้เพิ่มขึ้นจากเดิม เห็นแนวทางในการพัฒนางานที่ชัดเจนมากขึ้น และเมื่อนำไปปฏิบัติจะทำให้บุคคลและองค์กรมีองค์ความรู้เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานในเรื่องที่สามารถนำไปปฏิบัติได้ มีองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการใช้งาน และจัดระบบให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้
การที่เรามีการจัดการความรู้ในตัวเอง จะพบว่าความรู้ในตัวเราที่คิดว่าเรามีมากแล้วนั้น จริง ๆ แล้วยังน้อยมากเมื่อเทียบกับบุคคลอื่น และหากเรามีการแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้กับบุคคลอื่น จะพบว่ามีความรู้บางอย่างเกิดขึ้นโดยที่เราคาดไม่ถึง และหากเราเห็นแนวทางมีความรู้แล้วไม่นำไปปฏิบัติ ความรู้นั้นก็จะไม่มีคุณค่าอะไรเลย หากนำความรู้นั้นไปแลกเปลี่ยน และนำไปสู่การปฏิบัติที่เป็นวงจรต่อเนื่องไม่รู้จบจะเกิดความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมาก หรือที่เรียกว่า “ยิ่งให้ ยิ่งได้รับ”
การจัดการความรู้ ไม่มีสูตรสำเร็จในวิธีการของการจัดการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับปณิธานความมุ่งมั่นที่จะทำงานของตน หรือกิจกรรมของกลุ่มตนให้ดีขึ้นกว่าเดิม แล้วใช้วิธีการจัดการความรู้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการพัฒนางานหรือสร้างนวัตกรรมในงาน มีหลักการสำคัญ 4 ประการ ดังนี้
1. ให้คนหลากหลายทัศนะ หลากหลายวิถีชีวิต ทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ การจัดการความรู้ที่มีพลังต้องทำโดยคนที่มีพื้นฐานแตกต่างกัน มีความเชื่อหรือวิธีคิดแตกต่างกัน (แต่มีจุดรวมพลัง คือ มีเป้าหมายอยู่ที่งานด้วยกัน) ถ้ากลุ่มที่ดำเนินการจัดการความรู้ประกอบด้วยคนที่คิดเหมือน ๆ กัน การจัดการความรู้จะไม่มีพลังในการจัดการความรู้ความแตกต่างหลากหลายมีคุณค่ามากกว่าความเหมือน
2. ร่วมกันพัฒนาวิธีการทำงานในรูปแบบใหม่ ๆ เพื่อบรรลุประสิทธิภาพและประสิทธผลที่กำหนดไว้ ประสิทธิผลประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 ประการ คือ
2.1 การตอบสนองความต้องการ ซึ่งอาจเป็นความต้องการของตนเอง ผู้รับ บริการ ความต้องการของสังคม หรือความต้องการที่กำหนดโดยผู้นำองค์กร
2.2 นวัตกรรม ซึ่งอาจเป็นนวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ หรือวิธีการใหม่ ๆ ก็ได้
2.3 ขีดความสามารถของบุคคล และขององค์กร
2.4 ประสิทธิภาพในการทำงาน
3. ทดลองและการเรียนรู้ เนื่องจากกิจกรรมการจัดการความรู้ เป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์ จึงต้องทดลองทำเพียงน้อย ๆ ซึ่งถ้าล้มเหลวก็ก่อผลเสียหายไม่มากนัก ถ้าได้ผลไม่ดีก็ยกเลิกความคิดนั้น ถ้าได้ผลดีจึงขยายการทดลองคือปฏิบัติมากขึ้น จนในที่สุดขยายเป็นวิธีทำงานแบบใหม่ หรือที่เรียกว่า ได้วิธีการปฏิบัติที่ส่งผลเป็นเลิศ (best practice) ใหม่นั่นเอง
4. นำเข้าความรู้จากภายนอกอย่างเหมาะสม โดยต้องถือว่าความรู้จากภายนอก ยังเป็นความรู้ที่ “ดิบ” อยู่ต้องเอามาทำให้ “สุก” ให้พร้อมใช้ตามสภาพของเรา โดยการเติมความรู้ที่มีตามสภาพของเราลงไป จึงจะเกิดความรู้ที่เหมาะสมกับที่เราต้องการใช้
หลักการของการจัดการความรู้ จึงมุ่งเน้นไปที่การจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพราะการจัดการความรู้เป็นเครื่องมือระดมความรู้ในคน และความรู้ในกระดาษทั้งที่เป็นความรู้จากภายนอก และความรู้ของกลุ่มผู้ร่วมงานเอามาใช้และยกระดับความรู้ของบุคคลขอ ผู้ร่วมงาน และขององค์กรทำให้งาน มีคุณภาพสูงขึ้น คนเป็นบุคคลเรียนรู้และองค์กรเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ การจัดการความรู้จึงเป็นทักษะสิบส่วน เป็นความรู้เชิงทฤษฎีเพียงส่วนเดียว การจัดการความรู้จึงอยู่ในลักษณะ “ไม่ทำ - ไม่รู้”
ให้นักศึกษาตอบคำถามด้านล่าง มาพอเข้าใจ และส่งไฟล์คำตอบมาที่อีเมล์ thanet111@hotmail.com หรือทางไลน์กลุ่ม ทักษะการเรียนรู้ ม.ต้น
กิจกรรมที่ 1 ให้อธิบายความหมายของ “การจัดการความรู้” มาพอสังเขป
กิจกรรมที่ 2 ให้อธิบายความสำคัญของ “การจัดการความรู้” มาพอสังเขป
กิจกรรมที่ 3 ให้อธิบายหลักการของ “การจัดการความรู้” มาพอเข้าใจ
การจัดการความรู้นั้นมีหลายรูปแบบ หรือที่เรียกกันว่า “โมเดล” มีหลากหลาย โมเดล หัวใจของการจัดการความรู้ คือ การจัดการความรู้ที่อยู่ในตัวคน ในฐานะผู้ปฏิบัติ และเป็นผู้มีความรู้ การจัดการความรู้ที่ทำให้คนเคารพในศักดิ์ศรีของคนอื่น การจัดการความรู้นอกจากการจัดการความรู้ในตนเองเพื่อให้เกิดการพัฒนางานและพัฒนาตนเองแล้วยังมองรวมถึงการจัดการความรู้ในกลุ่มหรือองค์กรด้วย รูปแบบ การจัดการความรู้จึงอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อที่ว่า ทุกคนมีความรู้ ปฏิบัติในระดับความชำนาญที่ต่างกัน เคารพความรู้ที่อยู่ในตัวคน
ดร.ประพนธ์ ผาสุกยึด ได้คิดค้นรูปแบบการจัดการความรู้ไว้ 2 แบบ คือ รูปแบบปลาทูหรือที่เรียกว่า “โมเดลปลาทู” และรูปแบบปลาตะเพียน หรือที่เรียกว่า “โมเดลปลา ตะเพียน” แสดงให้เห็นถึงรูปแบบการจัดการความรู้ในภาพรวมของการจัดการ ที่ครอบคลุมทั้งความรู้ที่ชัดแจ้ง และความรู้ที่ฝังลึก ดังนี้
โมเดลปลาทู
เพื่อให้การจัดการความรู้ หรือ KM เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย จึงกำหนดให้การจัดการ ความรู้เปรียบเหมือนกับปลาทูตัวหนึ่ง มีสิ่งที่ต้องดำเนินการจัดการความรู้อยู่ 3 ส่วน โดย กำหนดว่า ส่วนหัว คือ การกำหนดเป้าหมายของการจัดการความรู้ที่ชัดเจน ส่วนตัวปลา คือ การแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน และส่วนหางปลา คือ ความรู้ที่ได้รับจากการแลกเปลี่ยน เรียนรู้
ส่วนที่ 1 “หัวปลา” หมายถึง “Knowledge Vision” หรือ KV คือ เป้าหมายของการจัดการความรู้ ผู้ใช้ต้องรู้ว่าจะจัดการความรู้เพื่อบรรลุเป้าหมายอะไร เกี่ยวข้องหรือสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ พันธกิจและยุทธศาสตร์ขององค์กรอย่างไร เช่น จัดการความรู้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานจัดการความรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตด้านยาเสพติด จัดการความรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตด้านสิ่งแวดล้อม จัดการความรู้เพื่อพัฒนาทักษะชีวิตด้านชีวิตและทรัพย์สิน จัดการความรู้เพื่อฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีดั้งเดิมของคนในชุมชน เป็นต้น
ส่วนที่ 2 “ตัวปลา” หมายถึง “Knowledge Sharing” หรือ KS เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้หรือการแบ่งปันความรู้ที่ฝังลึกในตัวคนผู้ปฏิบัติ เป็นการแลกเปลี่ยนวิธีการทำงานที่ประสบผลสำเร็จไม่เน้นที่ปัญหา เครื่องมือในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้มีหลากหลายแบบ อาทิ การเล่าเรื่อง การสนทนาเชิงลึก การชื่นชมหรือการสนทนาในเชิงบวก เพื่อนช่วย เพื่อน การทบทวนการปฏิบัติงาน การถอดบทเรียน การถอดองค์ความรู้
ส่วนที่ 3 “หางปลา” หมายถึง “Knowledge Assets” หรือ KA เป็นขุมความรู้ที่ได้จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มีเครื่องมือในการจัดเก็บความรู้ที่มีชีวิตไม่หยุดนิ่ง คือ นอกจากจัดเก็บความรู้แล้วยังง่ายในการนำความรู้ออกมาใช้จริง ง่ายในการนำความรู้ออกมาต่อยอด และง่ายในการปรับข้อมูลไม่ให้ล้าสมัย ส่วนนี้จึงไม่ใช่ส่วนที่มีหน้าที่เก็บข้อมูลไว้เฉย ๆ ไม่ใช่ห้องสมุดสำหรับเก็บสะสมข้อมูลที่นำไปใช้จริงได้ยาก ดังนั้น เทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ จึงเป็นเครื่องมือจัดเก็บความรู้อันทรงพลังยิ่งในกระบวนการจัดการความรู้
จากโมเดล “ปลาทู” ตัวเดียวมาสู่โมเดล “ปลาตะเพียน” ที่เป็นฝูง โดยเปรียบ แม่ปลา “ปลาตัวใหญ่” ได้กับวิสัยทัศน์ พันธกิจ ขององค์กรใหญ่ ในขณะที่ปลาตัวเล็ก หลาย ๆ ตัว เปรียบได้กับเป้าหมายของการจัดการความรู้ที่ต้องไปตอบสนองเป้าหมายใหญ่ขององค์กร จึงเป็นปลาทั้งฝูงเหมือน “โมบายปลาตะเพียน” ของเล่นเด็กไทยสมัยโบราณที่ผู้ใหญ่สานเอาไว้แขวนเหนือเปลเด็ก เป็นฝูงปลาที่หันหน้าไปในทิศทางเดียวกัน และมีความเพียรพยายามที่จะว่ายไปในกระแสน้ำที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ปลาใหญ่ อาจเปรียบเหมือนการพัฒนาอาชีพ ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในชุมชน ซึ่งการพัฒนาอาชีพดังกล่าวต้องมีการแก้ปัญหาและพัฒนาร่วมกันไปทั้งระบบ เกิดกลุ่มต่าง ๆ ขึ้นในชุมชน เพื่อการเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งการทำบัญชีครัวเรือน การทำเกษตรอินทรีย์ การทำปุ๋ยหมัก การเลี้ยงปลา การเลี้ยงกบ การแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อใช้ ในครอบครัวหรือจำหน่ายเพื่อเพิ่มรายได้ เป็นต้น เหล่านี้ถือเป็นปลาตัวเล็ก หากการแก้ปัญหาที่ปลาตัวเล็กประสบผลสำเร็จ จะส่งผลให้ปลาตัวใหญ่หรือเป้าหมายในระดับชุมชนประสบผลสำเร็จด้วยเช่นกัน นั่นคือ ปลาว่ายไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน
ที่สำคัญ ปลาแต่ละตัวไม่จำเป็นต้องมีรูปร่างและขนาดเหมือนกัน เพราะการจัดการ ความรู้ของแต่ละเรื่อง มีสภาพของความยากง่ายในการแก้ปัญหาที่แตกต่างกัน รูปแบบของการจัดการความรู้ของแต่ละหน่วยย่อย จึงสามารถสร้างสรรค์ปรับให้เข้ากับแต่ละที่ได้อย่าง เหมาะสม ปลาบางตัวอาจมีท้องใหญ่ เพราะอาจมีส่วนของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้มาก บางตัวอาจเป็นปลาที่หางใหญ่เด่นในเรื่องของการจัดระบบคลังความรู้เพื่อใช้ในการปฏิบัติมาก แต่ทุกตัวต้องมีหัวและตาที่มองเห็นเป้าหมายที่จะไปอย่างชัดเจน
การจัดการความรู้ได้ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ที่เกิดจากการปฏิบัติจริง เป็นการเรียนรู้ในทุกขั้นตอนของการทำงาน เช่น ก่อนเริ่มงานจะต้องมีการศึกษาทำความเข้าใจในสิ่งที่กำลังจะทำ จะเป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองหรืออาศัยความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงาน มีการศึกษาวิธีการและเทคนิคต่าง ๆ ที่ใช้ได้ผล พร้อมทั้งค้นหาเหตุผลด้วยว่าเป็นเพราะอะไร และจะสามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้นั้นมาใช้งานที่กำลังจะทำนี้ได้อย่างไร ในระหว่างที่ทำงานอยู่เช่นกันจะต้องมีการทบทวนการทำงานอยู่ตลอดเวลา เรียกได้ว่าเป็นการเรียนรู้ที่ได้จากการทบทวนกิจกรรมย่อยในทุก ๆ ขั้นตอน หมั่นตรวจสอบอยู่เสมอว่าจุดมุ่งหมายของงานที่ทำอยู่นี้คืออะไรกำลังเดินไปถูกทางหรือไม่เพราะเหตุใด ปัญหาคืออะไร จะต้องทำอะไรให้แตกต่างไปจากเดิมหรือไม่ และนอกจากนั้น เมื่อเสร็จสิ้นการทำงานหรือเมื่อจบโครงการ ก็จะต้องมีการทบทวนสิ่งต่าง ๆ ที่ได้มาแล้วว่ามีอะไรบ้างที่ทำได้ดี มีอะไรบ้างที่ต้องปรับปรุงแก้ไขหรือรับไว้เป็นบทเรียน ซึ่งการเรียนรู้ตามรูปแบบปลาทูนี้ถือเป็นหัวใจสำคัญของกระบวนการเรียนรู้ที่เป็นวงจรอยู่ส่วนกลางของรูปแบบการจัดการความรู้นั่นเอง
กระบวนการจัดการความรู้ เป็นกระบวนการแบบหนึ่งที่จะช่วยให้องค์กรเข้าถึง ขั้นตอนที่ทำให้เกิดการจัดการความรู้ หรือพัฒนาการของความรู้ที่จะเกิดขึ้นภายในองค์กร มีขั้นตอน 7 ขั้นตอน ดังนี้
1. การบ่งชี้ความรู้ เป็นการพิจารณาว่า เป้าหมายการทำงานของเราคืออะไร และ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายเราจำต้องรู้อะไร ขณะนี้เรามีความรู้อะไร อยู่ในรูปแบบใด อยู่กับใคร
2. การสร้างและแสวงหาความรู้ เป็นการจัดบรรยากาศและวัฒนธรรมการทำงานของคนในองค์กรเพื่อเอื้อให้คนมีความกระตือรือร้นในการแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน ซึ่ง จะก่อให้เกิดการสร้างความรู้ใหม่ เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
3. การจัดการความรู้ให้เป็นระบบ เป็นการจัดทำสารบัญและจัดเก็บความรู้ประเภท ต่าง ๆ เพื่อให้การเก็บรวบรวมและการค้นหาความรู้ นำมาใช้ได้ง่ายและรวดเร็ว
4. การประมวลและกลั่นกรองความรู้ เป็นการประมวลความรู้ให้อยู่ในรูปเอกสาร หรือรูปแบบอื่น ๆ ที่มีมาตรฐาน ปรับปรุงเนื้อหาให้สมบูรณ์ ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย และใช้ได้ง่าย
5. การเข้าถึงความรู้ เป็นการเผยแพร่ความรู้เพื่อให้ผู้อื่นได้ใช้ประโยชน์ เข้าถึงความรู้ได้ง่ายและสะดวก เช่น ใช้เทคโนโลยี เว็บบอร์ด หรือบอร์ดประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
6. การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ทำได้หลายวิธีการ หากเป็นความรู้เด่นชัด อาจจัดทำเป็นเอกสารฐานความรู้ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หากเป็นความรู้ที่ฝังลึกที่อยู่ในตัวคนอาจจัดทำเป็นระบบแลกเปลี่ยนความรู้เป็นทีมข้ามสายงานชุมชนแห่งการเรียนรู้ พี่เลี้ยงสอนงาน การสับเปลี่ยนงาน การยืมตัว เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เป็นต้น
7. การเรียนรู้ การเรียนรู้ของบุคคลจะทำให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย ซึ่งจะไปเพิ่มพูนองค์ความรู้ขององค์กรที่มีอยู่แล้วให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ความรู้เหล่านี้จะถูกนำไปใช้เพื่อสร้างความรู้ใหม่ ๆ เป็นวงจรที่ไม่สิ้นสุด เรียกว่าเป็น “วงจรแห่งการเรียนรู้”
1. การบ่งชี้ความรู้
หมู่บ้านทุ่งรวงทองเป็นหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ในอำเภอจุน จังหวัดพะเยา จากการที่หน่วยงานต่าง ๆ ได้ไปส่งเสริมให้เกิดกลุ่มต่าง ๆ ขึ้นในชุมชน และเห็นความสำคัญของการ รวมตัวกันเพื่อเกื้อกูลคนในชุมชนให้มีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน จึงมีเป้าหมายจะพัฒนา หมู่บ้านให้เป็นวิสาหกิจชุมชน จึงต้องมีการบ่งชี้ความรู้ที่จำเป็นที่จะพัฒนาหมู่บ้านให้เป็น วิสาหกิจชุมชน นั่นคือหาข้อมูลชุมชนในประเทศไทยที่มีลักษณะเป็นวิสาหกิจชุมชน และเมื่อศึกษาข้อมูลแล้วทำให้รู้ว่าความรู้เรื่องวิสาหกิจชุมชนอยู่ที่ไหน นั่นคืออยู่ที่เจ้าหน้าที่หน่วยงาน ราชการที่มาส่งเสริม และอยู่ในชุมชนที่มีการทำวิสาหกิจชุมชนแล้วประสบผลสำเร็จ
2. การสร้างและแสวงหาความรู้
จากการศึกษาข้อมูลแล้วว่า หมู่บ้านที่ทำเรื่องวิสาหกิจชุมชนประสบผลสำเร็จอยู่ที่ไหน ได้ประสานหน่วยงานราชการ และจัดทำเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อเตรียมการในการไปศึกษาดูงาน เมื่อไปศึกษาดูงานได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทำให้ได้รับความรู้เพิ่มมากขึ้น เข้าใจรูปแบบกระบวนการของการทำวิสาหกิจชุมชน และแยกกันเรียนรู้เฉพาะกลุ่ม เพื่อนำความรู้ที่ได้รับมาปรับใช้ในการทำวิสาหกิจชุมชนในหมู่บ้านของตนเอง เมื่อกลับมาแล้วมีการทำเวทีหลายครั้งทั้งเวทีใหญ่ที่คนทั้งหมู่บ้านและหน่วยงานหลายหน่วยงานมาให้คำปรึกษาชุมชนร่วมกันคิดวางแผน และตัดสินใจ รวมทั้งมีเวทีย่อยเฉพาะกลุ่มจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านเวทีชาวบ้านหลายครั้ง ทำให้ชุมชนเกิดการพัฒนาในหลายด้าน เช่นความสัมพันธ์ของคนในชุมชน การมีส่วนร่วม ทั้งร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมดำเนินการ ร่วมประเมินผล และร่วมรับผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในชุมชน
3. การจัดการความรู้ให้เป็นระบบ
การทำหมู่บ้านให้เป็นวิสาหกิจชุมชนเป็นความรู้ใหม่ของคนในชุมชนชาวบ้านได้เรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเป็นทางการและไม่เป็นทางการ โดยมีส่วนราชการและองค์กรเอกชนต่าง ๆ ร่วมกันหนุนเสริมการทำงานอย่างบูรณาการ และจากการถอดบทเรียนหลายครั้ง ชาวบ้านมีความรู้เพิ่มมากขึ้น และบันทึกความรู้อย่างเป็นระบบนั่นคือ มีความรู้เฉพาะกลุ่ม ส่วนใหญ่จะบันทึกในรูปเอกสารและมีการทำวิจัยจากบุคคลภายนอก
4. การประมวลและกลั่นกรองความรู้
มีการจัดทำข้อมูล ซึ่งมาจากการถอดบทเรียน และการจัดทำเป็นเอกสารเผยแพร่เฉพาะกลุ่ม เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับนักศึกษา กศน. และนักเรียนในระบบโรงเรียน รวมทั้งมีการนำข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อจัดทำเป็นหลักสูตรท้องถิ่นของ กศน.อำเภอจุนด้วย
5. การเข้าถึงความรู้
นอกจากการมีข้อมูลในชุมชนแล้ว หน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะองค์การบริหารส่วนตำบล ได้จัดทำข้อมูลเพื่อให้คนเข้าถึงความรู้ได้ง่าย ได้นำข้อมูลใส่ไว้ในอินเทอร์เน็ต และ ในแต่ละตำบลจะมีอินเทอร์เน็ตตำบลให้บริการ ทำให้คนภายนอกเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย และมี การเข้าถึงความรู้จากการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน จากการมาศึกษาดูงานของคนภายนอก
6. การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้
ในการดำเนินงานกลุ่มชุมชน ได้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในหลายรูปแบบ ทั้งการไปศึกษาดูงาน การศึกษาเป็นการส่วนตัว การรวมกลุ่มในลักษณะชุมชนนักปฏิบัติ (CoP) ที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการทำให้กลุ่มได้รับความรู้มากขึ้น และบางกลุ่มเจอปัญหาอุปสรรคโดยเฉพาะเรื่องการบริหารจัดการกลุ่มทำให้กลุ่มต้องมาทบทวนร่วมกันใหม่ สร้างความเข้าใจร่วมกันและเรียนรู้เรื่องการบริหารจัดการจากกลุ่มอื่นเพิ่มเติมทำให้กลุ่มสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ล่มสลาย
7. การเรียนรู้
กลุ่มได้เรียนรู้หลายอย่างจากการดำเนินการวิสาหกิจชุมชน การที่กลุ่มมีการพัฒนาขึ้น นั่นแสดงว่ากลุ่มมีความรู้มากขึ้นจากการลงมือปฏิบัติและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันการพัฒนานอกจากความรู้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการยกระดับความรู้ของคนในชุมชนแล้ว ยังเป็นการพัฒนาความคิดของคนในชุมชนด้วย ชุมชนมีความคิดที่เปลี่ยนไปจากเดิม มีการทำกิจกรรม เพื่อเรียนรู้ร่วมกันบ่อยขึ้น มีความคิดในการพึ่งพาตนเอง และเกิดกลุ่มต่าง ๆ ขึ้นในชุมชน โดยการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน
ให้นักศึกษาตอบคำถามด้านล่าง มาพอเข้าใจ และส่งไฟล์คำตอบมาที่อีเมล์ thanet111@hotmail.com หรือทางไลน์กลุ่ม ทักษะการเรียนรู้ ม.ต้น
กิจกรรมที่ 1 รูปแบบของการจัดการความรู้มีอะไรบ้าง และมีลักษณะอย่างไร จงอธิบาย
กิจกรรมที่ 2 กระบวนการจัดการความรู้มีกี่ขั้นตอน อะไรบ้าง จงอธิบายมาพอเข้าใจ
กิจกรรมที่ 3 ให้ท่านยกตัวอย่างกลุ่มหรือชุมชนที่มีการจัดการความรู้ประสบผลสำเร็จ และอธิบายด้วยว่าสำเร็จอย่างไร เพราะอะไร
ในการจัดการความรู้ด้วยวิธีการรวมกลุ่มปฏิบัติการเพื่อต่อยอดความรู้ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อดึงความรู้ที่ฝังลึกในตัวบุคคลออกมาแล้วสกัดเป็นขุมความรู้ หรือองค์ความรู้เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานนั้น จะต้องมีบุคคลที่ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ในบรรยากาศของการมีใจในการแบ่งปันความรู้ รวมทั้งผู้ที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้คนอยากที่จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน บุคคลที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้ มีดังต่อไปนี้
“คุณเอื้อ” ชื่อเต็มคือ “คุณเอื้อระบบ” เป็นผู้นำระดับสูงขององค์กรหน้าที่สำคัญ คือ 1) ทำให้การจัดการความรู้ เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติงานตามปกติขององค์กร 2) เปิดโอกาสให้ทุกคนในองค์กรเป็น “ผู้นำ” ในการพัฒนาวิธีการทำงานที่ตนรับผิดชอบ และนำประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อนร่วมงาน สร้างวัฒนธรรมการเอื้ออาทรและแบ่งปันความรู้ และ 3) หากุศโลบายทำให้ความสำเร็จของการใช้เครื่องมือการจัดการความรู้มีการนำไปใช้มากขึ้น
“คุณอำนวย” หรือผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการความรู้ เป็นผู้กระตุ้นส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และอำนวยความสะดวกต่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นำคนมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานร่วมกัน ช่วยให้คนเหล่านั้นสื่อสารกันให้เกิดความเข้าใจ เห็นความสามารถของกันและกันเป็นผู้เชื่อมโยงคนหรือหน่วยงานเข้ามาหากันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื่อมระหว่างคนที่มีความรู้หรือประสบการณ์กับผู้ต้องการเรียนรู้และนำความรู้นั้นไปใช้ประโยชน์ คุณอำนวยต้องมีทักษะที่สำคัญคือทักษะการสื่อสารกับคนที่แตกต่างหลากหลาย รวมทั้งต้องเห็นคุณค่าของความแตกต่างหลากหลายและรู้จักประสานความแตกต่าง เหล่านั้นให้มีคุณค่าในทางปฏิบัติ ผลักดันให้เกิดการพัฒนางาน และติดตามประเมินผลการ ดำเนินงานค้นหาความสำเร็จ หรือการเปลี่ยนแปลงที่ต้องการ
“คุณกิจ” คือ เจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานคนทำงานที่รับผิดชอบงานตามหน้าที่ของตนในองค์กรถือเป็นผู้จัดการความรู้ตัวจริงเพราะเป็นผู้ดำเนินกิจกรรมการจัดการความรู้มีประมาณร้อยละ 90 ของทั้งหมดเป็นผู้ร่วมกันกำหนดเป้าหมายการใช้การจัดการความรู้ของกลุ่มตน เป็นผู้ค้นหาและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในกลุ่ม และดำเนินการเสาะหาและดูดซับความรู้จากภายนอกเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้บรรลุเป้าหมายร่วมที่กำหนดไว้เป็นผู้ดำเนินการจดบันทึกและจัดเก็บความรู้ให้หมุนเวียนต่อยอดความรู้ไป
“คุณลิขิต” คือ คนที่ทำหน้าที่จดบันทึกกิจกรรมจัดการความรู้ต่าง ๆ เพื่อจัดทำเป็นคลังความรู้ขององค์กร
ในการจัดการความรู้ที่อยู่ในคนโดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน จากการเล่าเรื่องสู่กันฟัง บุคคลที่ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการรวมตัวกันเพื่อเล่าเรื่องคือผู้นำสูงสุด หรือที่เรียกว่า “คุณเอื้อ” เมื่อรวมตัวกันแล้วแต่ละคนได้เล่าเรื่องที่ประสบผลสำเร็จจากการปฏิบัติของตนเอง ออกมาให้เพื่อนฟัง คนที่เล่าเรื่องแต่ละเรื่องนั้นเรียกว่า “คุณกิจ” และในระหว่งที่เล่าจะมีการซักถามความรู้ เพื่อให้เห็นแนวทางของการปฏิบัติ เทคนิค เคล็ดลับในการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ ผู้ที่ทำหน้าที่เรียกว่า “คุณอำนวย” และในขณะที่เล่าเรื่องจะมีผู้คอยจดบันทึก โดยเฉพาะเคล็ดลับ วิธีการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ นั่นคือ “คุณลิขิต” ซึ่งก็หมายถึงคนที่คอยจดบันทึกนั่นเอง เมื่อทุกคนเล่าจบได้ฟังเรื่องราววิธีการทำงานให้ประสบ ผลสำเร็จแล้ว ทุกคนช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้จากการสรุปนี้ เรียกว่า “แก่นความรู้” นั่นเอง
การจัดการความรู้ หัวใจสำคัญคือการจัดการความรู้ที่อยู่ในตัวคน เครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการจัดการความรู้เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จึงมีหลากหลายรูปแบบ ดังนี้
1. การประชุม (สัมมนา ปฏิบัติการ) ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน หน่วยงานองค์กรต่าง ๆ มีการใช้เครื่องมือการจัดการความรู้ในรูปแบบนี้กันมาก โดยเฉพาะหน่วยงานราชการ
2. การไปศึกษาดูงาน นั่นคือ แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการไปศึกษาดูงาน มีการซักถาม หรือจัดทำเวทีแสดงความคิดเห็นในระหว่างไปศึกษาดูงาน ก็ถือเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ร่วมกัน คือ ความรู้ย้ายจากคนไปสู่คน
3. การเล่าเรื่อง (storytelling) เป็นการรวมกลุ่มกันของผู้ปฏิบัติงานที่มีลักษณะคล้ายกัน ประมาณ 8 - 10 คน แลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยการเล่าเรื่องสู่กันฟัง การเล่าเรื่องผู้ฟัง จะต้องนั่งฟังอย่างมีสมาธิ หรือฟังอย่างลึกซึ้ง จะทำให้เข้าใจในบริบทหรือสภาพความเป็นไปของเรื่องที่เล่า เมื่อแต่ละคนเล่าจบจะมีการสกัดความรู้ที่เป็นเทคนิค วิธีการที่ทำให้งานประสบผลสำเร็จออกมา งานที่ทำจนประสบผลสำเร็จเรียกว่า best practice หรือการปฏิบัติงานที่เลิศ ซึ่งแต่ละคนอาจมีวิธีการที่แตกต่างกัน ความรู้ที่ได้ถือเป็นการยกระดับความรู้ให้กับ คนที่ยังไม่เคยปฏิบัติ และสามารถนำความรู้ที่ได้รับประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนางานของตนเองได้
4. ชุมชนนักปฏิบัติ (Community of Practice : CoPs) เป็นการรวมตัวกันของคนที่สนใจเรื่องเดียวกัน รวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนทั้งเป็นทางการ ผ่านการสื่อสารหลาย ๆ ช่องทาง อาจรวมตัวกันในลักษณะของการประชุม สัมมนา และแลกเปลี่ยนความรู้กัน หรือการ รวมตัวในรูปแบบอื่น เช่น การตั้งเป็นชมรม หรือใช้เทคโนโลยีในการแลกเปลี่ยนความรู้กันในลักษณะของเว็บบล็อก ซึ่งสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้ทุกที่ ทุกเวลา และประหยัดค่าใช้จ่ายอีกด้วย การแลกเปลี่ยนเรียนรู้จะทำให้เกิดการพัฒนาความรู้ และต่อยอดความรู้
5. การสอนงาน หมายถึง การถ่ายทอดความรู้หรือบอกวิธีการทำงาน การช่วยเหลือให้คำแนะนำ ให้กำลังใจแก่เพื่อนร่วมงาน รวมทั้งการสร้างบรรยากาศเพื่อถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้จากคนที่รู้มาก ไปสู่คนที่รู้น้อยในเรื่องนั้น ๆ
6. เพื่อนช่วยเพื่อน (Peer Assist) หมายถึง การเชิญทีมอื่นมาแบ่งปันประสบการณ์ดี ๆ ที่เรียกว่า best practice ให้เรามาแนะนำ มาสอน มาบอกต่อ หรือมาเล่าให้เราฟัง เพื่อเราจะได้นำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรของเราได้ และเปรียบเทียบเป็นระยะ เพื่อยกระดับความรู้และพัฒนางานให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
7. การทบทวนก่อนการปฏิบัติงาน (Before Aciton Review : BAR) เป็นการทบทวนการทำงานก่อนการปฏิบัติงาน เพื่อดูความพร้อมก่อนเริ่มการอบรม ให้ความรู้ หรือทำกิจกรรมอื่น ๆ โดยการเชิญคณะทำงานมาประชุมเพื่อตรวจสอบความพร้อมแต่ละฝ่ายนำเสนอถึงความพร้อมของตนเองตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับการทบทวนก่อนการปฏิบัติงาน จึงเป็นการป้องกันความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้นก่อนการทำงานนั่นเอง
8. การทบทวนขณะปฏิบัติงาน (During Action Review : DAR) เป็นการทบทวนในระหว่างที่ทำงาน หรือจัดอบรม โดยการสังเกตและนำผลจากการสังเกตมาปรึกษาหารือ และแก้ปัญหาในขณะทำงานร่วมกัน ทำให้ลดปัญหาหรืออุปสรรคในระหว่างการทำงานได้
9. การทบทวนหลังการปฏิบัติงาน (After Action Review : AAR) เป็นการติดตาม ผลหรือทบทวนการทำงานของผู้เข้าร่วมกิจกรรม หรือคณะทำงานหลังเลิกกิจกรรมแล้ว โดยการนั่งทบทวนสิ่งที่ได้ปฏิบัติไปร่วมกัน ผ่านการเขียนและการพูด ด้วยการตอบคำถามง่าย ๆ ว่า คาดหวังอะไรจากการทำกิจกรรมนี้ได้ตามที่คาดหวังหรือไม่ได้เพราะอะไรและจะทำอย่างไรต่อไป
10. การจัดทำดัชนีผู้รู้ คือการรวบรวมผู้ที่เชี่ยวชาญเก่งเฉพาะเรื่อง หรือภูมิปัญญามารวบรวมจัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบ ทั้งรูปแบบที่เป็นเอกสาร สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้คนได้เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้ง่ายและนำไปสู่กิจกรรมการแลกเปลี่ยนรู้ต่อไป
เครื่องมือในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้นี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเครื่องมืออีกหลายชนิดที่นำไปใช้ในการจัดการความรู้ เครื่องมือที่มีผู้นำมาใช้มากในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในระดับตนเองและระดับกลุ่ม คือ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้โดยเทคนิคการเล่าเรื่อง การเล่าเรื่องเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากวิธีการทำงานของคนอื่นที่ประสบผลสำเร็จ หรือที่เรียกว่า Best practice เป็นการเรียนรู้ทางลัด นั่นคือเอาเทคนิควิธีการทำงานที่คนอื่นทำแล้วประสบผลสำเร็จมาเป็นบทเรียน และนำวิธีการนั้นมาประยุกต์ใช้กับตนเอง เกิดวิธีการปฏิบัติใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิม เป็นวงจรเรื่อยไปไม่สิ้นสุด การแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการเล่าเรื่องมีลักษณะ ดังนี้
การเล่าเรื่อง หรือ Storytelling เป็นเครื่องมืออย่างง่ายในการจัดการความรู้ ซึ่งมีวิธีการไม่ยุ่งยากซับซ้อน สามารถใช้ได้กับทุกกลุ่มเป้าหมายเป็นการเล่าประสบการณ์ในการทำงานของแต่ละคนว่ามีวิธีการทำอย่างไรจึงจะประสบผลสำเร็จ
กิจกรรมเล่าเรื่อง ต้องทำอะไรบ้าง
กิจกรรมจัดการความรู้ โดยใช้เทคนิคการเล่าเรื่อง ประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้
1. ให้คุณกิจ (สมาชิกทุกคน) เขียนเรื่องเล่าประสบการณ์ความสำเร็จในการทำงาน ของตนเอง เพื่อให้ความรู้ฝังลึกในตัว (Tacit Knowledge) ปรากฏออกมาเป็นความรู้ชัดแจ้ง (Expicit Knowledge)
2. เล่าเรื่องความสำเร็จของตนเอง ให้สมาชิกในกลุ่มย่อยฟัง
3. คุณกิจ (สมาชิก) ในกลุ่มช่วยกันสกัดขุมความรู้จากเรื่องเล่า เขียนบนกระดาษฟลิปชาร์ต
4. ช่วยกันสรุปขุมความรู้ที่สกัดได้จากเรื่อง ซึ่งมีจำนวนหลายข้อให้กลายเป็นแก่น ความรู้ ซึ่งเป็นหัวใจที่ทำให้งานประสบผลสำเร็จ
5. ให้แต่ละกลุ่ม คัดเลือกเรื่องเล่าที่ดีที่สุด เพื่อนำเสนอในที่ประชุมใหญ่
6. รวมเรื่องเล่าของทุกคน จัดทำเป็นเอกสารคลังความรู้ขององค์กร หรือเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ เพื่อแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ และนำมาใช้ประโยชน์ในการทำงาน
ชุมชนนักปฏิบัติหรือชุมชนแห่งการเรียนรู้ (CoPs)
ในชุมชนมีปัญหาซับซ้อนที่คนในชุมชนต้องร่วมกันแก้ไข การจัดการความรู้จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความร่วมมือ และให้ข้อเสนอแนะในเชิงสร้างสรรค์ การรวมกลุ่มเพื่อแก้ปัญหา หรือร่วมมือกันพัฒนาโดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เรียกว่า “ชุมชนนักปฏิบัติ” บุคคลในกลุ่มจึงต้องมีเจตคติที่ดีในการแบ่งปันความรู้ นำความรู้ที่มีอยู่มาพัฒนากลุ่มจากการลงมือปฏิบัติ และเคารพในความคิดเห็นของผู้อื่น
ชุมชนนักปฏิบัติคืออะไร
ชุมชนนักปฏิบัติ คือ คนกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งทำงานด้วยกันมาระยะหนึ่งมีเป้าหมายร่วมกัน และต้องการที่จะแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ประสบการณ์จากการทำงานร่วมกัน กลุ่มดังกล่าวมักจะไม่ได้เกิดจากการจัดตั้งโดยองค์กร หรือชุมชนเป็นกลุ่มที่เกิดจากความต้องการแก้ปัญหา พัฒนาตนเองเป็นความพยายามที่จะทำให้ความฝันของตนเองบรรลุผลสำเร็จ กลุ่มที่เกิดขึ้นไม่มีอำนาจใด ๆ ไม่มีการกำหนดไว้ในแผนภูมิโครงสร้างองค์กร ชุมชน เป้าหมายของการเรียนรู้ของคนมีหลายอย่าง ดังนั้นชุมชนนักปฏิบัติจึงมิได้มีเพียงกลุ่มเดียว แต่เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้อยู่ที่ประเด็นเนื้อหาที่ต้องการจะเรียนรู้ร่วมกันนั่นเอง และคนคนหนึ่งอาจจะเป็นสมาชิกในหลายชุมชนก็ได้
ชุมชนนักปฏิบัติมีความสำคัญอย่างไร
ชุมชนนักปฏิบัติเกิดจากกลุ่มคนที่มีเครือข่ายความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการมารวมตัวกัน เกิดจากความใกล้ชิด ความพอใจจากการมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน การรวมตัวกันในลักษณะที่ไม่เป็นทางการจะเอื้อต่อการเรียนรู้ และการสร้างความรู้ใหม่ ๆ มากกว่าการรวมตัวกันอย่าง เป็นทางการ มีจุดเน้น คือต้องการเรียนรู้ร่วมกันจากประสบการณ์การทำงานเป็นหลักการทำงานในเชิงปฏิบัติ หรือจากปัญหาในชีวิตประจำวัน หรือเรียนรู้เครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อนำมา ใช้ในการพัฒนางาน หรือวิธีการทำงานที่ได้ผลและไม่ได้ผลการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทำให้เกิดการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้ฝังลึก สร้างความรู้และความเข้าใจได้มากกว่าการเรียนรู้จากหนังสือ หรือการฝึกอบรมตามปกติ เครือข่ายที่ไม่เป็นทางการในเวทีชุมชนนักปฏิบัติซึ่งมีสมาชิกจากต่างหน่วยงาน ต่างชุมชน จะช่วยให้องค์กรหรือชุมชนประสบความสำเร็จได้ดีกว่าการสื่อสารตามโครงการที่เป็นทางการ
ชุมชนนักปฏิบัติเกิดขึ้นได้อย่างไร
การรวมกลุ่มปฏิบัติการ หรือการก่อตัวขึ้นเป็นชุมชนนักปฏิบัติได้ล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคน คนต้องมี 3 สิ่งต่อไปนี้เป็นเบื้องต้น คือ
1. ต้องมีเวลา คือ เวลาที่จะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ มาร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ปัญหา ช่วยกันพัฒนางาน หรือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้น หากคนที่มารวมกลุ่มไม่มีเวลาหรือไม่จัดสรรเวลาไว้เพื่อการนี้ ก็ไม่มีทางที่จะรวมกลุ่มปฏิบัติการได้
2. ต้องมีเวทีหรือพื้นที่ การมีเวทีหรือพื้นที่คือการจัดหาหรือกำหนดสถานที่ที่จะใช้ในการพบกลุ่ม การชุมชน พบปะพูดคุยสนทนาแลกเปลี่ยนความคิด แลกเปลี่ยนประสบการณ์ตามที่กลุ่มได้ช่วยกันกำหนดขึ้น เวทีดังกล่าวนี้อาจมีหลายรูปแบบ เช่น การจัดประชุม การจัดสัมมนา การจัดเวทีประชาคมเวทีข้างบ้าน การจัดเป็นมุมกาแฟ มุมอ่านหนังสือ เป็นต้น
การจัดให้มีเวทีหรือพื้นที่ดังกล่าว เป็นการทำให้คนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในบรรยากาศสบาย ๆ เปิดโอกาสให้คนที่สนใจเรื่องคล้าย ๆ กัน หรือคนที่ทำงานด้านเดียวกันมีโอกาสจับกลุ่มปรึกษาหารือกันได้โดยสะดวก ตามความสมัครใจในภาษาอังกฤษเรียกการ ชุมนุมลักษณะนี้ว่า“Community of Practices” หรือเรียกย่อว่า CoPs ในภาษาไทยเรียก “ชุมชนนักปฏิบัติ”
ชุมชนนักปฏิบัติเป็นคำที่ใช้กันโดยทั่วไป และมีคำอื่น ๆ ที่มีความหมายเดียวกันนี้ เช่น ชุมชนแห่งการเรียนรู้ ชุมชนปฏิบัติการ หรือเรียกคำย่อในภาษาอังกฤษว่า CoPs ก็เป็นที่เข้าใจกัน
3. ต้องมีไมตรี คนต้องมีไมตรีต่อกันเมื่อมาพบปะกัน การมีไมตรีเป็นเรื่องของใจ การมีน้ำใจต่อกัน มีใจให้กันและกัน เป็นใจที่เปิดกว้างรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น พร้อมรับสิ่งใหม่ ๆ ไม่ติดยึดอยู่กับสิ่งเดิม ๆ มีความเอื้ออาทร พร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
การรวมกลุ่มปฏิบัติการ จะดำเนินไปได้ด้วยดี บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้จะต้องมีเวลา เวที ไมตรี เป็นองค์ประกอบที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่เปิดกว้าง และเอื้ออำนวยต่อการแสดงความคิดเห็นที่หลากหลายในกลุ่ม จะทำให้ได้มุมมองที่กว้างขวางยิ่งขึ้น
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านเวทีชุมชนนักปฏิบัติมีหลากหลายรูปแบบ เช่น การมารวม กลุ่มกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การประชุม การสัมมนา การจัดเวทีประชาคม เวทีข้างบ้าน การจัดเป็นมุมกาแฟ มุมอ่านหนังสือ แต่ในปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีมาใช้ในการสื่อสาร ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันผ่านทางอินเทอร์เน็ต ดังนั้นรูปแบบของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่เรียกว่า “เวทีชุมชนนักปฏิบัติ” จึงมี 2 รูปแบบ ดังนี้
1. เวทีจริง เป็นการรวมตัวกันเป็นกลุ่มหรือชุมชน และมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันด้วยการเห็นหน้ากัน พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ แต่การแลกเปลี่ยนในลักษณะนี้จะมีข้อจำกัดในเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาพบกัน แต่สามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันได้ในเชิงลึก
2. เวทีเสมือน เป็นการรวมตัวกันเชื่อมเป็นเครือข่าย เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้อินเทอร์เน็ตในการสื่อสารหรือค้นคว้าหาข้อมูลกันอย่างแพร่หลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในลักษณะนี้เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้แบบไม่เป็นทางการ มีปฏิสัมพันธ์กันผ่านทางออนไลน์ จะเห็นหน้ากันหรือไม่เห็นหน้ากันก็ได้ และจะมีความรู้สึกเหมือนอยู่ใกล้กัน จึงเรียกว่า “เวทีเสมือน” นั่นคือ เสมือนอยู่ใกล้กันนั่นเอง การแลกเปลี่ยนเรียนรู้จะใช้วิธีการบันทึกผ่านเว็บบล็อก ซึ่งเหมือนสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่อยู่ในอินเทอร์เน็ต สามารถบันทึกเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และส่งข้อมูลหากันได้ทุกที่ทุกเวลา และประหยัดค่าใช้จ่ายเนื่องจากไม่ต้องเดินทางมาพบกัน
ชุมชนแห่งการเรียนรู้ คือ การที่คนในชุมชนเข้าร่วมในกระบวนการเรียนรู้ พร้อมที่จะเป็นผู้ให้ความรู้และรับความรู้จากการแบ่งปันความรู้ทั้งในตนเองและความรู้ในเอกสารให้แก่กันและกัน ชุมชนแห่งการเรียนรู้จึงมีทั้งระบบบุคคลและระดับกลุ่ม เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายเพื่อเรียนรู้ร่วมกัน
การส่งเสริมให้ชุมชนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้จึงต้องเริ่มที่ตัวบุคคล เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจ สร้างความตระหนักให้กับคนในชุมชนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ เห็นความสำคัญของการมีนิสัยใฝ่เรียนรู้ ส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้จากกิจกรรมที่รัฐบาลหรือองค์กร ชุมชนจัดให้จากการพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ จนเกิดเป็นความเคยชินและเห็นประโยชน์จากความรู้ที่ได้รับเพิ่มขึ้น
การสร้างนิสัยใฝ่เรียนรู้ของบุคคล คือ การให้ประชาชนในชุมชนได้รับบริการต่าง ๆ ที่สนใจอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ กระตุ้นให้เกิดความอยากรู้อยากเห็นเป็นอันดับแรก เกิดความ ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาหาความรู้ เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เป็นผู้นำในการพัฒนาด้านต่าง ๆ ทั้งการเรียนรู้จากหนังสือ เรียนรู้เพื่อพัฒนาอาชีพและการพัฒนาคุณภาพชีวิต
ดังนั้น บุคคลถือเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนหรือสังคม การส่งเสริมให้บุคคลเป็นผู้ใฝ่เรียนรู้ ย่อมส่งผลให้ชุมชนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ด้วย การส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างสม่ำเสมอ ทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการ จะทำให้เกิดการหมุนเกลียวของความรู้ หากบุคคลในชุมชนเกิดความคุ้นเคยและเห็นความสำคัญของการเรียนรู้อยู่เสมอ จะเป็นก้าวต่อไปของการพัฒนาชุมชนและสังคมให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้
1. มีเวทีชุมชนแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหลายประเด็น
2. มีกลุ่ม องค์กร เครือข่ายที่มีการเรียนรู้ร่วมกันอย่างต่อเนื่อง
3. มีชุดความรู้ องค์ความรู้ ภูมิปัญญา ที่ปรากฏเด่นชัด และเป็นประสบการณ์เรียนรู้ของชุมชน ถูกบันทึกและจัดเก็บไว้ในรูปแบบต่าง ๆ
ขอบข่ายความรู้จะกว้างขวางเพียงใดขึ้นอยู่กับเป้าหมายและประโยชน์ของความรู้ที่กลุ่มต้องการในกลุ่มพัฒนาอาชีพต่าง ๆ ในชุมชนนั้น เป้าหมายของการจัดตั้งกลุ่มก็เพื่อสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน เพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ลดปัญหาการว่างงาน และสร้างความสามัคคีในชุมชน แต่กลุ่มอาชีพที่ดำเนินการอยู่ได้ในปัจจุบัน มีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลให้กลุ่มเข้มแข็งยั่งยืน และกลุ่มล่มสลายไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ กลุ่มที่ดำเนินการอยู่ได้ถือว่ากลุ่มมีการจัดความรู้ในกลุ่มได้เป็นอย่างดี ความรู้ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนากลุ่มนั้นมีขอบข่ายความรู้ที่จำเป็นและสำคัญต่อการพัฒนากลุ่ม ซึ่งนำเสนอไว้พอสังเขป ดังนี้
1. ความรู้เรื่องการบริหารจัดการกลุ่ม เป็นความรู้ที่จำเป็นสำหรับกลุ่ม หากกลุ่มมีการบริหารจัดการไม่โปร่งใส จัดทำระบบบัญชีไม่เป็นปัจจุบันไม่มีระบบการตรวจสอบที่ดีจะทำให้กลุ่มขาดความไว้วางใจกัน เกิดความขัดแย้งกันเองภายในกลุ่ม ส่งผลให้สมาชิกกลุ่มไม่ให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมต่าง ๆ และกลุ่มไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้
2. ความรู้เรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กลุ่มจัดตั้งขึ้นเพื่อต้องการพัฒนาอาชีพให้คนในชุมชน เป็นการเพิ่มรายได้และลดรายจ่าย หากกลุ่มไม่มีความรู้เรื่องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ก็จะทำให้สินค้าไม่ได้รับความนิยม ไม่เป็นที่ต้องการของตลาด และจำหน่ายไม่ได้ในที่สุด ดังนั้นกลุ่มจึงต้องมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ให้มีความทันสมัยและตรงกับความต้องการของลูกค้าหรือผู้ใช้บริการ
3. ความรู้เรื่องการตลาด กลุ่มจะต้องมีความรู้เรื่องการจำหน่าย นั่นคือ การตั้งราคา ทำเลที่ตั้งกลุ่มเป้าหมายที่ใช้บริการ การทำความเข้าใจเรื่องการตลาด จะทำให้กลุ่มมีช่องทางในการจำหน่ายและขยายตลาดได้มากขึ้น ส่งผลให้กลุ่มมีกำไรจากการขาย สมาชิกกลุ่มดำรงอยู่ได้จากผลกำไรที่กลุ่มได้รับนั่นเอง
4. การรักษามาตรฐานของสินค้า สินค้าโดยเฉพาะสินค้าที่เป็นเครื่องบริโภค ที่ผลิตขึ้นในชุมชน จะมีมาตรฐานของชุมชนมาป็นเครื่องกำกับ บอกถึงคุณภาพของสินค้า ดังนั้นกลุ่มจะต้อง มีความรู้ความเข้าใจในการผลิตสินค้าให้มีมาตรฐาน สินค้าจึงจะได้รับการยอมรับและขยายตลาดได้
ในการพัฒนากลุ่มอาชีพนั้น กลุ่มจำเป็นต้องรู้ว่าขอบข่ายความรู้ที่จำเป็นต่อการพัฒนากลุ่มอาชีพนั้นคืออะไร อยู่ที่ไหน และจะค้นหาความรู้เหล่านั้นได้อย่างไร กลุ่มอาจประชุมร่วมกันเพื่อศึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในกลุ่มมาเป็นองค์ความรู้ของกลุ่ม ตรวจสอบความรู้ที่จำเป็นต่อการแก้ปัญหาหรือพัฒนากลุ่ม ส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ทั้งภายในกลุ่มและนอกกลุ่ม ความรู้ทุกความรู้ที่จำเป็นในการแก้ปัญหาหรือพัฒนากลุ่ม ถือเป็นขอบข่ายความรู้ของกลุ่มที่กลุ่มต้องเร่งดำเนินการแสวงหา เพื่อนำความรู้นั้นมาสู่การปฏิบัติ เป็นการยกระดับความรู้และต่อยอดองค์ความรู้เดิมที่กลุ่มมีอยู่ ส่งผลให้กลุ่มได้รับการพัฒนาและหากกลุ่มดำเนินการจัดการความรู้ในขอบข่ายความรู้ของกลุ่มไปอย่างเป็นวงจรไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว กลุ่มจะเกิดความเข้มแข็งและดำรงอยู่ในชุมขนอย่างยั่งยืนได้
สารสนเทศ
คือข้อมูลต่าง ๆ ที่ผ่านการกลั่นกรองและประมวลผลแล้ว บวกกับประสบการณ์ความ เชี่ยวชาญที่สะสมมาแรมปี มีการจัดเก็บหรือบันทึกไว้พร้อมในการนำมาใช้งาน
การจัดทำสารสนเทศ
ในการจัดการความรู้ จะมีการรวบรวมและสร้างองค์ความรู้ที่เกิดจากการปฏิบัติขึ้นมากมาย การจัดทำสารสนเทศจึงเป็นการสร้างช่องทางให้คนที่ต้องการใช้ความรู้สามารถเข้าถึงองค์ความรู้ได้ และก่อให้เกิดการแบ่งปันความรู้ร่วมกันอย่างเป็นระบบ ในการจัดเก็บเพื่อให้ค้นหาความรู้ได้ง่ายนั้น องค์กรต้องกำหนดสิ่งสำคัญที่จะเก็บไว้เป็นองค์ความรู้และต้องพิจารณาถึงวิธีการในการเก็บรักษา และนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ตามต้องการองค์กรต้องเก็บรักษาสิ่งที่องค์กรเรียกว่าเป็นความรู้ไว้ให้ดีที่สุด
การจัดสารสนเทศ ควรจัดทำอย่างเป็นระบบ และควรเป็นระบบที่สามารถค้นหาและส่งมอบได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ทันเวลาและเหมาะสมกับความต้องการ และจัดให้มีการจำแนกรายการต่าง ๆ ที่อยู่บนพื้นฐานตามความจำเป็นในการเรียนรู้ องค์กรต้องพิจารณาถึงความแตกต่างของกลุ่มคนในการค้นคืนความรู้ องค์กรต้องหาวิธีการให้พนักงานทราบถึงช่องทางการค้นหาความรู้ เช่น การทำสมุดจัดเก็บรายชื่อและทักษะของผู้เชี่ยวชาญเครือข่ายการทำงานตามลำดับชั้น การประชุม การฝึกอบรม เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่การถ่ายทอดความรู้ในองค์กร
วัตถุประสงค์การจัดทำสารสนเทศ
1. เพื่อให้มีระบบการจัดเก็บข้อมูลและองค์ความรู้อย่างเป็นหมวดหมู่ และเหมาะสมต่อการ ใช้งาน สามารถค้นหาได้ตลอดเวลา สะดวก ง่าย และรวดเร็ว
2. เพื่อให้เกิดระบบการสื่อสาร การแลกเปลี่ยน แบ่งปัน และถ่ายทอดองค์ความรู้ ระหว่างกันผ่านสื่อต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ
3. เพื่อให้เกิดการเข้าถึงและเชื่อมโยงองค์ความรู้ระหว่างหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกอย่างเป็นระบบ สะดวกและรวดเร็ว
4. เพื่อรวบรวมและจัดเก็บความรู้จากผู้มีประสบการณ์ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญในรูปแบบต่าง ๆ ให้เป็นรูปธรรม เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงความรู้และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ได้
5. เพื่อนำเทคโยโลยีสารสนเทศ มาใช้เป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดระหว่างความรู้ ฝังลึกกับความรู้ชัดแจ้ง ที่สามารถเปลี่ยนสถานะระหว่างกันตลอดเวลา ทำให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ
การถ่ายทอดความรู้
เป็นการนำความรู้ที่ได้รับมาถ่ายทอดให้บุคลากรในองค์กรได้รับทราบ และให้มีความรู้เพียงพอต่อการปฏิบัติงาน การเผยแพร่ความรู้จึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการจัดการความรู้ การเผยแพร่ความรู้มีการปฏิบัติกันมานานแล้ว สามารถทำได้หลายทาง คือ การเขียนบันทึกรายงาน การฝึกอบรม การประชุม การสัมมนา จัดทำเป็นบทเรียนทั้งในรูปแบบของหนังสือ บทความ วิดิทัศน์ การอภิปรายของเพื่อนร่วมงานในระหว่างการปฏิบัติงานการอบรมพนักงานใหม่อย่างเป็นทางการห้องสมุด การฝึกสอนอาชีพและการเป็นพี่เลี้ยง การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในรูปแบบอื่น ๆ เช่น ชุมชนนักปฏิบัติ เรื่องเล่าแห่งความสำเร็จ การสัมภาษณ์ การสอบถาม เป็นต้น การถ่ายทอดหรือเผยแพร่ความรู้ มีการพัฒนารูปแบบโดยอาศัยเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสาร และเทคโนโลยีมีการกระจายไปอย่างกว้างขวาง ทำให้กระบวนการถ่ายทอดความรู้ผ่านเทคโนโลยีโดยเฉพาะอินเทอร์เน็ตได้ความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น
การเผยแพร่ความรู้และการใช้ประโยชน์ มีความจำเป็นสำหรับองค์กร เนื่องจากองค์กรจะเรียนรู้ได้ดีขึ้นเมื่อมีความรู้ มีการกระจายและถ่ายทอดไปอย่างรวดเร็ว และเหมาะสมทั่วทั้งองค์กร การเคลื่อนที่ของสารสนเทศและความรู้ระหว่างบุคคลหนึ่งไปอีกบุคคลหนึ่งนั้น จึงเป็นไปโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ