การจัดการความรู้ด้วยตนเอง จะทำให้ผู้เรียนเรียนรู้หลักการอันแท้จริงในการพัฒนา ตนเอง และจูงใจตนเองให้ก้าวไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุณภาพในการทำงาน เป็นผู้มีสัมฤทธิ์ผลสูงสุด โดยการนำองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง และการทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถปรับตัวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตและประสบการณ์การทำงานร่วมกัน มีทัศนคติที่ดีต่อชีวิตตนเองและผู้อื่นมีความกระตือรือร้นและเสริมสร้างทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน นำไปสู่การเห็น คุณค่าของการอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกัน ช่วยเกื้อกูลกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิดการเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ ในลักษณะของทีมที่มีประสิทธิภาพ
การจัดการความรู้เป็นเรื่องที่เริ่มต้นที่คน เพราะความรู้เป็นสิ่งที่เกิดมาจากคน มาจากกระบวนการเรียนรู้การคิดของคน คนจึงมีบทบาททั้งในแง่ของผู้สร้างความรู้ และเป็นผู้ที่ใช้ความรู้ ซึ่งถ้าจะมงภาพกว้างออกไปเป็นครอบครัว ชุมชน หรือแม้แต่ในหน่วยงาน ก็จะเห็นได้ว่าทั้งครอบครัว ชุมชน หน่วยงาน ล้วนประกอบขึ้นมาจากคนหลาย ๆ คน ดังนั้น หากระดับปัจเจกบุคคลมีความสามารถในการจัดการความรู้ ย่อมส่งผลต่อความสามารถในการจัดการความรู้ของกลุ่มด้วย
วิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดการจัดการความรู้ด้วยตนเอง คือ ให้ผู้เรียนได้เริ่มกระบวนการเรียนรู้ตั้งแต่การเริ่มคิด คิดแล้วลงมือปฏิบัติ และเมื่อปฏิบัติแล้วจะเกิดความรู้จากการปฏิบัติ ซึ่งผู้ปฏิบัติจะจดจำทั้งส่วนที่เป็นความรู้ฝังลึกและความรู้ที่เปิดเผยมีการบันทึกความรู้ในระหว่างเรียนรู้กิจกรรม หรือโครงการลงในสมุดบันทึก ความรู้ปฏิบัติที่บันทึกไว้ในรูปแบบต่าง ๆ จะเป็นประโยชน์สำหรับตนเองและผู้อื่น ในการนำไปปฏิบัติแก้ไขปัญหาที่ชุมชนประสบอยู่ให้บรรลุเป้าหมาย และขั้นสุดท้ายคือ ให้ผู้เรียนได้พัฒนาปรับปรุงสิ่งที่กำลังเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ย้อนดูว่าในกระบวนการเรียนรู้นั้น มีความบกพร่องในขั้นตอนใด ก็ลงมือพัฒนาตรงจุดนั้นให้ดี
ผู้เรียนจะต้องพัฒนาตนเอง ให้มีความสามารถและทักษะในการจัดการความรู้ด้วยตนเองให้มีความรู้ที่สูงขึ้น ซึ่งสามารถฝึกทักษะเพื่อการเรียนรู้ได้ดังนี้
ฝึกสังเกต ใช้สายตาและหูเป็นเครื่องมือ การสังเกตจะช่วยให้เข้าใจในเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์นั้น ๆ
ฝึกการนำเสนอ การเรียนรู้จะกว้างขึ้นได้อย่างไร หากรู้อยู่คนเดียว ต้องนำความรู้ไปสู่การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคนอื่น การนำเสนอให้คนอื่นรับทราบจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้กันอย่างกว้างขวาง
ฝึกตั้งคำถาม คำถามจะเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งในการเข้าถึงความรู้ได้ เป็นการตั้ง คำถามให้ตนเองตอบ หรือจะให้ใครตอบก็ได้ ทำให้ได้ขยายขอบข่ายความคิดความรู้ ทำให้รู้ลึก และรู้กว้างยิ่งขึ้นไปอีก อันเนื่องมาจากการที่ได้ศึกษาค้นคว้าในคำถามที่สงสัยนั้น คำถามควรจะถามว่า ทำไมอย่างไร ซึ่งเป็นคำถามระดับสูง
ฝึกแสวงหาคำตอบ ต้องรู้ว่าความรู้ หรือคำตอบที่ต้องการนั้นมีแหล่งข้อมูลให้ค้นคว้าได้จากที่ไหนบ้าง เป็นความรู้ที่อยู่ในห้องสมุด ในอินเทอร์เน็ต หรือเป็นความรู้ที่อยู่ ในตัวคนที่ต้องไปสัมภาษณ์ไปสกัดความรู้ออกมา เป็นต้น
ฝึกบูรณาการเชื่อมโยงความรู้ เนื่องจากความรู้เรื่องหนึ่งเรื่องใดไม่มีพรมแดนกั้น ความรู้นั้นสัมพันธ์เชื่อมโยงกันไปหมด จึงจำเป็นต้องรู้ความเป็นองค์รวมของเรื่องนั้น ๆ อย่าง ยกตัวอย่างปุ๋ยหมัก ไม่เฉพาะแต่มีความรู้เรื่องวิธีทำเท่านั้น แต่เชื่อมโยงการกำหนดราคาไว้ เพื่อจะขาย โยงไปที่วิธีใช้ถ้าจะนำไปใช้เอง หรือแนะนำให้ผู้อื่นใช้ โยงไปถึงบรรจุภัณฑ์ว่าจะ บรรจุกระสอบแบบไหน ทุกอย่างบูรณาการกัน
ฝึกบันทึก จะบันทึกแบบจดลงสมุดหรือเป็นภาพ หรือใช้เครื่องมือบันทึกใด ๆ ก็ได้ ต้องบันทึกไว้ บันทึกให้ปรากฏร่องรอยหลักฐานของการคิดการปฏิบัติ เพื่อการเข้าถึงและการ เรียนรู้ของบุคคลอื่นด้วย
ฝึกการเขียน เขียนงานของตนเองให้เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของตนเองและผู้อื่น งานเขียนหรือข้อเขียนดังกล่าวจะกระจายไปเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้คนในสังคมที่มาอ่านงานเขียน
ในการเรียนรู้เพื่อจัดการความรู้ในตนเอง นอกจากวิเคราะห์ตนเองเพื่อกำหนดองค์ความรู้ที่จำเป็นในการพัฒนาตนเองแล้วนั้น การแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ เป็นวิธีการค้นหาและเข้าถึงความรู้ที่ง่ายเป็นการเรียนรู้ทางลัด นั่นคือดูว่าที่อื่นทำอย่างไร เลียนแบบ best practice และทำให้ดีกว่า เมื่อปฏิบัติแล้วเกิดความสำเร็จแม้เพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็น best practice ในขณะนั้น กระบวนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาตนเองสามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ได้ ดังนี้
1. ขั้นการบ่งชี้ความรู้ ผู้เรียนวิเคราะห์ตนเอง เพื่อรู้จุดอ่อน จุดแข็งของตนเอง กำหนดเป้าหมายในชีวิต กำหนดแนวทางเดินไปสู่จุดหมาย และรู้ว่าความรู้ที่จะแก้ปัญหา และพัฒนาตนเองคืออะไร
2. ขั้นสร้างและแสวงหาความรู้ ผู้เรียนจะต้องตระหนักและเห็นความสำคัญของการแสวงหาความรู้ เข้าถึงความรู้ที่ต้องการด้วยวิธีการที่หลากหลาย แหล่งเรียนรู้ที่ใช้ในการแสวงหาความรู้ ได้แก่การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การแสวงหาความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ภูมิปัญญาท้องถิ่น และเพื่อน โดยยอมรับในความรู้ความสามารถซึ่งกันและกัน และต้องใช้ทักษะต่าง ๆ เพื่อใช้ในการสร้างความรู้ เช่น ฝึกสังเกต ฝึกนำเสนอ ฝึกการตั้งคำถาม ฝึกการแสวงหาคำตอบ ฝึกบูรณาการเชื่อมโยงความรู้ ฝึกบันทึก และฝึกการเขียน
3. การจัดการความรู้ให้เป็นระบบ จัดทำสารบัญจัดเก็บความรู้ประเภทต่าง ๆ ที่ จำเป็นต้องรู้และนำไปใช้เพื่อการพัฒนาตนเอง การจัดการความรู้ให้เป็นระบบจะทำให้เก็บรวบรวม ค้นหา และนำมาใช้ได้ง่าย รวดเร็ว
4. ขั้นการประมวลและกลั่นกรองความรู้ ความรู้ที่จำเป็นอาจต้องมีการค้นคว้า และแสวงหาเพิ่มเติม เพื่อให้ความรู้มีความทันสมัย นำไปปฏิบัติได้จริง
5. การเข้าถึงความรู้ เมื่อมีความรู้จากการปฏิบัติแล้วมีการเก็บความรู้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สมุดบันทึกความรู้ แฟ้มสะสมงาน วารสาร หรือใช้เทคโนโลยีในการจัดเก็บรูปแบบเว็บไซต์ วีดิทัศน์ แถบบันทึกเสียง และคอมพิวเตอร์ เพื่อให้ตนเองและผู้อื่นเข้าถึงได้ง่ายอย่างเป็นระบบ
6. ขั้นการแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ผู้เรียนต้องเข้าร่วมกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเพื่อน ๆ หรือชุมชนเพื่อเรียนรู้ร่วมกัน อาจเป็นลักษณะของการสัมมนาเวทีเรื่องเล่าแห่งความสำเร็จ การศึกษาดูงานหรือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านทางอินเทอร์เน็ต เป็นต้น
7. ขั้นการเรียนรู้ ผู้เรียนจะต้องนำเสนอความรู้ในโอกาสต่าง ๆ เช่น การจัดนิทรรศการ การพบกลุ่ม การเข้าค่าย หรอืการประชุมสัมมนา รวมทั้งมีการเผยแพร่ความรู้ ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น วารสารเว็บไซต์ จดหมายข่าว เป็นต้น
1. ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามแผนพัฒนาตนเองที่ได้กำหนดไว้
2. ผู้เรียนตระหนักถึงความรับผิดชอบในการพัฒนาตนเองเพื่อเรียนรู้วิชาต่าง ๆ อย่างเข้าใจ และนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้
3. ผู้เรียนมีความรู้ที่ทันสมัยเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน สามารถปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้
ตาพรำ เสนานาท อายุ 55 ปี ราษฎรตำบลบ้านหลวง อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พาครอบครัวไปหากินที่กรุงเทพ ฯ เมื่อหลายปีมาแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องตัดสินใจกลับบ้าน เพราะครอบครัว มีแต่ความทุกข์ยาก กินอยู่แบบอด ๆ อยาก ๆ
เขามีที่ดินเหลืออยู่ 3 งาน จึงขุดร่องสวนและปลูกผักโดยใช้สารเคมี ทั้งปุ๋ย และยาปราบศัตรูพืช ให้ภรรยานำไปขายที่ตลาด และเขายังรับจ้างฉีดยาฆ่าหญ้าให้แก่เพื่อนบ้านอีกด้วย
มิช้ามินานเขาเริ่มเจ็บป่วย ตัวซีดเหลือง จึงต้องไปหาหมอที่สถานีอนามัยข้างบ้านไม่ได้หยุด ถึงหมอจะบอกต้นเหตุของความเจ็บป่วย แต่เขาก็เลิกไม่ได้เพราะลูกทั้ง 4 คน ต้องกินใช้มากขึ้นและไปโรงเรียนกัน
หนี้สินพอกพูนขึ้น ตัวเขาเจ็บออดแอดมากขึ้น รายจ่ายสารพัดแต่รายได้มี 2 ทาง คือ ขายผักกับรับจ้างฉีดยาฆ่าหญ้า ไม่รู้จะจัดการกับครอบครัวอย่างไร หาทางออกไม่ได้ก็กลุ้มใจ เริ่มมีปากเสียงกับสมาชิกในครอบครัว ที่พึ่งของเขาคือเหล้ากับบุหรี่
วันหนึ่ง นายเชิด พันธุ์เพ็ง นักจัดการความรู้ของชุมชนวัฒนธรรมคลองขนมจีนไปพบเข้าจึงไต่ถามสารทุกข์สุขดิบในฐานะเพื่อนบ้าน เขาได้เล่าเรื่องโครงการชุมชนเป็นสุขให้ฟัง และชวนตาพรำเข้าเป็นสมาชิกเพื่อแก้ไขปัญหาที่เผชิญอยู่
ตาพรำฟังนายเชิดอธิบายถึงการปลูกผักแบบยั่งยืนด้วยการจัดการความรู้ เพื่อครอบครัวและชุมชนเป็นสุขไปพร้อมกัน เป็นการจัดการด้วยสติปัญญาเพื่อพัฒนาปากท้อง คือ เศรษฐกิจ จิตใจ ครอบครัว ชุมชน สังคม วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และความสุขไปพร้อมกันแบบองค์รวมไม่แยกส่วน
ทุกเรื่องทุกประเด็นที่นายเชิดชี้แจงเป็นเรื่องใหม่สำหรับตาพรำ และตาพรำก็ไม่ สู้เข้าใจนัก แต่ที่ตัดสินใจเข้าร่วมทันทีเพราะเขาอยากออกจากความทุกข์ที่ประสบอยู่และเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น
ในช่วงต้นของการเข้าโครงการตาพรำแทบจะลาออกเสียหลายครั้ง เพราะเขาต้องแบ่งเวลาทำกินไปเรียนรู้กับสิ่งที่เขาไม่ค่อยจะเชื่อนัก แต่เขาก็สนใจเรื่องที่จะทำให้เขาไม่เจ็บป่วย นอกจากนั้นการเข้ากลุ่มทำให้เขาได้รับความเห็นใจจากเพื่อน ๆ
เชิดได้พาตาพรำไปเรียนรู้เรื่องเกษตรยั่งยืนจากเครือข่ายในต่างจังหวัดพร้อมกับเพื่อน ๆ ตาพรำเรียนรู้เรื่องการจัดการทรัพยากรเชิงระบบ เขาให้ความสนใจกับการทำน้ำส้มควันไม้จากถ่านไม้ เพื่อนำไปทดแทนสารเคมีกำจัดศัตรูพืชและในหมู่บ้านของเขาก็มีเศษต้นไม้ กิ่งไม้ ที่ชุมชนตัดทิ้งไว้มากมาย เขาสามารถนำมาจัดการใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องซื้อหา
เมื่อกลับมาถึงบ้านตาพรำลงมือทำเตาเผาถ่านแบบใหม่ทันที เป็นเตาที่สามารถให้ทั้งถ่านและน้ำส้มควันไม้ เขาทำแล้วทำอีกจนสำเร็จ ซึ่งนอกจากเขาจะได้น้ำส้มควันไม้ไปใช้ในสวนผักแล้ว ยังได้ถ่านไว้ใช้ในครัวเรือนอีกด้วย
เมื่อเหลือใช้แล้วตาพรำก็ขายให้กับเพื่อนบ้าน เขาขายดีจนผลิตไม่ทัน ต้องเพิ่มจำนวนเตาขึ้น เดี๋ยวนี้เขาไม่ต้องไปรับจ้างฉีดยาฆ่าหญ้าแล้ววัน ๆ หนึ่งเขาทำสวนผักใช้น้ำส้มควันไม้แทนสารเคมีกำจัดศัตรูพืช กรองน้ำส้มควันไม้ใส่ขวดขายขวดละ 50 บาท กรอกถ่านใส่ถุงขายถุงละ 15 บาท ซึ่งนอกจากเขาจะลดรายจ่ายในครัวเรือนได้จริงแล้ว เขายังมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย
วัน ๆ หนึ่งตาพรำขลุกอยู่กับสวนผัก ขลุกอยู่กับเตาถ่าน วางแผนงานในวันรุ่งขึ้น ว่าจะจัดการกับผักอะไรบ้าง อย่างไร จะจัดการกับการตลาดของถ่านและน้ำส้มควันไม้อย่างไร จนลืมเรื่องเหล้าบุหรี่ไป ปัจจุบันเขาเกือบจะไม่ได้แตะต้องมันจะมีบ้างก็กับเพื่อนๆ และสมาชิกเครือข่ายบางคนเป็นครั้งคราวเท่านั้น หนี้สินจึงลดลงไปมาก แม้จะยังไม่หมด แต่ก็มีความหวังเพราะเขาจัดการได้ ความทุกข์หลายด้านลดลง ทั้งโรคภัยไข้เจ็บและความสุขของครอบครัว ลูกคนหนึ่งลาออกจากโรงงานทำรองเท้าช่วยพ่อแม่ ทุกคนกินอิ่มนอนหลับ
ช่วงหลังนี้ตาพรำเป็นที่ยอมรับของเพื่อนบ้าน ของสมาชิกกลุ่มและเครือข่ายเกษตรยั่งยืน เขาเป็นวิทยากรเรื่องน้ำส้มควันไม้ด้วยความมั่นใจ เขาสร้างความรู้เรื่องนี้ด้วยหนึ่งสมองกับสองมือ และถ่ายทอดถึงมรรควิธีการจัดการทรัพยากร รวมทั้งการจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ซึ่งเป็นทุกข์ของครอบครัวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มด้วยน้ำใจและเป็นสุข ปัจจุบันเขาสร้างเครือข่ายเรื่องนี้ถึง 4 อำเภอในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เมื่อว่างจากงานเขานั่งมองดูสวน และคิดทบทวนสาระต่าง ๆ ในสิ่งที่นายเชิดพูดคุยกับเขาใน
วันแรก อ้อ ! การจัดการความรู้เป็นอย่างนี้เอง มันคือการเรียนรู้ นำความรู้มาจัดการเชิงระบบ สร้างความรู้ใหม่เพื่อปรับตัวให้สอดคล้องกับโลกยุคใหม่ด้วยสติปัญญา ปรับรูปแบบการพัฒนาแต่รักษาความสมดุลของระบบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดการยั่งยืนสืบไปนี่คือการสรุปเรื่องการจัดการความรู้ของตาพรำ !!!
การสรุปองค์ความรู้
การจัดการความรู้ เรามุ่งหา “ความสำเร็จ” มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรามุ่งหาความสำเร็จในจุดเล็ก ๆ จุดน้อยต่างจุดกัน นำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการขยายผลไปสู่ความสำเร็จที่ใหญ่ขึ้น
องค์ความรู้เป็นความรู้มาจากการปฏิบัติเรียกว่า “ปัญญา” กระบวนการเรียนรู้เปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง สังเกตสิ่งที่ตนอยากรู้ลงมือปฏิบัติจริง ค้นคว้า และแสวงหาความรู้เพิ่มจนค้นพบความรู้ สร้างสรรค์เกิดเป็นองค์ความรู้และเกิดประสบการณ์ใหม่ การเรียนรู้แบบนี้จะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถในการคิดสู่การปฏิบัติ และเกิด “ปัญญา” หรือองค์ความรู้เฉพาะของตนเอง
องค์ความรู้มีอยู่อย่างมากมาย การปฏิบัติงานจนประสบผลสำเร็จ รวมทั้งการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการทำงานที่ส่งผลให้งานสำเร็จลุล่วงตามเป้าประสงค์ ถือว่าเป็นองค์ความรู้ที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น และเป็นองค์ความรู้ที่มีค่าต่อการเรียนรู้ทั้งสิ้น
การสรุปองค์ความรู้มีความสำคัญต่อกระบวนการจัดการความรู้เป็นอย่างยิ่ง เพราะการสรุปองค์ความรู้จะเป็นการต่อยอดความรู้ให้กับตนเองและผู้อื่น หากบุคคลอื่นต้องการความช่วยเหลือในการแก้ปัญหาบางเรื่อง เราจะใช้ความรู้ที่มีอยู่ช่วยเหลือเพื่อนได้อย่างไร และเมื่อเราจะเริ่มต้นทำอะไร เรารู้บ้างไหมว่ามีใครทำเรื่องนี้มาบ้าง อยู่ที่ไหนในชุมชนของเรา เพื่อที่เราจะทำงานให้สำเร็จได้ง่ายขึ้น และไม่ทำผิดซ้ำซ้อน การดำเนินการจัดการองค์ความรู้อาจต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้
1. การกำหนดความรู้หลักที่จำเป็นหรือสำคัญต่องาน หรือกิจกรรมของกลุ่ม หรือองค์กร
2. การเสาะหาความรู้ที่ต้องการ
3. การปรับปรุง ดัดแปลง หรือสร้างความรู้บางส่วนให้เหมาะต่อการใช้งานของตน
4. การประยุกต์ใช้ความรู้ในกิจกรรมงานของตน
5. การนำประสบการณ์จากการทำงาน และการประยุกต์ใช้ความรู้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และสกัดขุมความรู้ ออกมาบันทึกไว้
6. การจัดบันทึก “ขุมความรู้” และ “แก่นความรู้” สำหรับไว้ใช้งาน และปรับปรุงเป็นชุดความรู้ที่ครบถ้วน ลุ่มลึก และเชื่อมโยงมากขึ้น เหมาะต่อการใช้งานมากขึ้น
การจัดการความรู้เพื่อให้เกิดองค์ความรู้ที่ต้องการ เริ่มจากการกำหนด “เป้าหมายของงาน” นั่นคือการบรรลุผลสัมฤทธิ์ ในการดำเนินการตามที่กำหนดไว้ คือ
1. การตอบสนอง คือ การสนองตอบความต้องการของทุกคนที่เกี่ยวข้อง
2. การมีนวัตกรรม คือ 1) นวัตกรรมในการทำงาน
2) นวัตกรรมทางผลงาน
3. ขีดความสามารถ คือ การมีสมรรถนะที่เกิดจากการเรียนรู้ของตนเอง
4. ประสิทธิภาพ คือ องค์ความรู้ หรือ คลังความรู้
การจัดทำสารสนเทศการจัดการความรู้ด้วยตนเอง
การจัดการความรู้ด้วยตนเอง องค์ความรู้ก็ยังอยู่ในสมองคนในรูปของประสบการณ์จากการทำงานที่ประสบผลสำเร็จนั้น เราต้องมีการถอดองค์ความรู้ซึ่งอาจไหลเวียนองค์ความรู้จากคนสู่คน หรือจากคนมาจัดทำเป็นสารสนเทศในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้คนเข้าถึงความรู้ได้ง่ายและนำไปสู่การปฏิบัติได้ โดยการนำความรู้ที่ได้มาจัดเก็บเป็นหมวดหมู่ของความรู้การชี้แหล่งความรู้ การสร้างเครื่องมือในการเข้าถึงความรู้ การกรองความรู้ การเชื่อมโยงความรู้ การจัดระบบองค์ความรู้ยังหมายรวมถึงการทำให้ความรู้ละเอียดชัดเจนขึ้น องค์ความรู้อาจจัดเก็บไว้ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น บันทึกความรู้ แฟ้มสะสมงานเอกสารจากการถอดบทเรียน แผ่นซีดี เว็บไซต์ เว็บบล็อค เป็นต้น
กระบวนการจัดการความรู้ด้วยกลุ่มปฏิบัติการ
ในยุคของการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วนั้น ปัญหาจะมีความซับซ้อนมากขึ้น เราจำเป็นต้องมีความรู้ที่หลากหลาย ความรู้ส่วนหนึ่งอยู่ในรูปของเอกสาร ตำรา หรืออยู่ในรูปของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น เทปวิดีโอ แต่ความรู้ที่มีอยู่มากที่สุดคืออยู่ในสมองคน ในรูปแบบของประสบการณ์ ความจำ การทำงานที่ประสบผลสำเร็จ การดำรงชีวิตอยู่ในสังคมปัจจุบัน จำเป็นต้องใช้ความรู้อย่างหลากหลาย นำความรู้หลายวิชามาเชื่อมโยง บูรณาการให้เกิดการคิด วิเคราะห์ สร้างความรู้ใหม่จากการแก้ปัญหาและพัฒนาตนเอง ความรู้บางอย่างเกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มเพื่อแก้ปัญหา หรือพัฒนาในระดับกลุ่ม องค์กร หรือชุมชน ดังนั้น จึงต้องมีการรวมกลุ่มเพื่อจัดการความรู้ร่วมกัน
ปัจจัยที่ทำให้การจัดการความรู้ด้วยการรวมกลุ่มปฏิบัติการประสบผลสำเร็จ
1. วัฒนธรรมและพฤติกรรมของคนในกลุ่ม คนในกลุ่มต้องมีเจตคติที่ดีในการ แบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน มีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ให้เกียรติกัน และเคารพความคิดเห็นของคนในกลุ่มทุกคน
2. ผู้นำกลุ่ม ต้องมองว่าคนทุกคนมีคุณค่า มีความรู้จากประสบการณ์ ผู้นำกลุ่มต้องเป็นต้นแบบในการแบ่งปันความรู้ กำหนดเป้าหมายของการจัดการความรู้ในกลุ่มให้ชัดเจน หาวิธีการให้คนในกลุ่มนำเรื่องที่ตนรู้ออกมาเล่าสู่กันฟัง การให้เกียรติกับทุกคนจะทำให้ทุกคนกล้าแสดงออกในทางสร้างสรรค์
3. เทคโนโลยี ความรู้ที่เกิดจากการรวมกลุ่มปฏิบัติการเพื่อถอดองค์ความรู้ ปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีมาใช้เพื่อการจัดเก็บ เผยแพร่ความรู้กันอย่างกว้างขวาง จัดเก็บในรูปของเอกสารในเว็บไซต์ วิดีโอ VCD หรือจดหมายข่าว เป็นต้น
4. การนำไปใช้ การติดตามประเมินผล จะช่วยให้ทราบว่าความรู้ที่ได้จากการรวมกลุ่มปฏิบัติการ มีการนำไปใช้หรือไม่ การติดตามผลอาจใช้วิธีการสังเกต สัมภาษณ์ หรือ ถอดบทเรียนผู้เกี่ยวข้อง ประเมินผลจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในกลุ่ม ความสัมพันธ์ความเป็นชุมชนที่รวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กันอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งการพัฒนาด้าน
บ้านปางป้อมกลาง ตำบลลอ อำเภอจุน จังหวัดพะเยา เป็นพื้นที่ที่ปลูกกล้วยกันมาก ราคากล้วยตกต่ำ และมีกล้วยชนิดหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกว่า “กล้วยส้ม” ชาวบ้านไม่ค่อยนิยมรับประทาน เนื่องจากเมื่อสุกแล้วจะมีรสออกเปรี้ยว จะนำไปให้ไก่กิน เนื้อกล้วยทั้งที่ยังดิบหรือสุกจะมีสีเหลืองนวล นางอชิรา ปัญญาฟู ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่ม ได้ศึกษาวิธีการทำกล้วยฉาบจากกลุ่มสตรีอำเภอแม่ใจ และทดลองทำกล้วยฉาบจากกล้วยส้ม หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “กล้วยหอมทอง” ทดลองหลายครั้งและนำเนยมาเป็นส่วนผสมของเครื่องปรุง ทำให้สีกล้วยฉาบสวยเป็นธรรมชาติ มีความกรอบและมีรสชาติที่กลมกล่อมเนื่องจากมีความเปรี้ยวอยู่ในตัว ทำให้ได้สูตรในการทำกล้วยฉาบเฉพาะกลุ่ม จากนั้นสมาชิกกลุ่มสตรีได้รวมตัวกัน 9 คน ลงหุ้นกันคนละ 200 บาท เมื่อปี 2544 จัดตั้งกลุ่มเพื่อผลิตกล้วยฉาบขาย และได้นำกล้วยฉาบไปเสนอ ขายให้คนที่รู้จักและเจ้าหน้าที่จากส่วนราชการต่าง ๆ ซึ่งทุกคนมองว่า “รสชาติก็คงเหมือนกล้วยฉาบธรรมดา” แต่เมื่อทดลองชิมแล้วจึงเห็นถึงความแตกต่างระหว่างรสชาติของกล้วยฉาบ จากกล้วยน้ำว้ากับกล้วยฉาบจากกล้วยหอมทอง จึงให้ความสนใจสั่งซื้อมากขึ้น และรู้จักในนาม “กล้วยยัดเยียด” ซึ่งเป็นที่มาของการนำไปเสนอขายด้วยการขอร้องกึ่งบังคับให้คนซื้อนั่นเอง
ต่อมาส่วนราชการในอำเภอได้ให้การสนับสนุนมากขึ้น เสนอให้มีการทำป้ายผลิตภัณฑ์ใหม่ และให้เปลี่ยนชื่อเป็น “กล้วยหอมทองเมืองจุน” แต่เมื่อนำไปขายแล้วไม่มีคนรู้จักและไม่แน่ใจในคุณภาพของสินค้า จึงขายได้ไม่ดี ทำให้ต้องกลับมาใช้ชื่อเหมือนเดิมว่า “กล้วยหอมทองยัดเยียด” จนถึงปัจจุบัน
ในการบริหารจัดการของกลุ่ม ได้มีการแบ่งหน้าที่สมาชิกกลุ่มให้รับผิดชอบเป็นฝ่ายต่าง ๆ ประกอบด้วย ประธานกลุ่ม กรรมการฝ่ายต่าง ๆ ฝ่ายการตลาด ฝ่ายผลิต ฝ่ายการ เงินบัญชี และมีเลขานุการกลุ่ม มีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 20 คน มีการลงหุ้นเพิ่มและมีเงินทุนหมุนเวียนให้สมาชิกกลุ่มได้กู้ยืม กลุ่มได้สร้างงานให้กับคนในชุมชนนั่นคือส่งเสริมให้ปลูกกล้วยขายให้กับกลุ่ม และเมื่อมีกล้วยเข้ามาเป็นจำนวนมาก จะจ้างแรงงานจากคนในชุมชนมาปอกกล้วยเพื่อทอดไว้ และจะฉาบเมื่อมีลูกค้าสั่งสินค้าเข้ามาทำให้ได้กล้วยที่ใหม่และกรอบอยู่ตลอดเวลา
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ กลุ่มได้มีการประชุมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันทุกเดือน และมีการนำสมาชิกกลุ่มไปศึกษาดูงานกลุ่มอาชีพอื่น ๆ เพื่อนำความรู้ใหม่ ๆ มาพัฒนาผลิตภัณฑ์ และมีการเชื่อมโยงกับเครือข่ายซึ่งเป็นกลุ่มสตรีอื่น ๆ ในการหาตลาดร่วมกัน แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการบริหารจัดการกลุ่มให้ยั่งยืน และจากการที่กลุ่มได้ไปศึกษาดูงานการผลิตกล้วยฉาบที่จังหวัดสุโขทัย ทำให้กลุ่มได้เครือข่ายในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้การพัฒนาผลิตภัณฑ์กว้างขึ้น ความรู้จากการไปศึกษาดูงานทำให้กลุ่มได้แนวคิดเกี่ยวกับการฝานกล้วยฉาบให้ได้ในปริมาณมาก ๆ ได้เรียนรู้และขยายการผลิตสินค้าชนิดอื่น ๆ เพิ่ม เช่น การทำเผือกฉาบ มันฝรั่งทอด และการพัฒนารสชาติของผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ทำให้กลุ่มได้รับการพัฒนา มีใบอนุญาตที่เรียกว่า อย. มาเป็นเครื่องกำกับถึงคุณภาพของผลิตภัณฑ์มีการขยายตลาดไปต่างจังหวัด และต่างประเทศ กลุ่มจึงเป็นที่รู้จักและดำรงอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้
จากตัวอย่างการดำเนินการกลุ่มกล้วยหอมยัดเยียด ได้มีการนำการจัดการความรู้มาใช้เพื่อการพัฒนากลุ่มกระบวนการจัดการความรู้ของกลุ่มเป็นดังนี้
1. การบ่งชี้ความรู้ เป้าหมายของการรวมกลุ่มกล้วยหอมยัดเยียด คือ สร้างรายได้ให้กับสมาชิกกลุ่มอาชีพ และพัฒนากลุ่มอาชีพให้เข้มแข็ง ยั่งยืน มีรายได้อย่างต่อเนื่อง กลุ่มต้องมีความรู้ในเรื่องวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การตลาด การรวมกลุ่ม การสร้างเครือข่าย
2. การสร้างและแสวงหาความรู้ เมื่อกำหนดองค์ความรู้ที่จำเป็นในการพัฒนากลุ่มอาชีพแล้ว กลุ่มมีการสำรวจหาแหล่งความรู้ที่ดำเนินการเกี่ยวกับการทำกล้วยฉาบ ซึ่งก่อนดำเนินการแสวงหาความรู้ ได้มีการปรึกษาหารือกันในกลุ่ม รวมทั้งส่วนราชการที่ให้การสนับสนุน จากนั้นได้รวบรวมรายชื่อกลุ่มอาชีพที่ทำเรื่องกล้วยในจังหวัดพะเยา เพื่อเป็นข้อมูลในการวางแผนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
3. การจัดการความรู้ให้เป็นระบบ เมื่อมีการแสวงหาความรู้แล้ว ได้มีการจัดทำทำเนียบกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ในจังหวัดพะเยา และจังหวัดใกล้เคียง เพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันต่อไป
4. การประมวลและกลั่นกรองความรู้ ความรู้ที่ได้จากกลุ่มต่าง ๆ กลุ่มได้มีการแยกแยะถึงปัญหาและจุดเด่นของการดำเนินการพัฒนากลุ่มอาชีพในแต่ละกลุ่ม และนำมาจัดทำเวทีเพื่อให้สมาชิกกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ถึงจุดเด่นจุดด้อยของกลุ่ม เพื่อการพัฒนากลุ่มให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
5. การเข้าถึงความรู้ กลุ่มได้สร้างเครือข่ายเพื่อการเรียนรู้ในองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการพัฒนากลุ่มร่วมกัน ทั้งความรู้ในเรื่องวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การตลาด การบริหารจัดการกลุ่ม
6. การแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ กลุ่มมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอยู่ตลอด สร้างความสามัคคีภายในกลุ่ม แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับกลุ่มอื่น ๆ ทั้งกลุ่มที่อยู่ในจังหวัดพะเยา และกลุ่มที่อยู่ในจังหวัดอื่นจากการศึกษาดูงาน และประชุมสัมมนา รวมทั้งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างไม่เป็นทางการจากการพบเจอกันในการออกร้านในงานต่าง ๆ ที่ส่วนราชการเป็นผู้จัด
7. การเรียนรู้ สมาชิกในกลุ่มเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ยกระดับความรู้ในเรื่องวัตถุดิบ ทำให้มีวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตตลอดทั้งปี มีกระบวนการผลิตที่ง่ายไม่ยุ่งยากและเป็นอันตราย ผลิตได้จำนวนมาก ๆ เพียงพอต่อความต้องการ มีการขยายตลาดเพิ่ม มีการรวมหุ้นในกลุ่มเพื่อเป็นเงินทุนของกลุ่มและช่วยเหลือสมาชิกที่เดือดร้อน
ในการปฏิบัติงานแต่ละครั้ง กลุ่มจะต้องมีการสรุปองค์ความรู้เพื่อจัดทำเป็นสารสนเทศเผยแพร่ความรู้ให้กับสมาชิกกลุ่ม และกลุ่มอื่น ๆ ที่สนใจในการเรียนรู้ และเมื่อมีการ ดำเนินการจัดหาหรือสร้างความรู้ใหม่จากการพัมนาขึ้นมา ต้องมีการกำหนดสิ่งสำคัญที่จะเก็บไว้เป็นองค์ความรู้ และต้องพิจารณาถึงวิธีการในการเก็บรักษาและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ตามความต้องการ ซึ่งกลุ่มต้องจัดเก็บองค์ความรู้ไว้ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลข่าวสารสนเทศ การวิจัย การพัฒนา โดยต้องคำนึงถึงโครงสร้างและสถานที่หรือฐานของการจัดเก็บ ต้องสามารถค้นหาและส่งมอบได้อย่างถูกต้อง มีการจำแนกหมวดหมู่ของความรู้ไว้อย่างชัดเจน
การสรุปองค์ความรู้ด้วยการรวมกลุ่มปฏิบัติการ
การจัดการความรู้กลุ่มปฏิบัติการ เป็นการจัดการความรู้ของกลุ่มที่รวมตัวกัน มีจุดมุ่งหมายของการทำงานร่วมกันให้ประสบผลสำเร็จ ซึ่งมีกลุ่มปฏิบัติการหรือที่เรียกว่า “ชุมชนนักปฏิบัติ” เกิดขึ้นอย่างมากมาย เช่น กลุ่มฮักเมืองน่าน กลุ่มเลี้ยงหมู กลุ่มเลี้ยงกบ กลุ่มเกษตรอินทรีย์ กลุ่มสัจจะออมทรัพย์ หรือกลุ่มอาชีพต่าง ๆ ในชุมชน กลุ่มเหล่านี้พร้อมที่จะเรียนรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
องค์ความรู้จึงเป็นความรู้และปัญญาที่แตกต่างกันไปตามสภาพและบริบทของชุมชน การสร้างองค์ความรู้หรือชุดความรู้ของกลุ่มได้แล้ว จะทำให้สมาชิกกลุ่มมีองค์ความรู้ หรือชุดความรู้ไว้เป็นเครื่องมือในการพัฒนางาน และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคนอื่นหรือกลุ่มอื่นอย่างภาคภูมิใจ เป็นการต่อยอดความรู้และการทำงานของตนต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดอย่างที่เรียกว่าเกิดการเรียนรู้และพัฒนากลุ่มอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
ในการสรุปองค์ความรู้ของกลุ่ม กลุ่มจะต้องมีการถอดองค์ความรู้ที่เกิดจากการ ปฏิบัติ การถอดองค์ความรู้จึงมีลักษณะของการไหลเวียนความรู้จากคนสู่คน และจากคนสู่กระดาษ นั่นคือการองค์ความรู้มาบันทึกไว้ในกระดาษ หรือคอมพิวเตอร์เพื่อเผยแพร่ให้กับ คนที่สนใจได้ศึกษาและพัฒนาความรู้ต่อไป ปัจจัยที่ส่งผลสำเร็จต่อการรวมกลุ่มปฏิบัติการ คือ
1. การสร้างบรรยากาศของการทำงานร่วมกัน กลุ่มมีความเป็นกันเอง
2. ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน เป็นหัวใจสำคัญของการทำงานเป็นทีม สมาชิกทุกคนควรไว้วางใจกัน ซื่อสัตย์ต่อกัน สื่อสารกันอย่างเปิดเผย ไม่มีลับลมคมใน
3. การมอบหมายงานอย่างชัดเจน สมาชิกทุกคนงานเข้าใจวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และยอมรับภารกิจหลักของทีมงาน
4. การกำหนดบทบาทให้กับสมาชิกทุกคน สมาชิกแต่ละคนเข้าใจและปฏิบัติตามบทบาทของตนเอง และเรียนรู้เข้าใจในบทบาทของผู้อื่นในกลุ่ม ทุกบทบาทมี
ความสำคัญ รวมทั้งบทบาทในการช่วยรักษาความเป็นกลุ่มให้มั่นคง เช่น การประนีประนอม การอำนวย ความสะดวก การให้กำลังใจ เป็นต้น
5. วิธีการทำงาน สิ่งสำคัญที่ควรพิจารณา คือ
1) การสื่อความ การทำงานเป็นกลุ่มต้องอาศัยบรรยากาศ การสื่อความที่ชัดเจน เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ทุกคนกล้าเปิดใจแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันจนเกิดความเข้าใจ และนำไปสู่การทำงานที่มีประสิทธิภาพ
2) การตัดสินใจ การทำงานเป็นกลุ่มต้องใช้ความรู้ในการตัดสินใจร่วมกัน เมื่อ เปิดโอกาสให้สมาชิกในกลุ่มแสดงความคิดเห็น และร่วมตัดสินใจแล้ว สมาชิกย่อมเกิดความ ผูกพันที่จะทำให้สิ่งที่ตนเองได้มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น
3) ภาวะผู้นำ คือ บุคคลที่ได้รับการยอมรับจากผู้อื่น การทำงานเป็นกลุ่มควร ส่งเสริมให้สมาชิกในกลุ่มทุกคนได้มีโอกาสแสดงความเป็นผู้นำ เพื่อให้ทุกคนเกิดความรู้สึกว่า ได้รับการยอมรับ จะได้รู้สึกว่าการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มนั้นมีความหมายปรารถนาที่จะทำอีก
4) การกำหนดกติกาหรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่จะเอื้อต่อการทำงานร่วมกันให้บรรลุเป้าหมาย ควรเปิดโอกาสให้สมาชิกได้มีส่วนร่วมในการกำหนดกติกา หรือกฎเกณฑ์ที่จะนำมาใช้ร่วมกัน
6. การมีส่วนร่วมในการประเมินผลการทำงานของกลุ่ม ควรมีการประเมินผลการทำงานเป็นระยะในรูปแบบทั้งไม่เป็นทางการและเป็นทางการ โดยสมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมใน การประเมินผลงาน ทำให้สมาชิกได้รับทราบความก้าวหน้าของงาน ปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้น รวมทั้งพัฒนากระบวนการทำงาน หรือการปรับปรุงแก้ไขร่วมกัน ซึ่งในที่สุดสมาชิกจะได้ทราบ ว่าผลงานบรรลุเป้าหมาย และมีคุณภาพมากน้อยเพียงใด
สารสนเทศการจัดการความรู้ด้วยการรวมกลุ่มปฏิบัติการ หมายถึงการรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนางาน พัฒนาคน หรือพัฒนากลุ่ม ซึ่งอาจจัดทำเป็นเอกสารคลังความรู้ของกลุ่ม หรือเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ เพื่อแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ และนำมาใช้ประโยชน์ในการทำงาน
ตัวอย่างของสารสนเทศจากการรวมกลุ่มปฏิบัติการ ได้แก่
1. บันทึกเรื่องเล่า เป็นเอกสารที่รวบรวมเรื่องเล่า ที่แสดงให้เห็นถึงวิธีการทำงานให้ประสบผลสำเร็จ อาจแยกเป็นเรื่อง ๆ เพื่อให้ผู้ที่สนใจเฉพาะเรื่องได้ศึกษา
2. บันทึกการถอดบทเรียนหรือการถอดองค์ความรู้ เป็นการทบทวนสรุปผลการทำงานที่จัดทำเป็นเอกสาร อาจจัดทำเป็นบันทึกระหว่างการทำงานและหลังจากทำงานเสร็จแล้ว เพื่อให้เห็นวิธีการแก้ปัญหาในระหว่างการทำงาน และผลสำเร็จจากการทำงาน
3. วีซีดีเรื่องสั้น เป็นการจัดทำฐานข้อมูลความรู้ที่สอดคล้องกับสังคมปัจจุบัน ที่มีการใช้เครื่องอิเล็กทรอนิกส์กันอย่างแพร่หลาย การทำวีซีดีเป็นเรื่องสั้น เป็นการเผยแพร่ให้บุคคลได้เรียนรู้และนำไปใช้ในการแก้ปัญหา หรือพัฒนางานในโอกาสต่อไป
4. คู่มือการปฏิบัติงาน การจัดการความรู้ที่ประสบผลสำเร็จจะทำให้เห็นแนวทางของการทำงานที่ชัดเจน การจัดทำเป็นคู่มือเพื่อการปฏิบัติงาน จะทำให้งานมีมาตรฐานและผู้เกี่ยวข้องสามารถนำไปพัฒนางานได้
5. อินเทอร์เน็ต ปัจจุบันมีการใช้อินเทอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลาย และมีการสื่อสาร แลกเปลี่ยนความรู้ผ่านทางอินเทอร์เน็ตในเว็บไซต์ต่าง ๆ มีการบันทึกความรู้ทั้งในรูปแบบของ เว็บบล็อก เว็บบอร์ด และรูปแบบอื่น ๆ อินเทอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งเก็บข้อมูลจำนวนมากในปัจจุบัน เพราะคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา