การสร้างเครื่องมือวิจัย

กำหนดวัตถุประสงค์การวิจัย

การกำหนดวัตถุประสงค์ในการวิจัย (Statement of research objectives) เมื่อผู้วิจัยตัดสินใจเกี่ยวกับสิ่งที่จะทำการวิจัยแล้ว ผู้วิจัยต้องกำหนดข้อความที่เป็นปัญหาและวัตถุประสงค์ในการวิจัยให้ชัดเจน การกำหนดวัตถุประสงค์ในการวิจัยเป็นการค้นหาคำตอบที่ต้องการจากงานวิจัย วิธีการกำหนดวัตถุประสงค์ที่นิยมใช้ที่สุดคือการตั้งสมมติฐานในการวิจัย

ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ( ทฤษฎี เอกสาร งานวิจัย) มีจุดมุ่งหมายเพื่อ

- มุ่งแสวงหาพื้นฐานทางทฤษฎีและแนวคิดต่างๆ

- มุ่งแสวงหาสถานภาพทางการวิจัย (อะไร เมื่อไร ที่ไหน ใคร อย่างไร)

- มุ่งวางแนวทางการวิจัยที่เหมาะสม (กำหนดกรอบแนวคิด สมมติฐานการวิจัย)

โดยจะศึกษาจาก การประมวลเอกสารที่เกี่ยวข้อง การตรวจสอบเอกสาร การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง วรรณคดีที่เกี่ยวข้อง ทฤษฎี เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการ ประมวลเอกสารที่เกี่ยวมีประโยชน์เพื่อ

- ทำให้ทราบว่าการวิจัยที่ใกล้เคียงกับการวัยของตนนั้นนักวิจัยคนอื่นได้จัดการแก้ปัญหาของเขาอย่างไร

- ทำให้นักวิจัยได้เรียนรู้การแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งจะเป็นแนวทางแก้ปัญหาที่ตนอาจประสบต่อไป

- ทำให้นักวิจัยทราบถึงแหล่งข้อมูลต่างๆ ที่ไม่เคยทราบมาก่อน

- ช่วยให้นักวิจัยมองเห็นการวิจัยของตนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการวิจัยอื่นๆ อย่างไร

- ช่วยให้ผู้วิจัยมีความคิดใหม่ๆ และวิธีการใหม่ๆ ในการทำวิจัย

- ช่วยให้นักวิจัยประเมินความพยายามของตนโดยเปรียบเทียบกับความพยายามของผู้อื่นในเรื่องที่ใกล้เคียงกัน

- กำหนดกรอบแนวคิดและตั้งสมมติฐาน นิยามศัพท์

กรอบแนวคิดในการวิจัย (Conceptual framework ) หมายถึง แนวคิดของผู้วิจัยที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นและตัวแปร ตาม ที่ใช้ศึกษาในการวิจัยครั้งนั้น ๆ โดยมีที่มาจากการทบทวนเอกสารวรรณกรรม แนวคิดทฤษฎี ตลอดจนผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แล้วนำมาเขียนเป็นแผนภาพเชื่อมโยงเพื่อแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่าง ตัวแปรที่ศึกษาในงานวิจัย ประโยชน์ของกรอบความคิดในการวิจัย

1. ช่วยชี้ให้เห็นทิศทางของการวิจัยและประเภทของตัวแปรต้นตัวแปรตาม

2. ช่วยชี้ความสัมพันธ์ของตัวแปรต้นและตัวแปรตาม

3. บอกแนวทางในการออกแบบการวิจัย

4. บอกแนวทางการกำหนดวัตถุประสงค์และสมมติฐานการวิจัย

5. บอกแนวทางการเลือกใช้เครื่องมือในการวิจัย

6. บอกแนวทางการเลือกใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล

7. บอกกรอบการแปรผลและอภิปรายผลการวิจัย

การกำหนดสมมุติฐาน หมายถึง การเขียนข้อความที่เป็นข้อคาดหวังเกี่ยวกับความ แตกต่างที่อาจเป็นไปได้ ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ซึ่งสมมุติฐานนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นจริงเสมอไป

คำนิยามศัพท์ หลักการให้คำนิยามตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยทุกตัวเป็นการให้คำนิยามเชิงปฏิบัติการ ที่ใช้ในการวิจัยเรื่องนั้น ๆ ทั้งนี้เนื่องจากคำศัพท์บางคำมีความหมายได้หลายคำจะให้เฉพาะความหมายที่ใช้ ในการวิจัยครั้งนี้เท่านั้น ความหมายที่ให้จะเป็นความหมายเชิงปฏิบัติการ เป็นคำจำกัดความที่ให้ไว้เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจตรงกันกับผู้วิจัย การให้ความหมายต้องทำอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ค้านกับแนวคิดทฤษฎี และมีความหมายที่แน่นอนชัดเจน วัดได้เป็นอย่าเดียวกันไม่ว่าใครวัด การให้คำนิยามศัพท์ มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ

1. เพื่อให้เกิดความคงที่ของตัวแปรที่ศึกษา ตลอดระยะเวลาของการวิจัย

2. เพื่อนำไปสู่การสร้างเครื่องมือวัดและวิธีการวัดตัวแปรนั้น ๆ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

กำหนดแบบการวิจัย

ลักษณะของแบบการวิจัย

แบบการวิจัยที่มีการทดลอง การออกแบบเป็นการกำหนดรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการทดลองที่จำเป็นดังนี้

- การกำหนดกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม

- กำหนดตัวแปรในการทดลอง

- เลือกแบบแผนแบบการทดลอง

- สร้างเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง

- ดำเนินการทดลองตามแผนแบบ

แบบการวิจัยเชิงสำรวจ

เป็น การวิจัยที่ไม่มีการสร้างสถานการณ์เชื่อมโยงใด ๆ กับข้อมูลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเป็นการค้นหาความจริงตามสภาพการณ์ปัจจุบัน ที่ปรากฏอยู่หรือให้เห็นว่ามีข้อเท็จจริง อย่างไรที่ปรากฏอยู่มีความสัมพันธ์กันอย่างไร โดยไม่มีการจัดกระทำเพื่อควบคุมตัวแปรใด ๆ รูปแบบการวิจัยแบบสำรวจจำแนกได้ดังนี้ การสำรวจเชิงบรรยาย การสำรวจเชิงเปรียบเทียบ การสำรวจเชิงสหสัมพันธ์ การสำรวจเชิงสาเหตุ

การออกแบบการวิจัยในการวิจัยเชิงสำรวจที่สำคัญคือ

- ออกแบบการเลือกตัวอย่าง

- ออกแบบการวัดค่าตัวแปร

- ออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูล

แบบการวิจัยเชิงพัฒนา

เป็นการวิจัยที่มุ่งเน้นที่จะนำผลการวิจัยมาเพื่อปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เพิ่ม

คุณภาพ ประสิทธิภาพ การทำงานปกติในองค์กรหรือหน่วยงานต่าง ๆ โดยอาศัยยุทธศาสตร์ วิธีการหรือเทคนิคต่าง ๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะธรรมชาติของงานหรือหน่วยงานนั้น ๆ

แบบการวิจัยเชิงประเมิน ( Evaluation Research )

การวิจัยเชิงประเมินผล ( Evaluation Research ) เป็นรูปแบบการวิจัยชนิดหนึ่ง เหมือนการวิจัยเชิงสำรวจ แต่การวิจัยเชิงประเมินผล เป็นวิธีการวิจัยที่มุ่งหาความรู้+ความจริงมาหาคุณค่า ของสิ่งที่วิจัยนั้นเพื่อให้ผู้บริหารคิดสนใจว่าความยุติโครงการหรือให้ดำเนินการต่อไป ในการวิจัยเชิงประเมินผลนั้น สามารถดำเนินการประเมินได้ใน 3 ระดับ

1. ก่อนการดำเนินงาน

2 . ระหว่างดำเนินงาน

3. สิ้นสุดโครงการ

กระบวนการและขั้นตอนการทำวิจัยเชิงประเมินผล

ขั้นที่ 1 เลือกโครงการและตั้งหัวข้อวิจัย

ขั้นที่ 2 ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง

ขั้นที่ 3 กำหนดปัญหา เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการประเมิน

ขั้นที่ 4 ออกแบบวิจัย วางแผนวิจัยประเมิน

ขั้นที่ 5 เก็บรวบรวมข้อมูล

ขั้นที่ 6 วิเคราะห์ข้อมูลและแปรผล

ขั้นที่ 7 การเสนอรายงานวิจัยเชิงประเมินผล

การนำทฤษฎีมากำหนดกรอบแนวคิดในการวิจัยเชิงประเมินผล ในการวิจัยเชิงประเมินโครงการนั้น ทฤษฎีที่นิยม นำมาใช้มากที่สุด คือทฤษฎี CIPP Model ของ Stufflebeanc หรือ CIPPO Model ของ นายธเนศ ต่วนชะเอม

C I P P O

C = Contexts บริบท ได้แก่ สภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง สิ่งแวดล้อม ปัญหาของพื้นที่ ความต้องการและความพร้อมของประชาชน

I = Input คือ โครงการ นั้นคือ เมื่อประเมินบริบทว่ามีความพร้อมและต้องการแล้วจึงนำโครงการสู่ชุมชน แล้วจึงประเมินโครงการนั้นว่ามีความเป็นได้มากน้อยเพียงใด เป้าหมายเป็นอย่างไร

P= Process คือกระบวนการในการดำเนินงานตามโครงการที่กำหนดไว้ นั้นคือ นัก วิจัยเชิงประเมินให้ทำการประเมินในหัวข้อต่อไปนี้ หลักการ/การวางแผน ,กิจกรรมและวิธีการขั้นตอนการดำเนินงาน, การร่วมมือ, วัสดุอุปกรณ์, งบประมาณ

P= Product คือผลผลิต เช่น จำนวนคน, เป้าหมายที่กำหนดไว้, ผลที่ได้รับ, มีนวัตกรรมใหม่ ๆ

O= Outcome คือ ผลลัพธ์ที่ตามมาจากโครงการนั้น เช่น ความสบายใจ, ความคุ้มค่า, การขยายเครือข่าย, ผลประโยชน์ที่ตามมาในภายหลัง ซึ่งอาจมีทั้งผลบวกและผลลบ

กำหนดประชากรและวิธีการสุ่มตัวอย่าง

ประชากร ในการวิจัยหมายถึง จำนวนทั้งหมดของกลุ่มบุคคล สัตว์ สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในขอบข่ายการวิจัย โดยบ่างออกเป็น 2 ประเภท

- ประชากรที่มีจำนวนจำกัด

- ประชากรที่มีจำนวนไม่จำกัด

ตัวอย่าง หมายถึง ประชากรบางส่วนหรือทั้งหมดที่ใช้เป็นตัวแทนในการศึกษาวิจัย วิธีการเลือกตัวอย่างแบ่งออกเป็น 2 วิธี

1. การเลือกตัวอย่างแบบไม่อาศัยความน่าจะเป็น เป็นการเลือกตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ สะดวก ปลอดภัยเช่น

- การเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง

- การเลือกตัวอย่างแบบกำหนดโควตา

- การเลือกตัวอย่างตามโอกาส

- การเลือกตัวอย่างตามสะดวก

การที่เลือกตัวอย่างโดยไม่ทราบค่าความน่าจะเป็นนี้ไม่เหมาะสมที่จะใช้การคำนวณค่าสถิติอนุมาน ในการวิเคราะห์ข้อมูล เพราะไม่ทราบค่า Sampling error จึงเหมาะสมที่จะใช้กับสถิติบรรยายต่าง ๆ

2. การเลือกตัวอย่างแบบทราบค่าความน่าจะเป็นการเลือกโดยการสุ่ม (Random) ที่แต่ละหน่วยของประชากรมีโอกาสได้รับการเลือกตัวอย่างเท่าเทียมกัน การเลือกตัวอย่างแบบนี้แบ่งออกเป็น 5 วิธี คือ

- การเลือกตัวอย่างโดยการสุ่ม เป็นวิธีการที่ง่าย ๆ แต่ประชากรต้องไม่ใหญ่มากนัก

- การเลือกตัวอย่างเป็นระบบ เป็นวิธีใช้ได้ดีในกรณีที่ประชากรมีขนาดใหญ่ที่มีการจัดระบบอย่างใดอย่างหนึ่ง

- การเลือกตัวอย่างแบบการจัดชั้น เป็นวิธีการเลือกตัวอย่างที่มีการจัดขั้นก่อน เพื่อให้ตัวอย่างที่ได้มาจากทุกชั้น

- การเลือกตัวอย่างแบบกลุ่ม เป็นวิธีการเลือกตัวอย่างที่มีการแบ่งประชากรออกเป็นกลุ่ม เช่นเดียวกับการจัดชั้นแต่ลักษณะจะไม่เหมือนกัน โดยการแบ่งแบบนี้ลักษณะภายในของประชากรแต่ละกลุ่มจะมีความแตกต่างกัน และแต่ละกลุ่มจะมีความคล้ายคลึงกัน แล้วจึงเลือกโดยการสุ่มจากกลุ่มเล็ก ๆ โดยใช้ทุกหน่วยของกลุ่มย่อยมาเป็นตัวอย่าง

- การเลือกตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน จะใช้เมื่อประชากรที่ศึกษามีขนาดใหญ่ ประกอบด้วยกลุ่มย่อย ๆ โดยในกลุ่มย่อย ๆ ประกอบด้วยหน่วยต่าง ๆ ที่มีลักษณะตามที่สนใจคล้าย ๆ กัน

สร้างเครื่องมือและหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ

การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือการวิจัย

ความเที่ยงตรง (Validity) หมายถึง ความสามารถวัดได้ตรงกับสิ่งที่ต้องการจะวัด และ วัดได้ครอบคลุมพฤติกรรมลักษณะที่ต้องการการกำหนดความเที่ยงตรงตามเนื้อหา นั้นจะต้องกำหนดนิยามตามทฤษฎีและแปลงเป็นนิยามเชิงปฏิบัติการ เพื่อหาตัวชี้วัด

ความเชื่อมั่น (Reliability) หมายถึง ความคงที่ในการวัดเมื่อวัดซ้ำ ๆ กันหลายครั้งจะให้ค่าเหมือนเดิมหรือใกล้เคียงกันการหาค่าความเชื่อมั่นมีหลายวิธีการดังนี้

1. วิธีการสอบซ้ำ

2. วิธีใช้ฟอร์มคู่ขนาน

3. วิธีหาความสอดคล้องภายใน

3.1 วิธีแบ่งครึ่ง

3.2 วิธีของคูเดอร์ ริชาร์ดสัน

3.3 วิธีสัมประสิทธิ์แอลฟ่า

อำนาจจำแนก (Discrimination) เครื่องมือการวิจัยที่ดีต้องสามารถจำแนกสิ่งต่าง ๆ ออกตามคุณลักษณะที่ต้องได้

ประสิทธิภาพ (Effciency) เครื่องมือการวิจัยที่มีประสิทธิภาพ หมายถึงมีประสิทธิภาพในการใช้ได้ง่ายสะดวก รวดเร็ว และประหยัดค่าใช้จ่ายการสร้างเครื่องมือให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานจึงต้องพิจารณากลุ่มเป้าหมายว่าจะใช้เครื่องมือกับกลุ่มใด ธรรมชาติหรือลักษณะพื้นฐานของกลุ่มเป้าหมายเป็นเช่นไร

การรวมรวมข้อมูล ( แหล่งปฐมภูมิ, แหล่งทุติยภูมิ)

ในการดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลผู้วิจัยจะต้องทราบว่าในการทำการวิจัยนั้นสามารถจะรวบรวมข้อมูลจากกลุ่ม ประชากรทั้งหมด หรือ สุ่มตัวอย่าง ซึ่งในการสุ่มตัวอย่างนั้นก็ต้องทราบว่าจะต้องสุ่มตัวอย่างโดยวิธีการใดที่จะให้ได้กลุ่มตัวอย่างที่เป็นตัวแทนที่ดีของ กลุ่มประชากร ข้อมูลที่ผู้วิจัยจะทำการรวบรวมนั้นมาจากไหน ปฐมภูมิ (Primary Source)ทุติยภูมิ (Secondary Source)

ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary data)

เป็นข้อมูลสถิติซึ่งเก็บรวบรวมมาก่อนแล้วเพื่อจุดมุ่งหมายอื่นซึ่งอาจจะเอามาใช้ประกอบในงานวิจัยได้ (Churchill. 1996 : 54) หรือหมายถึงข้อมูลที่ได้นัดพิมพ์มาแล้วเพื่อจุดมุ่งหมายอื่นไม่ใช่เพื่อจุดมุ่งหมายในการศึกษาปัจจุบัน (Kinnear and Tailor. 1996 : 856) ข้อมูลทุติยภูมิอาจจะอยู่ในระบบข้อมูลภายในธุรกิจ เช่น รายงานสำรวจการขายจากใบสั่งซื้อของลูกค้า อาจจะต้องอาศัยจากภายนอก เช่น ห้องสมุดธุรกิจ ข้อมูลสถิติของรัฐบาล รายงานจากสมาคมการค้า ฯลฯ

ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary data)

เป็นข้อมูลที่เก็บรวบรวมจากแหล่งข้อมูลเบื้องต้นซึ่งอาจจะเป็นข้อมูลที่เกิดจากคำถามในการวิจัย (Churchill. 1996 : 55) วิธีการในการวบรวมข้อมูลปฐมภูมิจะเกี่ยวข้องกับคำถามต่อไปนี้

(1) ควรรวบรวมโดยการสังเกตหรือการออกแบบแบบสอบถาม

(2) ควรจะมีวิธีการสังเกตอย่างไร

(3) การสำรวจด้วยตัวเองหรือใช้เครื่อง อิเล็กทรอนิกส์

(4) คำถามควรจะมีการบริหารโดยบุคคล โทรศัพท์ หรือใช้จดหมาย

การวิเคราะห์ข้อมูลการออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis Design)

การวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis of data) เป็นการจำแนกข้อมูลออกเป็นส่วนย่อย ๆ เพื่อจัดข้อมูลต่าง ๆ ให้เป็นระบบหมวดหมู่ แล้วใช้ค่าสถิติช่วยในการสรุปลักษณะของข้อมูลนั้น ๆ ตามลักษณะของตัวแปรที่ศึกษา ในกรณีที่เป็นข้อมูลเชิงปริมาณ จะ แตกต่างกับการวิเคราะห์ข้อมูลในงานวิจัยเชิงคุณภาพที่ใช้การวิเคราะห์โดยการ จำแนกชนิดและการเปรียบเทียบลักษณะของข้อมูลเพื่อหาความสัมพันธ์เกี่ยวโยงกัน ของปรากฏการณ์ต่างๆ โดยอาศัยกรอบแนวคิดและทฤษฎีช่วยในการสร้างข้อสรุปนั้น การเลือกใช้สถิติจะพิจารณาจาก

1. วัตถุประสงค์การวิจัย (เพื่อการบรรยาย, เพื่อเปรียบเทียบ, เพื่อหาความสัมพันธ์, เพื่อสร้างตัวแบบ)

2. หน่วยการวิเคราะห์ (เอกบุคคล, แบบกลุ่ม)

3. ระดับการวัดค่าตัวแปร (ระดับกลุ่ม, ระดับอันดับ, ระดับวง, ระดับอัตราส่วน)

4. การเลือกตัวอย่าง (ใช้การสุ่ม, ไม่มีการสุ่ม)

ดังนั้นเทคนิคการวิเคราะห์และแปลผลขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ดังนี้

1. การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ใช้วิธีการทางสถิติเป็นวิธีการในการวิเคราะห์ ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ

a. สถิติบรรยาย (Descriptive Statistics)การวิจัยที่มุ่งหมายเพื่อการบรรยายข้อมูลตัวอย่างหรือประชากรโดยไม่อ้างอิงไปถึงประชากรใด สามารถเลือกใช้สถิติบรรยายได้ดังนี้

1. การแจกแจงความถี่

2. การจัดตำแหน่งเปรียบเทียบ (Proportion, Rate, Ratio, Percentage)

3. การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง (Mean, Median, Mode)

4. การวัดการกระจาย (S.D., Q.D., C.V., Range)

5. การวัดความสัมพันธ์ (rxy , rt , rbis)

6. การวัดการถดถอย

b. สถิติอนุมาน (Inferential Statistics) หรือสถิติวิเคราะห์ซึ่งแยกย่อยออกเป็น 2 กลุ่มคือ

1. Non-Parametric Statistics

2. Parametric Statistics

2. การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้เทคนิควิธีการที่เรียกว่า การจำแนกกลุ่มข้อมูลเชิงคุณภาพ

การวางแผนการวิเคราะห์ข้อมูล

ในขั้นตอนของการวิเคราะห์ข้อมูลนั้นผู้วิจัยควรจะมีการวางแผนก่อนโดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของการวิจัยว่า ในแต่ละวัตถุประสงค์ของการวิจัยจะทำการวิเคราะห์อย่างไร ควรจะจัดกระทำข้อมูลอย่างไร และใช้ค่าสถิติใดช่วยในการหาคำตอบตามวัตถุประสงค์นั้น

การนำเสนอผล ( การเสนอรายงานการวิจัย)

บทที่ 1 บทนำ

ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา

วัตถุประสงค์การวิจัย

ขอบเขตการวิจัย

ข้อตกลงเบื้องต้น

ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย

บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง

ทฤษฎี แนวคิด และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง

กรอบแนวคิด

สมมุติฐานการวิจัย

นิยามศัพท์เฉพาะ

บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย

รูปแบบการวิจัย

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

การเก็บรวบรวมข้อมูล

การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้

บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ( เสนอตามวัตถุประสงค์และสมมุติฐาน)

บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล ข้อเสนอแนะ

สรุปผลการวิจัย

อภิปรายผล

ข้อเสนอแนะ( ต่อหน่วยงาน เพื่อการวิจัยครั้งต่อไป)