รายได้ หมายถึง ผลตอบแทนที่กิจการได้รับจากการขายสินค้าหรือบริการตามปกติของกิจการรวมทั้งผล ตอบแทนอื่น ๆ ที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานตามปกติ รายได้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. รายได้จากการขาย (Sales) หมายถึง รายได้ที่เกิดจากการขายสินค้าหรือบริการอันเป็นรายได้จากการ ดำเนินงานตามปกติ เช่น กิจการซื้อขายสินค้า รายได้ของกิจการ คือ รายได้จากการขายสินค้า ส่วนกิจการให้บริการ เช่น ซ่อมเครื่องไฟฟ้า รายได้ของกิจการ คือ รายได้ค่าซ่อม
2. รายได้อื่น (Other incomes) หมายถึง รายได้ที่มิได้เกิดจากการดำเนินงานตามปกติของกิจการซึ่งเป็น รายได้ที่ไม่ใช้รายได้จากการขายสินค้าหรือบริการนั่นเอง
ทรัพยากรในครอบครัวครอบคลุม รายได้ ทรัพย์สิน ความรู้ และความสามารถที่จะทำเงินของสมาชิก เมื่อครอบครัว มีรายได้และทรัพย์สิน การจัดสรรงบประมาณการใช้จ่ายจะประกันความเจริญรุ่งเรืองและป้องกันความ แตกร้าวของ ครอบครัว รายได้ของครอบครัวอาจมาจากเงินเดือน เงินค่าตอบแทน เงินมรดก เงินรางวัล และเงินหรือ สิ่งของที่ได้รับ โดยเสน่หา ทรัพย์สินของครอบครัวประกอบด้วย ที่ดิน บ้าน เครื่องประดับบ้าน เสื้อผ้า เครื่องใช้ในบ้าน และเครื่องยนต์กลไก ต่าง ๆ รวมทั้งเครื่องมือที่เป็นปัจจัยในการผลิตที่จะนำรายได้มาสู่ครอบครัว การให้ได้มาซึ่ง ทรัพยากรและการใช้จ่ายทรัพยากรต้องมุ่งให้เกิดประโยชน์ต่อสมาชิกของครอบครัวอย่างสูงสุด จึงจำเป็นจะต้องมี การวางแผนครอบคลุมและดำเนินการใช้อย่างระมัดระวังและรัดกุม
ในฐานะหน่วยธุรกิจ ครอบครัวต้องมีการวางแผนกำหนดโครงการจัดการงบประมาณรายรับรายจ่าย ให้มี ทรัพยากรเพียงพอที่จะซื้อหาสิ่งที่ครอบครัวต้องการ เพื่อความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรือง และความก้าวหน้าของ ครอบครัวในอนาคต
1. รายได้ของครอบครัว รายได้ หมายถึง เงิน สิ่งของ หรือรางวัลที่เป็นผลมาจากการทำงานให้บริการ หรือ การลงทุน แบ่งเป็น 3 ประการ คือ รายได้แท้ รายได้เป็นเงินตรา และรายได้ทางใจ
ก. รายได้แท้ หมายถึง สิ่งที่สมาชิกแต่ละครอบครัวได้รับซึ่งสามารถตีค่าเทียบเป็นเงินได้ แม้จะไม่ทำให้ เงินทองของครอบครัวเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ช่วยลดค่าใช้จ่ายและอาจได้รับสิ่งตอบแทน การลดค่าใช้จ่าย เช่น
- ซ่อมรถยนต์เอง สามารถประหยัดเงินได้ 150 บาท
- ปลูกผักส่วนครัวรับประทานเอง สามารถประหยัดเงินได้เดือนละ 40 บาท
- ขึ้นรถเมล์ไปทำงาน ประหยัดเงินได้เดือนละ 1,500 บาท เพราะไม่ต้องจ่ายเงินค่าเติมน้ำมันรถยนต์
- การที่พ่อแม่ช่วยกันทำงานบ้านโดยไม่ต้องจ้างคนรับใช้
ค่าตอบแทน เช่น ช่วยชาวบ้านเกี่ยวข้าวได้ค่าตอบแทนเป็นข้าว 10 ถัง ช่วยเพื่อนบ้านทำงานบ้านเลยได้กินข้าวฟรี ช่วยเหลือครูผู้สอน ทำให้ได้เรียนหนังสือโดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน
ข. รายได้เป็นเงินตรา หมายถึง รายได้ที่สมาชิกในครอบครัวได้มาจากการทำงาน การลงทุน และ การบริการ ซึ่งอยู่ในรูปเงินตราทุกรูปแบบ เช่น ธนบัตร เช็ค ตั๋วเงิน ฯลฯ รวมทั้งดอกผลที่เกิดขึ้นจากการฝากหรือ ออมทรัพย์เงิน ตรากับสถาบันการเงิน รายได้เป็นเงินตราอาจเป็นรายรับรายวัน รายเดือน รายปี หรือตามโอกาสที่ พึงได้รับรายได้นั้น ๆ
ค. รายได้ทางใจ หมายถึง รายได้ที่ทำให้สมาชิกในครอบครัวมีความสุขทางใจ เช่น การทำสิ่งของเครื่องใช้ ในบ้านเอง แม้จะสวยสู้กับที่วางในตลาดไม่ได้ แต่ก็ทำให้สมาชิกในครอบครัวอิ่มใจการทำงานเต็มเวลาของแม่บ้านแม้ จะตีค่าไม่ได้ แต่ก็ทำให้แม่บ้านสบายใจ เมื่อมีบ้านสะอาดน่าอยู่และเห็นรอยยิ้มของพ่อบ้าน และลูก ๆ เมื่อกลับบ้านใน ตอนเย็น เป็นต้น
หมายถึง ส่วนหนึ่งของรายได้ปัจจุบันที่ไม่ได้ใช้จ่ายไปเพื่อการบริโภคหากแต่เก็บไว้โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อการใช้จ่ายต่างๆในอนาคต การใช้เงินออมอาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น ถือไว้เป็นเงินสด นำเงินออมไปฝากธนาคาร หรือนำเงินออมไปซื้อหลักทรัพย์ เป็นต้น ขนาดของเงินออมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ได้แก่
1. ขนาดของรายได้ ถ้าบุคคลมีรายได้เพิ่มขึ้นการออมก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
2. การคาดการณ์เกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ถ้าผู้มีรายได้คาดว่าในอนาคตจะมีรายได้มากก็อาจจะเก็บออมใน ปัจจุบันน้อยลง
3. อัตราดอกเบี้ย ถ้าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงจะจูงใจให้บุคคลเก็บเงินออมมากขึ้น อนึ่ง ยังมีอีกคำหนึ่งที่ใกล้เคียงกัน นั่นคือคำว่า การออม (Savings) ซึ่งหมายถึง การนำเงินออมไปลงทุนเพื่อ หาผลประโยชน์ตอบแทน ดังนั้นเงินออมที่เก็บไว้เป็นเงินสดหรือแปลงสภาพเป็นสินทรัพย์
การออมมีความหมายกว้างขวาง ที่รวมทั้งด้านการเงินและที่ไม่เกี่ยวกับการเงิน เช่น การออมทรัพย์ ออมทุน ออมทรัพยากร ออมทรัพย์สิน ออมน้ำใจ ออมจิตวิญญาณ เป็นต้น หากกล่าวเฉพาะการออมที่เกี่ยวกับการเงิน ครอบครัว หมายถึง การใช้จ่ายของบุคคลในครอบครัวอย่างมีเหตุผลเหมาะสมกับสถานภาพ อาจเขียนเป็นสูตร การออมได้ง่าย ๆ คือ
ถ้าผู้บริโภคคิดจะออมทรัพย์ ผู้บริโภคจะต้องรู้จักวิธีการออมทรัพย์ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเอง และ ระบบเศรษฐกิจส่วนรวม ผู้บริโภคจะต้องปฏิบัติตามหลักการออมทรัพย์ดังนี้
1. ต้องรู้จักเพิ่มพูนรายได้ ผู้บริโภคต้องมีความกระตือรือร้น ขยันขันแข็ง มานะอดทนในการประกอบสัมมาชีพ รู้จักคิดหาทางเพิ่มพูนรายได้ตลอดเวลา เพราะผู้มีรายได้มาก และรู้จักประหยัดการใช้จ่าย ย่อมมีโอกาสเก็บออมได้ มากกว่าผู้มีรายได้น้อย หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ครอบครัวหารายได้มากเท่าไรก็มีโอกาสประหยัดเงินได้มากเท่านั้น
2. ต้องปลูกฝังนิสัยการเก็บออม ผู้บริโภคควรต้องพยายามฝึกฝนตัวเองให้มีความสามารถที่ควบคุมการใช้จ่าย ของตน ฝึกเก็บออมเงินอย่างสม่ำเสมอจนเคยชินเป็นนิสัย ผู้บริโภคและครอบครัวที่มองการณ์ไกลซึ่งมีการพิจารณาถึง สิ่งที่จำเป็นและต้องการไว้ล่วงหน้า ทั้งระยะสั้นและระยะยาวอยู่เสมอ ย่อมจะทำให้การใช้เงินเป็นไปอย่างระมัดระวัง และมีเงินออมเพื่อการใช้จ่ายในอนาคตตามต้องการได้ นิสัยการเก็บเงินอมย่อมทำให้ผู้บริโภคมีการวางแผนการใช้จ่าย เงินที่ดี แม้ว่าผู้มีรายได้น้อยจะทำการออมได้ยาก แต่ถ้าหากได้ฝึกจนเป็นนิสัยก็ย่อมจะทำได้การเก็บออมจะทำได้เพียง ใดนั้นย่อมขึ้นอยู่กับความพยายามและความตั้งใจแน่วแน่ของผู้บริโภค แต่ละครอบครัวควรถือเป็นหน้าที่ที่จะช่วยกัน ออมในสิ่งที่ควรออมและในสิ่งที่สามารถทำได้ การเก็บออมคนละเล็กละน้อย ย่อมจะทำให้ครอบครัวมีเงินออมมากขึ้น หากไม่เชื่อใจว่าจะสามารถบังคับใจตนเองให้เก็บออมได้ก็อาจใช้วิธีการออมแบบบังคับทางอ้อม เช่น ฝากเงินประเภท ประจำกับธนาคาร การซื้อสลากออมสิน การประกันชีวิตหรือเข้าเป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ ฯลฯ จากวิธีการดังกล่าว ทำให้ผู้บริโภคสามารถมีเงินออมได้
3. รู้จักทำงบประมาณวางแผนการใช้เงิน ผู้บริโภคควรจะได้มีการวางแผนการใช้เงิน โดยวิธีการกำหนดวงเงิน ค่าใช้จ่ายปัจจุบันหรือวงเงินตามต้องการในอนาคต ทำประมาณการรายได้และรายจ่าย พิจารณารายการและจำนวน เงินรายจ่ายและทำบัญชีรายจ่ายประจำตัว และประจำครอบครัวตามรายจ่ายที่ต้องจ่ายจริงแต่ละเดือน
4. รู้จักสงเคราะห์คนอื่นเท่าที่จำเป็น ในเมื่อทุกคนเป็นหน่วยหนึ่งของสังคม ทุกคนก็มีรายจ่ายจำเป็นส่วนหนึ่ง เพื่องานสังคม เพื่อการกุศลหรือสาธารณะประโยชน์ส่วนรวม รายจ่ายส่วนนี้ผู้บริโภคควรกันเงินเอาไว้เท่าที่จำเป็น เช่น การสงเคราะห์บุคคลที่ด้อยกว่า งานแต่งงาน งานศพ งานบวชนาค การช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ฯลฯ รายจ่ายเพื่อ งานสังคมที่ไม่มีความจำเป็น ควรจะยกเว้นไปบ้าง