เก๊กฮวย หรือเรียกกันว่าจวี๋ฮัว (จีน), เบญจมาศหนู, เบญจมาศ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ตามสีดอก เช่น เก๊กฮวยพันธุ์ดอกสีเหลือง Chrysanthemum indicum Linn. และเก๊กฮวยพันธุ์ดอกสีขาว คือ Chrysanthemum morifolium Ramat ซึ่งพืชสมุนไพรชนิดนี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศจีน และได้มีการเผยแพร่ไปในต่างประเทศ เช่น กัมพูชา ลาว ญี่ปุ่น ไทย และฝั่งยุโรป พันธุ์ที่ได้รับความนิยมคิดเป็น 90% ของทั้งหมดจะเป็นเก๊กฮวยดอกขาว ประเทศไทยได้มีคนจีนนำเข้ามาปลูก ตั้งแต่รัชกาลที่ 2 โดยมีวรรณคดีเรื่องอิเหนาที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์เป็นหลักฐานเอาไว้ ทั้งนี้ หนังสืออักขราภิธานของหมอบัดเล ก็มีการกล่าวถึงเก๊กฮวยด้วยเช่นกัน
ลักษณะทั่วไปของเก๊กฮวยนั้นจะจัดอยู่ในตระกูลพืชล้มลุกที่มีความสูงประมาณ 30 – 90 เซนติเมตร มีกิ่งก้าน มีขนอ่อนปกคลุม แต่กิ่งก้านไม่แตกมาก ใบสีเขียวอ่อนนุ่มมีขนอ่อน ยาวรี ขอบใบจัก ซึ่งดอกออกตรงปลายกิ่งทั้งช่อ หรือดอกเดี่ยวเลย ขณะที่กลุ่มดอกมีหลากสี ไม่ว่าจะเป็น ขาว ม่วง เหลือง แดง ฯลฯ แต่หลัก ๆ แบ่งชัดเจนได้ 2 ชนิด คือ
ดอกเก๊กฮวยเหลือง : จะมีรสขม กลีบดอกเป็นสีเหลือง สามารถใช้สำหรับต้ม หรือใช้งานอื่น ๆ ได้ตามต้องการ
ดอกเก๊กฮวยขาว : จะถูกแบ่งย่อยออกเป็นอีก 2 ประเภท คือ
เก๊กฮวยดอกเล็ก ที่จะมีลำต้นตรง อ่อน เป็นพุ่มเล็กดอกมีขนาด 4.5 เซนติเมตร เล็กกว่าพันธุ์แรก ส่วนของกลีบดอกจะมี 6 – 7 ชั้น กลีบดอก 120 กลีบ กลิ่นหอมมาก
เก๊กฮวยขาวดอกใหญ่ ที่จะเป็นพุ่มใหญ่ ตรง ลำต้นแข็งแรง ใบสีเขียวเข้ม ใหญ่ กลีบดอก 5 – 6 ชั้น ดอกมีสีขาว ประมาณ 4.7 – 5 เซนติเมตร รวม ๆ แล้วมี 90 กลีบ ดอกแห้งไวมากถ้านำมาตากแดด
สำหรับการปลูกเก๊กฮวยนั้น มีหลากหลายไม่ว่าจะเป็นการปักชำ หว่านเมล็ดเพื่อรอให้แตกยอด หรือโน้มกิ่งทับดิน แต่ถ้าจะเสนอเป็นวิธีปลูกที่ง่ายและเป็นที่นิยมที่สุดคือ “การปักชำ”
หลังจากที่ได้พิจารณาและคัดสรรฟูมฟักต้นเก๊กฮวยที่เหมาะสมกับการนำมาปลูก หรือจะเรียกว่าอนุบาลต้นกล้าด้วยระยะเวลา 2 เดือน
ให้ตัดยอดมาเพื่อทำการปักชำ การตัดยอดจะมีให้นับจำนวนจากยอดลงมา 8 ใบ แล้วจึงตัด เพื่อให้มีกิ่งชำ 8 ใบ ตัดแต่งเอา 2 ใบล่างสุดออก เพื่อให้การปักชำลงดินสมบูรณ์แบบไม่มีใบไม้ติด
นำกิ่งที่มี 6 ใบไปปักลงในถาดหลุมที่ดินผสมแกลบดำอัตราส่วนคิดเป็น 1 : 1 แล้วตั้งไว้ในที่ร่ม ไม่มีแสงแดดส่องถึงจัด ๆ
รดน้ำเป็นประจำต่อเนื่องอย่างน้อย 15 วัน
ระหว่างนั้นเราก็มาเตรียมพื้นที่ปลูก โดยไถดินแบบละเอียด และขึ้นแปลงที่มีขนาดกว้าง 1.20 เซนติเมตร และยาวไม่ควรเกิน 24 เมตร เว้นต้นปลูกห่างกัน 30 x 30 เซนติเมตร ก็จะมีได้หน้ากว้าง 4 ต้น และด้านยาวต่อ ๆ ลงไป 80 ต้น
การปลูกเก๊กฮวยช่วง 7 วันแรกต้นกล้าจะยังไม่ค่อยแข็งแรง ต้องรดน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า – เย็น หลังผ่านไปก็รดน้ำ 1 ครั้งต่อวัน (ช่วงเช้า)
จากนั้น 3 – 5 วันก็ทำการใส่ปุ๋ยได้เลยอัตราส่วนปุ๋ยหมัก 1 ลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร จะฉีด หรือหมักกับกากพืชมาใส่ที่โคนต้นก็ได้ ตามด้วยใส่ปุ๋ยน้ำหมักไปอีก 15 วัน แล้วจึงถึงระยะเก็บเกี่ยว อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่รอการเก็บเกี่ยวสามารถทำการตัดแต่งพุ่มใบให้เหมาะสมได้
ดังที่เราส่วนใหญ่คุ้นเคยกันดีว่า ผู้คนมักจะนำเก๊กฮวยมาทำเป็นน้ำสมุนไพรหรือน้ำหวานเพื่อใช้ดื่ม เพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย ช่วยลดความดันโลหิต ต้านอาการอักเสบของร่างกาย หรือจะช่วยรักษาโรคเบาหวาน เพราะมีสารที่ชื่อฟลาโวนอยด์ และฟีนอลเป็นส่วนประกอบ เชื่อกันว่าสารกลุ่มฟลาโวนอยด์คือผู้ช่วยสำคัญสำหรับยับยั้งการอักเสบได้ และยังช่วยขับลม ระบายลม บำรุงปอด ตับ ไต ช่วยยับยั้งเชื้อไวรัสบางชนิดได้ กระตุ้นการทำงานของกระเพาะอาหารให้กลับมาเป็นปกติ ขับถ่ายง่ายขึ้นกว่าเดิม ส่วนสรรพคุณที่ทุกคนคุ้นเคยกันมาก คือ ดื่มแล้วช่วยแก้ร้อนใน ชุ่มคอ ช่วยทำให้ร่างกายเย็นลง ลดอาการวิงเวียน หน้ามืด ตาลาย
ขณะที่ส่วนอื่น ๆ ก็ยังถือว่ามีประโยชน์เยอะมาก เช่น ดอกสดบดต้มในน้ำ เอากากมาพอกลดอาการอักเสบที่ดวงตาได้ดี หรือดอกเก๊กฮวยโดยตรงก็ช่วยรักษาอาการผมร่วง ทำให้สีผมดกดำ เงางาม ลดอาการปวดหัว บำรุงและรักษาสายตาไม่ว่าจะตาบวม เบลอ มองไม่ชัด
อย่างไรก็ดี ในการนำเก๊กฮวยมาใช้ประโยชน์ต่าง ๆ นั้น จะต้องมีการศึกษาถึงกระบวนการและขั้นตอนอย่างถูกต้องแม่นยำ ตั้งแต่การเก็บรักษาอย่างถูกวิธีเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งปนเปื้อน ไปจนถึงขั้นตอนการนำไปใช้ประโยชน์เพื่อให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด
ภาพฐานการเรียนรู้การปลูกดอกเก๊กฮวย ณ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดลำพูน
(เกษตรที่สูง) สาขาอำเภอทุ่งหัวช้าง จังหวัดลำพูน
เรื่อง/เนื้อหา : นายสำราญ ชูช่วย เจ้าพนักงานเกษตร ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตรจังหวัดลำพูน
(เกษตรที่สูง) สาขาอำเภอทุ่งหัวช้าง
เรียบเรียง : นางสาวฐิติมา พนัสโยธานนท์
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
เก๊กฮวย เครื่องดื่มสมุนไพร กับการรักษาโรค.พบแพทย์ดอทคอม (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก http://pobpad.com