กระบวนการในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ความรับผิดชอบในการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน เป็นสิ่งสำคัญที่จะนำผู้เรียนไปสู่การเรียนรู้ด้วยตนเอง เพราะความรับผิดชอบในการเรียนรู้ด้วยตนเองนั้น หมายถึง การที่ผู้เรียนควบคุมเนื้อหา กระบวนการ องค์ประกอบของสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ของตนเอง ได้แก่ การวางแผนการเรียนของตนเอง โดยอาศัยแหล่งทรัพยากรทางความรู้ต่าง ๆ ที่จะช่วย นำแผนสู่การปฏิบัติ แต่ภายใต้ความรับผิดชอบของผู้เรียน ผู้เรียนรู้ด้วยตนเองต้องเตรียมการวางแผน การเรียนรู้ของตน และเลือกสิ่งที่จะเรียนจากทางเลือกที่กำหนดไว้ รวมทั้งวางโครงสร้างของแผนการเรียนรู้ของตนอีกด้วย ในการวางแผนการเรียนรู้ ผู้เรียนต้องสามารถปฏิบัติงานที่กำหนด วินิจฉัยความช่วยเหลือที่ต้องการ และทำให้ได้ความช่วยเหลือนั้น สามารถเลือกแหล่งความรู้ วิเคราะห์ และวางแผนการเรียนทั้งหมด รวมทั้งประเมินความก้าวหน้าในการเรียนของตน
ลักษณะสำคัญในการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียน มีดังนี้
1. การมีส่วนร่วมในการวางแผน การปฏิบัติตามแผน และการประเมินผลการเรียนรู้ ได้แก่ ผู้เรียนมีส่วนร่วมวางแผนกิจกรรมการเรียนรู้บนพื้นฐานความต้องการของกลุ่มผู้เรียน
2. การเรียนรู้ที่คำนึงถึงความสำคัญของผู้เรียนเป็นรายบุคคล ได้แก่ ความแตกต่างในความ สามารถ ความรู้พื้นฐาน ความสนใจเรียน วิธีการเรียนรู้ จัดเนื้อหาและสื่อให้เหมาะสม
3. การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ได้แก่ การสืบค้นข้อมูล ฝึกเทคนิคที่จำเป็น เช่น การสังเกต การอ่านอย่างมีจุดประสงค์ การบันทึก เป็นต้น
4. การพัฒนาทักษะการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน ได้แก่ การกำหนดให้ผู้เรียนแบ่งความรับผิดชอบ ในกระบวนการเรียนรู้ การทำงานเดี่ยว และเป็นกลุ่มที่มีทักษะการเรียนรู้ต่างกัน
5. การพัฒนาทักษะการประเมินตนเองและการร่วมมือในการประเมินกับผู้อื่น ได้แก่ การให้ผู้เรียนเข้าใจความต้องการในการประเมิน ยอมรับการประเมินจากผู้อื่น เปิดโอกาสให้ประเมินหลายรูปแบบ
กระบวนการในการเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นวิธีการที่ผู้เรียนต้องจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยดำเนินการ ดังนี้
1. การวินิจฉัยความต้องการในการเรียน
2. การกำหนดจุดมุ่งหมายในการเรียน
3. การออกแบบแผนการเรียน
4. การดำเนินการเรียนรู้จากแหล่งวิทยาการ
5. การประเมินผล
การตอบสนองของผู้เรียนและครูตามกระบวนการในเรียนรู้ด้วยตนเอง มีดังนี้
กระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ประกอบด้วยขั้นตอน วินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้ของผู้เรียน กำหนดจุดมุ่งหมายในการเรียน วางแผนการเรียนโดยใช้สัญญาการเรียน เขียนโครงการเรียนรู้ ดำเนินการเรียนรู้และประเมินผลการเรียนรู้นั้น ผู้เรียนจะได้ประโยชน์จากการเรียนมากที่สุด “สัญญาการเรียน ( Learning Contract)” เป็นการมอบหมายภาระงานให้กับผู้เรียนว่า
จะต้องทำอะไรบ้าง เพื่อให้ได้รับความรู้ตามเป้าประสงค์ และผู้เรียนจะปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้น
คำว่า สัญญา โดยทั่วไปหมายถึง ข้อตกลงระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย หรือหลายฝ่ายว่าจะทำการหรืองดเว้นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ความจริงนั้นในระบบการจัดการเรียนรู้ก็มีการทำสัญญากันระหว่างครูกับผู้เรียน แต่ส่วนมากไม่ได้เป็นลายลักษณ์อักษรว่า ถ้าผู้เรียนทำได้อย่างนั้นแล้ว ผู้เรียนจะได้รับอะไรบ้างตามข้อตกลง สัญญาการเรียนจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถกำหนดแนวการเรียน ของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น ทำให้ประสบผลสำเร็จตามจุดมุ่งหมายและเป็นเครื่องยืนยันที่เป็นรูปธรรม
ท่านคงแปลกใจที่ได้ยินคำว่า “สัญญา” เพราะคำนี้เป็นคำที่คุ้นหูกันดีอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าท่านเคยได้ยินคำว่า “สัญญาการเรียน” หรือยัง คำว่าสัญญาการเรียนมีผู้เริ่มใช้เป็นคนแรกคือ Dr. M.S. Knowles ศาสตราจารย์ สอนวิชาการศึกษาผู้ใหญ่ มหาวิทยาลัย North Carolina State ในสหรัฐอเมริกา
คำว่า สัญญา แปลตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลว่า “ข้อตกลงกัน” ดังนั้น สัญญาการเรียน ก็คือข้อตกลงที่ผู้เรียนได้ทำไว้กับครูว่าเขาจะปฏิบัติอย่างไรบ้างในกระบวนการเรียนรู้เพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตรนั่นเอง สัญญาการเรียนเป็นรูปแบบของการเรียนรู้ที่แสดงหลักฐานของการเรียนรู้โดยใช้แฟ้มสะสมผลงานหรือ Portfolio
1. แนวคิด
การจัดการเรียนรู้ในระะบบ เป็นการเรียนรู้ที่ครูเป็นผู้กำหนดรูปแบบ เนื้อหา กิจกรรมเป็นส่วนใหญ่ ผู้เรียนเป็นแต่เพียงผู้ปฏิบัติตาม ไม่ได้มีโอกาสในการมีส่วนร่วมในการวางแผน
การเรียน นักการศึกษาทั้งในตะวันตกและแอฟริกา มองเห็นว่าระบบการศึกษาแบบนี้เป็นระบบการศึกษาของพวกจักรพรรดินิยมหรือเป็นการศึกษาของพวกชนชั้นสูงบ้าง เป็นระบบการศึกษาของผู้ถูกกดขี่บ้าง สรุปแล้ว ก็คือระบบการศึกษาแบบนี้ไม่ได้ฝึกคนให้เป็นตัวของตัวเอง ไม่ได้ฝึกให้คนรู้จักพึ่งตนเอง จึงมีผู้พยายามที่จะเปลี่ยนแนวคิดทางการศึกษาใหม่ อย่างเช่นระบบการศึกษาที่เน้นการฝึกให้คนได้รู้จักพึ่งตนเอง ในประเทศแทนซาเนีย การศึกษาที่ให้คนคิดเป็นในประเทศไทยเราเหล่านี้เป็นต้น รูปแบบของการศึกษา
ในอนาคต ควรจะมุ่งไปสู่ตัวผู้เรียนมากกว่าตัวผู้สอน เพราะว่าในโลกปัจจุบันวิทยาการใหม่ ๆ ได้เจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วมีหลายสิ่งหลายอย่างที่มนุษย์จะต้องเรียนรู้ ถ้าจะให้แต่มาคอยบอกกัน คงทำไม่ได้ ดังนั้นในการเรียนจะต้องมีการฝึกฝนให้คิดให้รู้จักการหาวิธีการที่ได้ศึกษาสิ่งที่คนต้องการ กล่าวง่าย ๆ ก็คือ ผู้เรียนที่ได้รับการศึกษาแบบที่เรียกว่าเรียนรู้เพื่อการเรียนในอนาคต
2. ทำไมจะต้องมีการทำสัญญาการเรียน
ผลจากการวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ พบว่าผู้ใหญ่จะเรียนได้ดีที่สุดก็ต่อเมื่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่ใช่การบอกหรือการสอนแบบที่เป็นโรงเรียน และผลจากการวิจัยทางด้านจิตวิทยายังพบ อีกว่า ผู้ใหญ่มีลักษณะที่เด่นชัดในเรื่องความต้องการที่จะทำอะไรด้วยตนเองโดยไม่ต้องมีการสอนหรือการชี้แนะมากนัก
อย่างไรก็ดีเมื่อพูดถึงระบบการศึกษาก็ย่อมจะต้องมีการกล่าวถึงคุณภาพของบุคคลที่เข้ามาอยู่ ในระบบการศึกษา จึงมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาเพื่อเป็นมาตรฐาน ดังนั้นถึงแม้จะ ให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองก็ตามก็จำเป็นจะต้องสร้างมาตรการขึ้นมาเพื่อการควบคุมคุณภาพของผู้เรียนเพื่อให้มีมาตรฐานตามที่สังคมยอมรับ เหตุนี้สัญญาการเรียนจึงเข้ามามีบทบาทในการเรียนการสอน เป็นการวางแผนการเรียนที่เป็นระบบ
ข้อดีของสัญญาการเรียน คือเป็นการประสานความคิดที่ว่าการเรียนรู้ ควรให้ผู้เรียนกำหนดและการศึกษาจะต้องมีเกณฑ์มาตรฐานเข้าด้วยกันเพราะในสัญญาการเรียนจะบ่งระบุว่าผู้เรียนต้องการเรียนเรื่องอะไรและจะวัดว่าได้บรรลุตามความมุ่งหมายแล้วนั้นหรือไม่อย่างไร มีหลักฐานการเรียนรู้อะไรบ้างที่บ่งบอกว่าผู้เรียนมีผลการเรียนรู้อย่างไร
3. การเขียนสัญญาการเรียน
การเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งเริ่มจากการจัดทำสัญญาการเรียนจะมีลำดับการดำเนินการ ดังนี้
ขั้นที่ 1 แจกหลักสูตรให้กับผู้เรียนในหลักสูตรจะต้องระบุ
จุดประสงค์ของรายวิชานี้
รายชื่อหนังสืออ้างอิงหรือหนังสือสำหรับที่จะศึกษาค้นคว้า
หน่วยการเรียนย่อย พร้อมรายชื่อหนังสืออ้างอิง
ครูอธิบาย และทำความเข้าใจกับผู้เรียนในเรื่องหลักสูตร จุดมุ่งหมายและหน่วยการเรียนย่อย
ขั้นที่ 2 แจกแบบฟอร์มของสัญญาการเรียน
ขั้นที่ 3 อธิบายวิธีการเขียนข้อตกลงในแบบฟอร์มแต่ละช่องโดยเริ่มจาก
จุดมุ่งหมาย
วิธีการเรียนรู้หรือแหล่งวิทยาการ
หลักฐาน
การประเมินผล
ขั้นที่ 4 ถามปัญหาและข้อสงสัย
ขั้นที่ 5 แจกตัวอย่างสัญญาการเรียนให้ผู้เรียนคนละ 1 ชุด
ขั้นที่ 6 อธิบายถึงการเขียนสัญญาการเรียน
ผู้เรียนลงมือเขียนข้อตกลงโดยผู้เรียนเอง โดยเขียนรายละเอียดทั้ง 4 ช่องในแบบฟอร์ม
สัญญาการเรียน นอกจากนี้ผู้เรียนยังสามารถระบุระดับการเรียนทั้งในระดับดี ดีเยี่ยม หรือปานกลาง ซึ่งผู้เรียนมีความตั้งใจที่จะบรรลุการเรียนในระดับดีเยี่ยมหรือมีความตั้งใจที่จะเรียนรู้ในระดับดี หรือพอใจ ผู้เรียนก็ต้องแสดงรายละเอียด ผู้เรียนต้องการแต่ระดับดี คือ ผู้เรียนต้องแสดงความสามารถตามวัตถุประสงค์ที่กล่าวไว้ในหลักสูตรให้ครบถ้วน การทำสัญญาระดับดีเยี่ยม นอกจากผู้เรียนจะบรรลุวัตถุประสงค์ตามหลักสูตรแล้ว ผู้เรียนจะต้องแสดงความสามารถพิเศษเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ อันมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักสูตร
ขั้นที่ 7 ให้ผู้เรียนและเพื่อนพิจารณาสัญญาการเรียนให้เรียบร้อย ต่อไปให้ผู้เรียนเลือกเพื่อน ในกลุ่ม 1 คน เพื่อจะได้ช่วยกันพิจารณาสัญญาการเรียนรู้ของทั้ง 2 คน
ในการพิจารณาสัญญาการเรียนให้พิจารณาตามหัวข้อต่อไปนี้
1. จุดมุ่งหมายมีความแจ่มชัดหรือไม่ เข้าใจหรือไม่ เป็นไปได้จริงหรือไม่บอกพฤติกรรมที่จะให้เกิดจริง ๆ หรือไม่
2. มีจุดประสงค์อื่นที่พอจะนำมากล่าวเพิ่มเติมได้อีกหรือไม่
3. แหล่งวิชาการและวิธีการหาข้อมูลเหมาะสมเพียงใด มีประสิทธิภาพเพียงใด
4. มีวิธีการอื่นอีกหรือไม่ ที่สามารถนำมาใช้เพื่อการเรียนรู้
5. หลักฐานการเรียนรู้มีความสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายเพียงใด
6. มีหลักฐานอื่นที่พอจะนำมาแสดงได้อีกหรือไม่
7. วิธีการประเมินผลหรือมาตรการที่ใช้วัดมีความเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด
8. มีวิธีการประเมินผลหรือมาตรการอื่นอีกบ้างหรือไม่ ในการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้
ขั้นที่ 8 ให้ผู้เรียนนำสัญญาการเรียนไปปรับปรุงให้เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง
ขั้นที่ 9 ให้ผู้เรียนทำสัญญาการเรียนที่ปรับปรุงแล้วให้ครูและที่ปรึกษาตรวจดูอีกครั้งหนึ่ง ฉบับที่เรียบร้อยให้ดำเนินการได้ตามที่เขียนไว้ในสัญญาการเรียน
ขั้นที่ 10 การเรียนก่อนที่จะจบเทอม 2 อาทิตย์ ให้ผู้เรียนนำแฟ้มสะสมงาน (แฟ้มเก็บข้อมูล Portfolio) ตามที่ระบุไว้ในสัญญาการเรียนมาแสดง
ขั้นที่ 11 ครูและผู้เรียนจะตั้งคณะกรรมการในการพิจารณาแฟ้มสะสมงานที่ผู้เรียนนำมาส่งและส่งคืนผู้เรียนก่อนสิ้นภาคเรียน
การจัดทำแฟ้มสะสมงาน (Portfolio) เป็นวิธีการสำคัญที่นำมาใช้ในการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเองโดยการจัดทำแฟ้มสะสมงานที่มีความเชื่อพื้นฐานที่สำคัญมาจากการให้ผู้เรียนเรียนรู้จากสภาพจริง (Authentic Learning) ซึ่งมีสาระสำคัญที่พอสรุปได้ดังนี้
1. ความเชื่อพื้นฐานของการเรียนรู้ตามสภาพจริง (Authentic Learning)
1.1 ความเชื่อเกี่ยวกับการจัดการศึกษา
มนุษย์มีสัญชาตญาณที่จะเรียนรู้ มีความสามารถและมีความกระหายที่จะเรียนรู้
ภายใต้บรรยากาศของสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยและการสนับสนุนจะทำให้มนุษย์สามารถที่จะริเริ่มและเกิดการเรียนรู้ของตนเองได้
มนุษย์สามารถที่จะสร้างองค์ความรู้จากการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นและจากสื่อที่มีความหมายต่อชีวิต
มนุษย์มีพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ ด้านสังคม และด้านสติปัญญาแตกต่างกัน
1.2 ความเชื่อเกี่ยวกับการเรียนรู้
การเรียนรู้จะเริ่มจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมไปสู่นามธรรมโดยผ่านกระบวนการการสำรวจตนเองการเสริมสร้างบรรยากาศของการเรียนรู้และการสร้างบริบทของสังคมให้ผู้เรียนได้ปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนอื่น
การเรียนรู้มีองค์ประกอบทางด้านปัญญาหลายด้านทั้งในด้านภาษา คำนวณ พื้นที่ ดนตรี การเคลื่อนไหว ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและอื่น ๆ
การแสวงหาความรู้จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นถ้าอยู่ในบริบทที่มีความหมาย ต่อชีวิต
การแสวงหาความรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตลอดชีวิต
1.3 ความเชื่อเกี่ยวกับการสอน
การสอนจะต้องยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
การสอนจะเป็นทั้งรายบุคคลและรายกลุ่ม
การสอนจะยอมรับวัฒนธรรมที่แตกต่างกันและวิธีการเรียนรู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้เรียนแต่ละคน
การสอนกับการประเมินเป็นกระบวนการต่อเนื่องและเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน
การสอนจะต้องตอบสนองต่อการขยายความรู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดของหลักสูตรสาขาต่าง ๆ
1.4 ความเชื่อเกี่ยวกับการประเมิน
การประเมินแบบนำคะแนนของผู้เรียนจำนวนมากมาเปรียบเทียบกัน มีคุณค่าน้อยต่อการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียน
การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ไม่ใช่สิ่งสะท้อนความสามารถที่มีอยู่ในตัวผู้เรียน แต่จะสะท้อนถึงการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อมและความสามารถที่แสดงออกมา
การประเมินตามสภาพจริงจะให้ข้อมูลและข่าวสารที่เที่ยงตรงเกี่ยวกับผู้เรียนและกระบวนการทางการศึกษา
2. ความหมายของการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment)
การประเมินตามสภาพจริง เป็นกระบวนการของการสังเกตการณ์บันทึก การจัดทำเอกสารที่
เกี่ยวกับงานหรือภารกิจที่ผู้เรียนได้ทำ รวมทั้งแสดงวิธีการว่าได้ทำอย่างไร เพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับการตัดสินใจทางการศึกษาของผู้เรียนนั้น การประเมินตามสภาพจริงมีความแตกต่างจากการประเมินโครงการตรงที่การประเมินแบบนี้ได้ให้ความสำคัญกับผู้เรียนมากกว่าการให้ความสำคัญกับผลอันที่จะเกิดขึ้นจากการดูคะแนนของกลุ่มผู้เรียนและแตกต่างจากการทดสอบเนื่องจากเป็นการวัดผลการปฏิบัติจริง (Authentic Assessment) การประเมินตามสภาพจริงจะได้ข้อมูลสารสนเทศเชิงคุณภาพอย่างต่อเนื่องที่สามารถนำมาใช้ในการแนะแนวการเรียนสำหรับผู้เรียนแต่ละคนได้เป็นอย่างดี
3. ลักษณะที่สำคัญของการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment)
ให้ความสำคัญขอบการพัฒนาและการเรียนรู้
เน้นการค้นหาศักยภาพนำเอามาเปิดเผย
ให้ความสำคัญกับจุดเด่นของผู้เรียน
ยืดถือเหตุการณ์ในชีวิตจริง
เน้นการปฏิบัติจริง
จะต้องเชื่อมโยงกับการเรียนการสอน
มุ่งเน้นการเรียนรู้อย่างมีเป้าหมาย
เป็นกระบวนการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในทุกบริบท
ช่วยให้มีความเข้าใจในความสามารถของผู้เรียนและวิธีการเรียนรู้
ช่วยให้เกิดความร่วมมือทั้งผู้ปกครอง พ่อแม่ ครู ผู้เรียนและบุคคลอื่น ๆ
4. การประเมินผลการเรียนโดยใช้แฟ้มสะสมงาน
แฟ้มสะสมงาน เป็นวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง ซึ่งเป็นวิธีการที่ครูได้นำวิธีการมาจากศิลปิน (artist) มาใช้ในทางการศึกษาเพื่อการประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยแฟ้มสะสมงานมีประโยชน์ที่สำคัญคือ
ผู้เรียนสามารถแสดงความสามารถในการทำงานโดยที่การสอบทำไม่ได้
เป็นการวัดความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียน
ช่วยให้ผู้เรียนสามารถแสดงให้เห็นกระบวนการเรียนรู้ (Process) และผลงาน (Product)
ช่วยให้สามารถแสดงให้เห็นการเรียนรู้ที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรม
แฟ้มสะสมงานไม่ใช่แนวคิดใหม่ เป็นเรื่องที่มีมานานแล้วใช้โดยกลุ่มเขียนภาพ ศิลปิน สถาปนิก นักแสดง และนักออกแบบ โดยแฟ้มสะสมงานได้ถูกนำมาใช้ในทางการศึกษาในการเรียนการสอนทางด้านภาษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และวิชาอื่น ๆ ทั้งนี้แฟ้มสะสมงานเป็นวิธีการที่สะท้อนถึงวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ซึ่งเป็นกระบวนการของการรวบรวมหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าผู้เรียนสามารถทำอะไรได้บ้างและเป็นกระบวนการของการแปลความจากหลักฐานที่ได้และมีการตัดสินใจหรือให้คุณค่าการประเมินผลตามสภาพจริงเป็นกระบวนการที่ใช้เพื่ออธิบายถึงภาระงานที่แท้จริงหรือ real task ที่ผู้เรียนจะต้องปฏิบัติหรือสร้างความรู้ ไม่ใช่สร้างแต่เพียงข้อมูลสารสนเทศ
การประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมงานเป็นวิธีการของการประเมินที่มีองค์ประกอบสำคัญคือ
ให้ผู้เรียนได้แสดงการกระทำ - ลงมือปฏิบัติ
สาธิตหรือแสดงทักษะออกมาให้เห็น
แสดงกระบวนการเรียนรู้
ผลิตชิ้นงานหรือหลักฐานว่าเขาได้รู้และเขาทำได้
ซึ่งการประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมงานหรือการประเมินตามสภาพจริง โดยวิธีการดังกล่าวนี้จะมีลักษณะที่สำคัญ คือ
ชิ้นงานที่มีความหมาย (meaningful tasks)
มีมาตรฐานที่ชัดเจน (clear standard)
มีการให้สะท้อนความคิด ความรู้สึก (reflections)
มีการเชื่อมโยงกับชีวิตจริง (transfer)
เป็นการปรับปรุงและบูรณาการ (formative integrative)
เกี่ยวข้องกับการคิดในลำดับที่สูงขึ้นไป (high – order thinking)
เน้นการปฏิบัติที่มีคุณภาพ (quality performance)
ได้ผลงานที่มีคุณภาพ (quality product)
5. ลักษณะของแฟ้มสะสมงาน
นักการศึกษาบางท่านได้กล่าวว่าแฟ้มสะสมงานมีลักษณะเหมือนกับจานผสมสี ซึ่งจะเห็นได้ว่าจานผสมสีเป็นส่วนที่รวมเรื่องสีต่าง ๆ ทั้งนี้แฟ้มสะสมงานเป็นสิ่งที่รวมการประเมินแบบต่าง ๆ เพื่อการวาดภาพให้เห็นว่าผู้เรียนเป็นอย่างไร แฟ้มสะสมงานไม่ใช่ถังบรรจุสิ่งของ (Container) ที่เป็นที่รวมของสิ่งต่าง ๆ ที่จะเอาอะไรมากองรวมไว้หรือเอามาใส่ไว้ในที่เดียวกัน แต่แฟ้มสะสมงานเป็นการรวบรวมหลักฐานที่มีระบบและมีการจัดการโดยครูและผู้เรียนเพื่อการตรวจสอบความก้าวหน้าหรือการเรียนรู้ด้านความรู้ทักษะและเจตคติในเรื่องเฉพาะวิชาใดวิชาหนึ่ง
6. จุดมุ่งหมายของการประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมงาน มีดังนี้
ช่วยให้ครูได้รวบรวมงานที่สะท้อนถึงความสำคัญของผู้เรียนในวัตถุประสงค์ใหญ่ของการเรียนรู้
ช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถจัดการเรียนรู้ของตนเอง
ช่วยให้ครูได้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในความก้าวหน้าของผู้เรียน
ช่วยให้ผู้เรียนได้เข้าใจตนเองมากยิ่งขึ้น
ช่วยให้ทราบการเปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้า ตลอดช่วงระหว่างการเรียนรู้
ช่วยให้ผู้เรียนได้ตระหนักถึงประวัติการเรียนรู้ของตนเอง
ช่วยทำให้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างการสอนกับการประเมิน
7. กระบวนการของการจัดทำแฟ้มสะสมงาน
การจัดทำแฟ้มสะสมงาน มีกระบวนการหรือขั้นตอนอยู่หลายขั้นตอน แต่ทั้งนี้ก็สามารถปรับปรุงได้อย่างเหมาะสม Kay Burke (1994) และคณะ ได้กำหนดขั้นตอนของการทำแฟ้มสะสมงานไว้ 9 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 การรวบรวมและจัดระบบของผลงาน
ขั้นที่ 2 การเลือกผลงานหลักตามเกณฑ์ที่กำหนด
ขั้นที่ 3 การสร้างสรรค์แฟ้มสะสมผลงาน
ขั้นที่ 4 การสะท้อนความคิด หรือความรู้สึกต่อผลงาน
ขั้นที่ 5 การตรวจสอบเพื่อประเมินตนเอง
ขั้นที่ 6 การประเมินผล ประเมินค่าของผลงาน
ขั้นที่ 7 การแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับบุคคลอื่น
ขั้นที่ 8 การคัดสรรและปรับเปลี่ยนผลงานเพื่อให้ทันสมัย
ขั้นที่ 9 การประชาสัมพันธ์ หรือจัดนิทรรศการแฟ้มสะสมงาน
8. รูปแบบ (Model) ของการทำแฟ้มสะสมงาน สามารถดำเนินการได้ดังนี้
สำหรับผู้เริ่มทำไม่มีประสบการณ์มาก่อนควรใช้ 3 ขั้นตอน
ขั้นที่ 1 การรวบรวมผลงาน
ขั้นที่ 2 การคัดเลือกผลงาน
ขั้นที่ 3 การสะท้อนความคิด ความรู้สึกในผลงาน
สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ใหม่ ๆ ควรใช้ 6 ขั้นตอน
ขั้นที่ 1 กำหนดจุดมุ่งหมาย
ขั้นที่ 2 การรวบรวม
ขั้นที่ 3 การคัดเลือกผลงาน
ขั้นที่ 4 การสะท้อนความคิดในผลงาน
ขั้นที่ 5 การประเมินผลงาน
ขั้นที่ 6 การแลกเปลี่ยนกับผู้เรียน
สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์พอสมควร ควรใช้ 9 ขั้นตอนดังที่กล่าวข้างต้น
9. การวางแผนทำแฟ้มสะสมงาน
การวางแผนและการกำหนดจุดมุ่งหมาย คำถามหลักที่จะต้องทำให้ชัดเจน
________ ทำไมจะต้องให้ผู้เรียนรวบรวมผลงาน
________ ทำแฟ้มสะสมงานเพื่ออะไร
________ จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการทำแฟ้มสะสมงาน คืออะไร
________ การใช้ แฟ้มสะสมงานในการประเมินมีข้อดี ข้อเสียอย่างไร
แฟ้มสะสมงานไม่ใช่เป็นเพียงการเรียนการสอนหรือการประเมินผล แต่เป็นทั้งกระบวนการเรียนการสอนและการวัดผลประเมินผล
แฟ้มสะสมงาน เป็นกระบวนการที่ทำให้ผู้เรียนเป็นผู้ที่ลงมือปฏิบัติเองและเรียนรู้ด้วยตนเอง
การใช้แฟ้มสะสมงานในการประเมินจะมีหลักสำคัญ 2 ประการ
________ เนื้อหา ต้องเกี่ยวกับเนื้อหาที่สำคัญในหลักสูตร
________ การเรียนรู้ ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติเอง โดยมีการบูรณาการที่จะต้องสะท้อนกระบวนการเรียนรู้ ทั้งในเรื่องการอ่าน การเขียน การฟัง การแก้ปัญหา และการ คิดระดับที่สูงกว่าปกติ
10. การเก็บรวบรวมชิ้นงานและการจัดแฟ้มสะสมงาน
ความหมายของแฟ้มสะสมงานคือ การรวบรวมผลงานของผู้เรียนอย่างมีวัตถุประสงค์เพื่อการแสดงให้เห็นความพยายาม ความก้าวหน้าและความสำเร็จของผู้เรียนในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
วิธีการเก็บรวบรวม สามารถจัดให้อยู่ในรูปแบบของสิ่งต่อไปนี้
________ แฟ้มงาน สมุดบันทึก ตู้เก็บเอกสาร กล่อง อัลบั้ม แผ่นดิสก์
วิธีการดำเนินการเพื่อการรวบรวม จัดทำได้โดยวิธีการ ดังนี้
________ รวบรวมผลงานทุกชิ้นที่จัดทำเป็นแฟ้มสะสมงาน
________ คัดเรื่องผลงานเพื่อใช้ในแฟ้มสะสมงาน
________ สะท้อนความคิดในผลงานที่คัดเรื่องไว้
รูปแบบของแฟ้มสะสมงาน อาจมีองค์ประกอบดังนี้
________ สารบัญและแสดงประวัติผู้ทำแฟ้มสะสมงาน
________ ส่วนที่แสดงวัตถุประสงค์/จุดมุ่งหมาย
________ ส่วนที่แสดงชิ้นงานหรือผลงาน
________ ส่วนที่สะท้อนความคิดเห็นหรือความรู้สึก
________ ส่วนที่แสดงการประเมินผลงานด้วยตนเอง
________ ส่วนที่แสดงการประเมินผล
________ ส่วนที่เป็นภาคผนวก ข้อมูลประกอบอื่น ๆ
วีดิโอจาก : Sprouts การเรียนรู้