ศิลปะการแสดงเป็นการสื่อสาร แสดงออกโดยอาศัยตัวบุคคลเป็นเครื่องมือที่จะสื่อไปยังผู้ชมให้เกิดความ พึงพอใจดังนั้นการที่จะทําให้ศิลปะการแสดงเป็นที่ยอมรับ จะต้องมีองค์ประกอบร่วมพิจารณา 3 ประการใหญ่ๆ คือ
ศิลปิน เป็นผู้ถ่ายทอดผลงานสู่สายตาผู้ชม ถือเป็นหัวใจสําคัญของการแสดง เป็นสิ่งที่ใกล้ชิดกับผู้ชมมากที่สุด ใช้การสื่อสารโดยอาศัย รูปร่าง หน้าตา ความรู้ความชํานาญ ทักษะ ประสบการณ์ตลอดจนความรับผิดชอบและพรสวรรค์ของศิลปินเป็นสําคัญ
ศิลปประดิษฐ์ เป็นจุดเริ่มต้นของงานการแสดง สิ่งที่อยู่ในศิลปประดิษฐ์มีขอบเขตที่กว้างขวางมาก รวมถึงความนึกคิด เรื่องราวในบทละครหรือเนื้อหาของระบํา รํา เต้น อารมณ์ความรู้สึก ลีลาการสร้างสรรค์ เชื่อมต่อท่ารํา การแปรแถวดนตรี การเขียนบทละคร บทร้อง ทํานอง เพลง เครื่องแต่งกายฉากแสงสีเสียง เป็นต้น
ผู้ชม คือผู้อุปถัมภ์งานศิลปะ เป็นผู้ที่รับรู้คุณค่าการแสดง เพราะไม่ว่าศิลปะการแสดงจะสวยงาม เพียงใดแต่หากขาดผู้อุปถัมภ์แล้วนั้น ผลงานก็ไร้คุณค่าและไร้ความหมาย นอกจากเป็นผู้รับชมแล้วยังเป็นผู้วิพากษ์วิจารณ์ผลงาน มีผลต่อการพัฒนางานให้ดีขึ้น ทํานุบํารุงหรือเปลี่ยนแปลงการแสดงได้
ประเภทของศิลปะการแสดงที่ไม่ผูกเป็นเรื่องราว ศิลปะการแสดงที่ไม่ผูกเป็นเรื่องราวเป็นการแสดงที่ไม่มีการผูกเรื่องราว มักเป็นการแสดงชุดสั้นๆ ลักษณะ ของการแสดงสามารถใช้ผู้แสดงจํานวนเท่าไหร่ก็ได้การแสดงประเภทนี้จะไม่มีความซับซ้อน อาจมีความหมาย หรือไม่มีความหมายก็ได้แต่มุ่งเน้นความสวยงามของท่าทาง ความพร้อมเพรียงของการแสดง เช่น รํา ระบํา ฟ้อน เต้น ระบําพื้นเมืองของชาติต่างๆ เป็นต้น
ประเภทของศิลปะการแสดงที่ผูกเป็นเรื่องราว ศิลปะการแสดงที่ผูกเป็นเรื่องราว เป็นการแสดงที่มีการผูกเรื่องราว อาจเป็นการแสดงชุดสั้นๆ หรือยาวๆ ก็ได้การแสดงประเภทนี้จะมีความซับซ้อนขององค์ประกอบศิลป์หลายอย่าง ตัวอย่างศิลปะการแสดงประเภทนี้ ได้แก่ โขน ละคร หุ่น หนังใหญ่ ภาพยนตร์และบัลเล่ต์ เป็นต้น
การแสดงนาฏศิลป์ไทยมีเอกลักษณ์ คือ เป็นการแสดงที่มีท่าทางร่ายรำสวยงาม ด้วยการประดิษฐ์ท่ารำต่างๆ ให้เป็นระเบียบแบบแผน ใช้ในการถ่ายทอดเรื่องราว รวมทั้งสื่อความหมายในการแสดง เช่น ระบำพรหมาสตร์ คือ ท่าทางร่ายรำแบบนางฟ้า เป็นต้น
จังหวะคือการฝึกขั้นพื้นฐาน ที่ใช้แสดงนาฏศิลป์ โดยผู้แสดงนาฏศิลป์ จะต้องทำความเข้าใจกับจังหวะ , ดนตรี อย่างลึกซึ้ง เพื่อให้สามารถร่ายรำ ออกท่าทางได้ถูกต้องตามจังหวะ ถ้าแสดงไม่ถูกต้องตามจังหวะ จะทำให้การแสดงไม่สวยงาม
ในการแสดงนาฏศิลป์ไทย จะใช้วงปี่พาทย์บรรเลงเพลงเพื่อประกอบการแสดง โดยบทเพลงที่ใช้บรรเลงเพลง จะต้องนำมาประกอบกับกิริยาท่าทางของตัวละคร โดยตัวละครสามารถแบ่งออกเป็น หน้าพาทย์ธรรมดากับหน้าพาทย์ชั้นสูง ส่วนใหญ่แล้วจะบรรเลงด้วยไม่มีเนื้อร้อง นอกจากนี้การบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ จะต้องบรรเลงโดยดูจากความหมายและอารมณ์ของตัวละครในบริบทนั้นๆ ด้วย
ในการแสดงนาฏศิลป์ไทย จะประกอบด้วยชุดการแสดงที่มีทั้งบทร้องและไม่มีบทร้อง ซึ่งการแสดงแบบมีบทร้องจะทำให้ผู้ชมเข้าใจการแสดงมากขึ้น โดยทางผู้ประดิษฐ์ท่ารำ ให้เหมาะสมกับคำร้องเพื่อให้ผู้ชมมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งมากขึ้น นอกจากนี้ยังต้องประดิษฐ์ให้มีความเหมาะสมกับคำร้อง เพื่อให้ผู้แสดงถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างถูกต้องและมีความสวยงามอีกด้วย เช่น ระบำดาวดึงส์ ที่ต้องแสดงให้เห็นถึงความยินดีปรีดา เป็นต้น
การแต่งกายในการแสดงนาฏศิลป์ไทย จะเป็นการแสดงที่มีความสวยงามและบ่งบอกถึงความเป็นไทย จึงทำให้การแสดงมีเอกลักษณ์ เช่น การแสดงโขนซึ่งมีการแต่งกายอันงดงาม มีโขนที่นำมาสวมศีรษะพร้อมตกแต่งลวดลายประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างวิจิตร โดยโขนก็จะมีความแตกต่างกันไปตามลักษณะของตัวละคร
อุปกรณ์จัดเป็นองค์ประกอบนาฏศิลป์ที่มีความสำคัญอีกหนึ่งชนิดหนึ่ง ที่ทำให้การแสดงมีความสวยงามและมีเอกลักษณ์ แต่อย่างไรก็ตามการแสดงนาฏศิลป์ไทยในบางชุด อาจไม่มีอุปกรณ์ประกอบก็ได้ หากแต่บางชุดก็มีอุปกรณ์ประกอบการแสดงเข้ามา ทำให้การแสดงมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เช่น รำฟ้อนเทียน มีอุปกรณ์สำคัญ คือ เทียน โดยจะนิยมแสดงในช่วงกลางคืน แสงเทียนที่สว่างไสวท่ามกลางความมืด จะทำให้การแสดงมีความงดงามมาก
1. แนวคิด แนวคิด คือสิ่งแรกที่เป็นตัวการที่จะทําให้เกิดผลงานเป็นโจทย์ที่จะนําไปสู่การสร้างสรรค์ผลงาน สื่อให้ เห็นเป็นรูปธรรมปรากฏบนเวที แนวคิดอาจเป็นสิ่งที่ตัวเองสนใจและควรมีความน่าสนใจอย่างหลากหลาย เปรียบเสมือนการเขียนโครงสร้าง ผู้สร้างงานจะต้องมองเห็นภาพทั้งหมดและกําหนดรูปแบบที่ต้องอาศัยความคิด ริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อมาทําเป็นผลงานการแสดง
2. ท่าทางการเคลื่อนไหว ท่าทางการเคลื่อนไหว คือหัวใจหลักของการแสดง ท่าทางในการแสดงจะทําหน้าที่เล่าหรือสื่อรายละเอียดของการแสดงโดยใช้ท่าทางที่อาจเกิดจากธรรมชาติหรือท่าทางที่สร้างขึ้นใหม่จากจินตนาการเป็นตัวถ่ายทอดออกมาให้ผู้ชมเข้าใจ ซึ่งการออกแบบท่าเต้นหรือการเคลื่อนไหวร่างกายในรูปแบบต่างๆ สําหรับการแสดงนั้น ผู้สร้างงานจะต้องรู้และเข้าใจเกี่ยวกับสรีระร่างกายของมนุษย์และการแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการคิดงานแบบง่ายๆ อาจเกิดจากจินตนาการในการฟังเพลง แล้วถ่ายทอดเป็นท่าทางออกมาเป็นการแสดง เป็นต้น
3. การแต่งกาย การแต่งกาย คือองค์ประกอบที่สําคัญที่สามารถเสริมและสนับสนุนให้การแสดงสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เครื่องแต่งกายมีความสําคัญไม่น้อยไปกว่าแนวคิด ท่าที่ใช้ในการแสดง และเพลงดนตรีซึ่งทุกอย่างต้องสอดคล้องกลมกลืนกัน ดังนั้น ผู้สร้างงานต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลงานของตน เพื่อนํามาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกาย
4. อุปกรณ์ประกอบการแสดง อุปกรณ์ประกอบการแสดง คืออุปกรณ์ที่ใช้สื่อความหมายในการแสดง การนําอุปกรณ์มาใช้ประกอบการแสดงควรคํานึงถึงการสื่อความหมายที่ชัดเจนแก่ผู้ชมไม่ใช่แค่นํามาใช้ให้เห็นความสวยงามเพียงอย่างเดียว เมื่อนําอุปกรณ์มาใช้ประกอบ การแสดงควรใช้อย่างคุ้มค่าที่สุด ดังนั้นก่อนจะทําอุปกรณ์ต่างๆ มาใช้ในการแสดงควรทํา ความรู้จักกับอุปกรณ์ที่นํามาเป็นสื่อให้ดีเสียก่อน กล่าวได้ว่าอุปกรณ์ทุกชนิดสามารถนํามาใช้เป็นสื่อได้โดยไม่มีข้อจํากัด
5. ดนตรีประกอบการแสดง ดนตรีประกอบการแสดง คือเสียงประกอบของจังหวะดนตรีหรือลักษณะเสียงประกอบอื่นๆ มาใช้ ประกอบการแสดง เพื่อเสริมสร้างอารมณ์ของการแสดง ผู้ออกแบบท่ามักจะกําหนดจังหวะในการแสดงขึ้นเพื่อสร้างความน่าสนใจ เป็นสีสันที่สามารถสะท้อนให้ผู้ชมเกิดความรู้สึก คิดตามจินตนาการของผู้สร้างงาน ดังนั้น ผู้สร้างงานควรทําความเข้าใจจังหวะดนตรีอย่างลึกซึ้ง เพื่อเอื้อประโยชน์ในการออกแบบท่าได้อย่างสมบูรณ์ กลมกลืนกัน
6. การใช้พื้นที่เวที การใช้พื้นที่เวทีคือการเลือกทิศทางและ ตำแหน่งบนเวทีของผู้แสดง เป็นการกําหนดตําแหน่งของผู้แสดงบนเวทีสามารถบ่งบอกถึงความหมายต่างๆได้เป็นอย่างดีการใช้พื้นที่ควรคํานึงถึงความเหมาะสมเพื่อให้ผู้ชมสามารถเข้าใจ ซึ่งการใช้พื้นที่ไม่จําเป็นต้องมีการแปรแถวหรือเคลื่อนที่มากก็ได้ จะขึ้นอยู่กับแนวคิดและการเลือกใช้ท่า ซึ่งผู้สร้างงานจะต้องหมั่นสังเกตและฝึกฝนด้วยตนเองอย่างสม่ําเสมอ
7. การแสดงออกทางอารมณ์การแสดง การแสดงออกทางอารมณ์การแสดง คือการสื่อสารทางการแสดง แบ่งออกเป็น 3 วิธีการ คือ การแสดงออกทางสีหน้า การแสดงออกทางท่าทาง และ การแสดงออกทางสีหน้าและท่าทาง ซึ่งในการแสดงส่วนใหญ่ มักใช้วิธีการแสดงออกทั้งสองแบบเป็นหลักสําคัญ การแสดงออกทางสีหน้า ถือเป็นการแสดงออกที่สมจริงมากที่สุด เพราะเป็นการนําอารมณ์ความรู้สึกทางธรรมชาติในชีวิตจริงมาแสดงให้แก่ผู้ชมได้รับชมการแสดงออกทางท่าทาง พบในการแสดงทุกประเภท ได้แก่การเลียนแบบท่าธรรมชาติ ท่าที่สื่อความหมายของอารมณ์โดยเฉพาะ และ ท่าที่เกิดจากจินตนาการ การแสดงออกของท่าทางเหล่านี้ย่อมแตกต่างกันขึ้นอยู่รูปแบบและลักษณะของงาน
แสง ในการแสดง
สมัยก่อนการแสดงจะใช้แสงจากธรรมชาติโดยการแสดงในเวลา กลางวันเท่านั้นต่อมามีการสร้างโรงละครถาวร มีหลังคาคลุม และมีการนำตะเกียงมาทำให้เกิดแสงสว่างในการแสดง จึงมีวิวัฒนาการมาจนถึงปัจจุบัน
ประเภทของแสง
ไฟหลักหรือแสงหลัก ( Key light or main light ) จะเป็นไฟที่ส่องไปที่วัตถุหรือบุคคลนักแสดงเพื่อให้เห็นรายละเอียดของวัตถุมากขึ้น ทำให้สว่าง
ไฟเสริมหรือแสงเสริม ( fill light )เป็นแสงที่จะช่วยลดเงาดำที่เกิดจากแสงเข้มจะทำให้เงาดำที่อยู่บนเวทีมีน้อยลง
ไฟแยกหรือแสงส่องหลัง ( Separation linght or back light ) เป็นไฟที่ส่องมาที่ผู้แสดงหรือวัตถุจะทำให้เด่นขึ้นมาจากเวทีที่แสดงอยู่ โดยใช้สปอร์ตไลท์
ไฟฉากหรือแสงส่งฉาก ( background light ) เป็นไฟส่องฉากให้ชัดเจนขึ้น หรือสร้างบรรยากาศประกอบฉากให้คนดูได้รับอารมณ์ในการแสดงมากขึ้น
อิทธิพลของสีในการแสดง
บรรยากาศ การให้สีฉากอาจจะไม่มีความจำเป็นเท่ากับการวาดรูปทั่วไปแต่ต้องใช้หลักการเดียวกัน คือ การให้บรรยากาศ เช่นการให้ บรรยากาศเศร้าๆต้องมีสีทึบๆ
สีที่ใช้ต้องมีความสัมพันธ์กับแสง คือ สีที่ใช้จะต้องไม่ตัดกับแสงไฟของฉากจนเกินความเป็นจริงหรือดูหลอกตาคนดู
สีแสดงถึงรสนิยมและฐานะของตัวละคร ตัวละครแต่ละตัวจะมีรสนิยมและฐานะแตกต่างกันหากตัวละครรับบทเป็นคนรวย ควรใช้สีสันสดใจ และบทคนจนควรเลือกใช้สีทึบ
สีต้องมีความสัมพันธ์กับการแต่งกายของตัวละคร ตัวละครที่ได้รับบทบาทต่างกันย่อมมีการใช้สีของเครื่องแต่งกายที่มีความแตกต่างกันออกไป
สีที่ใช้ในฉากธรรมชาติค้องมีความเหมือนหรือใกล้เคียงให้มากที่สุด การใช้สีระบายในฉากควรใช้สีที่มีความใกล้เคียงกับธรรมชาติและคำนึงถึงหลักของความถ่วงสี เพื่อให้เกิดภาพที่สวยงาม สอดคล้องกับเนื้อเรื่องของละคร
การจัดการแสดงและเชื่อกันว่าสีมีอิทธิพลในตัวเองมีความหมายในตัวเองแตกต่างกัน เช่น
สีฟ้า ให้ความรู้สึกสงบ เยือกเย็น เป็นระเบียบ ชีวิตบริสุทธิ์
สีส้ม ให้ความรู้สึกร่าเริง แจ่มใส มีชีวิตชีวา สนุกสนาน ปราศจากความทุกข์
สีแดง ให้ความรู้สึกรุนแรง ก้าวร้าว ดุดัน อันตราย ตื่นเต้น ความรัก โรแมนติก
สีเหลือง ให้ความรู้สึกสบาย เจิดจ้า ร่าเริง
สีชมพู ให้ความรู้สึกน่ารัก อ่อนไหว ความรัก ความนุ่มนวล สุภาพอ่อนโยน น่าทะนุถนอม
สีน้ำเงิน ให้ความรู้สึกมั่นคง สม่ำเสมอ เสถียรภาพ ความแน่นอน แข็งแรง
สีเขียว ให้ความรู้สึกสดชื่น เจริญเติบโต สิ่งแวดล้อม การผ่อนคลาย ธรรมชาติ
สีม่วง ให้ความรู้สึกเป็นทุกข์ ลึกลับ หนักแน่
สีเทา ให้ความรู้สึกไม่กระจ่าง น่ากลัว หนัก เคร่งขรึม
สีน้ำตาล ให้ความรู้สึกธรรมดา เรียบๆ แห้งแล้ง เป้นมิตร ซื่ิอสัตว์ การไว้ใจ น่ารำคาญ
สีดำ ให้ความรู้สึกทุกข์ โศกเศร้า เหงา