องค์ประกอบในการสร้างงานนาฏศิลป์และศิลปะการแสดง
ในการจัดการแสดงด้านนาฏศิลป์และศิลปะการแสดงครั้งหนึ่งๆนั้น จะต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญครบถ้วน คือ
1. นักแสดง ถือว่าเป็น "สื่อกลาง" ระหว่างนักแสดงหรือผู้สร้างงานกับผู้ชมคนดู ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด
2. บท หรือ เรื่องราว แนวคิด ที่กำหนดวิธีการแสดงของนักแสดง ไม่ว่าจะเป็นบทละคร ภาพยนตร์ แนวคิดในการเต้นรำ เรื่องราวที่ต้องการสื่อสารผ่านการเคลื่อนไหวเพื่อการแสดงในรูปแบบใดๆก็ตาม ถือเป็นบท เป็นเรื่องราว เป็นแนวคิดในแง่นี้ทั้งสิ้น
3. การแสดง ถือว่าเป็น "ตัวงาน" หรือ "ผลผลิต" จากการสร้างงาน นำเสนอออกมาในรูปแบบของการเต้นรำ รำ แสดงละครฯลฯ ต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้วในบทอื่นๆข้างต้น
4. ผู้ชม ผู้เสพผลงานนาฏศิลป์และศิลปะการแสดงที่ได้จัดสร้างขึ้น และเป็นผู้ประเมินคุณค่าความงามและสุนทรียะของการแสดงต่างๆนั้น
5. ฝ่ายงานต่างๆ เช่น ผู้กำกับการแสดง ผู้กำกับเวที ผู้กำกับฝ่ายศิลป์ ทีมงานฝ่ายฉาก อุปกรณ์ประกอบการแสดง เครื่องแต่งกาย แต่งหน้า ทำผม ฝ่ายดนตรี แสง เสียง และ ฝ่ายเทคนิคพิเศษต่างๆ ซึ่งถือเป็นหน่วยงานที่เป็นส่วนของ สหศิลปะ อื่นๆ คือ ทัศนศิลป์ คีตศิลป์ ที่มาช่วยประกอบการแสดงทั้งสิ้น
องค์ประกอบทั้ง 5 ประการนี้ อาจมีครบถ้วนทั้งห้าประการ หรือ ไม่ครบถ้วนก็ได้ แต่อย่างน้อยที่สุด ในการแสดงใดๆหนึ่งๆก็ตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมี 1.นักแสดง 2.บทหรือเรื่องราวหรือแนวคิดการแสดง 3.ผู้ชมคนดู ไม่เช่นนั้น จะไม่ถือว่าได้มีการแสดงที่สมบูรณ์แล้ว
เทคนิคการแสดงพื้นฐาน
การสร้างความเชื่อ
การแสดงออกซึ่งกิริยาท่าทางของตัว
คือการสวมบทบาทของตัวละครในเรื่องนั้น ผู้แสดงจะต้องสร้างความเชื่อให้คนดูเกิดความเชื่อให้ได้ว่าตนและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ประกอบฉากในเรื่อง เป็นเรื่องจริง ๆ การที่ผู้แสดงจะมีความสามารถตีบทได้อย่างสมจริงนั้น ผู้แสดงจะต้องศึกษาบทละคร ตัวละครที่ตนต้องแสดงอย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม นับตั้งแต่บุคลิกลักษณะ นิสัยของตัวละคร กิริยาท่าทาง อารมณ์ของตัวละคร
ในการสร้างความเชื่อให้กับผู้ชมละคร ผู้แสดงจะต้องมีสมาธิ รู้จักการใช้จินตนาการ เห็นภาพลักษณ์ และอุปนิสัยใจคอของตัวละครในบทละคร ถ้าผู้แสดงละครทำให้ผู้ชมเชื่อว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขานั้นเป็นเรื่องจริง แสดงว่าผู้แสดงละครผู้นั้นตีบทแตกได้อย่างสมจริงประหนึ่งว่าผู้แสดงกับตัวละครเป็นบุคคลเดียวกัน หรือกล่าวได้ว่าสามารถเข้าถึงศิลปะของการแสดงละคร
การแสดงร่วมกับผู้อื่น
การแสดงละคร ผู้แสดงจะต้องแสดงร่วมกับตัวละครอื่น ๆ ในเรื่อง ฉะนั้นในการฝึกซ้อมละคร ผู้แสดงจะต้องฝึกการเจรจากับผู้ร่วมแสดง ไม่ควรท่องบทเพียงลำพังคนเดียว ทั้งนี้เพื่อจะได้สัมผัสกับปฏิกิริยาของตัวละครอื่น ๆ ผู้แสดงต้องแสดงทั้งบทรับ บทส่งตลอดเวลา การมีปฏิกิริยากับผู้อื่น เช่น การฟัง การแสดงกิริยาท่าทาง การรับรู้ด้วยการแสดงสีหน้า พอใจ ไม่พอใจ ดีใจ ยิ้ม หรือหน้าบึ้ง จะช่วยทำให้สามารถเข้าถึงบทบาทของตัวละครได้ลึกซึ้งขึ้น เวลาแสดงจริงจะได้สอดคล้องประสานกัน
ในฉากที่มีตัวละครเป็นจำนวนมาก ที่เป็นตัวประกอบประเภทสัมพันธ์บท เช่น แม่บ้าน คนรับใช้ คนสวนหรือตัวประกอบ ที่เสริมลักษณะเรื่องให้สมจริง อาทิ ประชาชน ทหาร ตำรวจ ไพร่พล ผู้แสดงต้องสื่อประสานได้ทั้งตัวละครที่เป็นตัวเอก ตัวสำคัญ และตัวประกอบ แม้ว่าตัวละครที่เป็นตัวประกอบจะไม่มีบทพูดแต่ก็ต้องแสดงบุคลิกลักษณะให้สมบทบาทตามเนื้อเรื่อง เพราะตัวละครที่แสดงอยู่บนเวทีต่อหน้าผู้ชม จะมีความสำคัญทุกตัว ผู้แสดงละครที่ดี นอกจากจะแสดงบทบาทของตนให้สมจริงแล้ว จะต้องมีทักษะและความสามารถในการร่วมแสดงกับผู้อื่นด้วย
บทบาทและหน้าที่ของฝ่ายต่าง ๆ ในการสร้างละคร
ทีมงานสร้างงานละครจะประกอบด้วยบุคคลที่ทำหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ มากมายหลายสาขา ซึ่งแต่ละฝ่ายล้วนมีบทบาทสำคัญในอันที่จะทำให้การจัดการแสดงละครประสบผลสำเร็จ ซึ่งความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันระหว่างทีมงานทุกฝ่าย นับเป็นกุญแจดอกสำคัญที่จะทำให้การแสดงละครสัมฤทธิผลตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ ทั้งนี้ทุกฝ่ายต้องเข้าใจบทบาทหน้าที่ มีความรับผิดชอบ ละเว้นการก้าวก่ายงานของผู้อื่น มีน้ำใจรู้จักให้อภัยต่อกัน
บุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการแสดงละครที่สำคัญ ประกอบด้วยบุคคลต่างๆ ดังนี้
1. ผู้อำนวยการแสดง (Producer) คือ ผู้จัดหรือหัวหน้าคณะในการจัดแสดงละครแต่ละครั้ง เป็นผู้กำหนดนโยบาย รูปแบบการแสดง เรื่องที่จะนำมาแสดง จัดสรรหน้าที่ของแต่ละฝ่าย ดูแลงบประมาณ เป็นผู้ตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ๆ
2. ผู้กำกับการแสดง (Director) ควบคุมผู้แสดงให้แสดงให้สมบทบาทตามบทที่กำหนดไว้ จัดองค์ประกอบต่าง ๆ ของละครให้มีความสมจริง
3. ผู้กำกับเวที (Stage Manager) เป็นผู้รับผิดชอบต่อจากผู้กำกับการแสดง เฉพาะในเรื่องการแสดงบนเวที มีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของเวที เป็นผู้เดียวที่สั่งให้การแสดงเริ่มหรือหยุด ติดต่อสั่งงานเกี่ยวกับไฟแสง เสียงประกอบ ตลอดจนการเปิดปิดฉากละคร
4. ผู้เขียนบท (Play Wright) เป็นผู้ทำหน้าที่เขียนบทละคร สร้างโครงเรื่อง คำพูดและเหตุการณ์ ผู้เขียนบทละครนับเป็นหัวใจสำคัญของการละคร ละครจะสนุกได้รับผลดีเพียงใด อยู่ที่ผู้เขียนบทละครเป็นสำคัญ ผู้เขียนบทจะต้องกำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจน เป้าหมายหลักคืออะไร ต้องการสื่ออะไรกับผู้ดู เช่น แนวคิด คติสอนใจ เป็นต้น
5. ผู้จัดการฝ่ายธุรการ (House Manager) เป็นฝ่ายจัดการทุกอย่างเกี่ยวกับธุรกิจของโรงละคร จัดสถานที่แสดง ดูแลการจำหน่ายบัตรที่นั่ง รับผิดชอบเกี่ยวกับผู้ดู
6. เจ้าหน้าที่เครื่องแต่งกายและแต่งหน้า (Costume & Make up) ต้องรู้ว่าฉากใด ผู้แสดงมีตัวละครกี่ตัว ใช้ชุดสีอะไรแบบไหน ส่วนเครื่องแต่งหน้าต้องเตรียมให้พร้อม และควรมีความสามารถในการแต่งหน้าตัวละครได้สมจริง เช่น แต่งหน้าในบทของคนชรา คนต่างชาติ คนที่ได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น
7. นักแสดง (Actor) คือ ผู้ที่สวมบทบาทเป็นตัวละคร เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวและความรู้สึกนึกคิดที่อยู่ในบทละครมาสู่ผู้ชม
ในบรรดาผู้ร่วมงานทางด้านการจัดแสดงละคร นักแสดงคือผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ชมมากที่สุด ผลงานการสร้างสรรค์ของฝ่ายต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้เขียนบท ผู้กำกับการแสดง การออกแบบเครื่องแต่งกาย แต่งหน้าจะได้รับการถ่ายทอดมาสู่ผู้ชมโดยตรง โดยผ่านนักแสดง ผู้ที่เป็นนักแสดง พึงคิดไว้เสมอว่า "ละครคือศิลปะที่รวมศิลปะหลายแขนงไว้ด้วยกัน ความสำเร็จของละครอยู่ที่ความร่วมมือร่วมใจของผู้ร่วมงานทุกฝ่าย" นักแสดงจึงไม่ควรเย่อหยิ่งหรือคิดว่าตนเป็นคนสำคัญแต่เพียงผู้เดียว และพึงระลึกเสมอว่าตัวละครในบทละครทุกตัวมีความสำคัญเท่าเทียมกันหมด นับตั้งแต่พระเอก นางเอก ผู้ร้าย ตัวประกอบ หน้าที่ของผู้แสดง เมื่อได้รับบทให้แสดงเป็นตัวอะไรไม่ว่าจะเป็นตัวประกอบ เช่น คนรับใช้ พี่เลี้ยง ทหาร ตำรวจ พยาบาล ประชาชน ก็ควรทุ่มเทฝึกซ้อมให้เต็มความสามารถ เพราะมีหน้าที่และความรับผิดชอบอย่างสูงสุดที่มีต่อผู้ชม และเพื่อนร่วมงานทุกฝ่าย เพราะถ้าผู้แสดงไม่ตั้งใจแสดงก็เหมือนเป็นการทำลายผลงานของผู้เขียนบท ผู้กำกับการแสดง ผู้ออกแบบฝ่ายต่าง ๆ ฉะนั้น นักแสดงจะต้องมีจิตสำนึกที่ถูกต้อง มิใช่รักแต่ความดังที่ได้รับเป็นตัวเอก นักแสดงที่ดีต้องอุทิศตนเพื่องาน สามารถแสดงได้ทุกบทบาท มองเห็นคุณค่าของการแสดงว่าเป็นศิลปะ และควรภูมิใจที่ได้รับเลือก ให้เป็นผู้แสดง ไม่ว่าจะเป็นตัวประกอบ ตัวร้าย ก็สามารถให้ความบันเทิงแก่ผู้ชมได้เช่นกัน
เทคนิคการเขียนบทละคร
การสร้างบทละครนั้นเป็นความสามารถที่ต้องอาศัยทักษะและความคิดสร้างสรรค์ค่อนข้างมาก แต่บุคคลหลายคนก็สามารถจะเขียนบทละครได้ แม้แต่ตัวผู้เรียนเอง หรือศิลปินในท้องถิ่นก็สามารถสร้างบทละครที่มีคุณภาพโดยสะท้อนความคิด ศิลปะ และวิถีชีวิตของท้องถิ่นได้เช่นกัน ละครจึงเป็นกิจกรรมที่ไม่มีกฎเกณฑ์เฉพาะตายตัว อาทิ ดนตรีประกอบการแสดง อาจเป็นดนตรีพื้นบ้านเพียงชิ้นเดียว เช่น ขลุ่ย แคน หรือเพลงที่ผู้เขียนชอบนำมาประกอบการเล่าเรื่องก็ได้ ละครจึงเปิดโอกาสให้ผู้คนได้ทำงานร่วมกัน สามารถทดลองค้นคว้าหาเรื่องราวที่น่าสนใจมานำเสนอต่อผู้ชมอยู่ใหม่ ๆ ได้เสมอ
รูปแบบในการสร้างบทละคร
การสร้างบทละครมีวิธีการสร้างเรื่องดำเนินเรื่องหลายหลายรูปแบบ ดังนี้
1. บทละครที่เป็นแบบฉบับ (Tradition Play) จะใช้แสดงในโรงละคร เรื่องราวที่นำเสนอมาจากวรรณกรรม นิทานพื้นบ้าน ถ้าเป็นวรรณกรรมเรื่องยาว เช่น รามเกียรติ์ อิเหนา พระลอ ผู้ประพันธ์บทก็ต้องเลือกตอนที่น่าสนใจมาเสนอ จากนั้นเปิดเรื่องด้วยฉากที่นำเสนอตามแบบฉบับคือภาพหรือเหตุการณ์ สถานการณ์ของเรื่อง แนะนำตัวละครที่เป็นตัวเอกพร้อมทั้งข้อมูลที่จะนำไปสู่ความเข้าใจพฤติกรรมต่อ ๆ มาอย่างรวบรัดชัดเจน โดยพิจารณาจากสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
เหตุการณ์นั้นมีความสัมพันธ์ต่อเหตุการณ์อื่น ๆ ของเรื่องหรือไม่
- เหตุการณ์นั้นมีคุณค่า มีความจำเป็นและสัมพันธ์กับละครทั้งเรื่องอย่างไร
- เหตุการณ์ดังกล่าวเสริมสร้าง เน้นจุดมุ่งหมาย ประโยคหลักของเรื่องเช่นใด
- เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดแรงกระตุ้น ความสะเทือนใจต่อตัวละครเพียงใด
- เหตุการณ์นั้นก่อให้เกิดปฏิกิริยาการค้นพบ อุปนิสัยและการกระทำของตัวละครอย่างไร
เมื่อแยกแยะเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้ว ผู้เขียนบทก็จะต้องสามารถสร้างบรรยากาศ อารมณ์ของเรื่อง ให้ความสำคัญต่อเหตุการณ์ และหาผลลัพธ์ของเหตุการณ์ที่มีต่อผู้ชมว่า ควรดำเนินเรื่องอย่างไรจึงจะน่าติดตามหรือทำให้ผู้ชมเกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วม มีความประทับใจในการแสดง เสมือนหนึ่งว่าได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจริง ๆ
2. บทละครที่ไม่เป็นแบบฉบับ (Non Illusion Style) ผู้เขียนบทละครควรเน้นที่การเล่าเรื่อง (Story Theatre) จินตนาการ (Imagination) การเริ่มเรื่องจะเป็นการเล่าเรื่องโดยใช้ลีลาท่าทางประกอบดนตรี การขับร้องเพื่อให้ผู้ชมทราบกติกาการนำเสนอ ต่อจากนั้นก็ใช้วิธีประสานเรื่องราวต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เพื่อทำให้แนวคิดของเรื่องมีคุณค่าให้ประโยชน์แก่ผู้ชม การเขียนบทประเภทนี้จึงเน้นที่บรรยากาศ รูปแบบการนำเสนอ การเรียบเรียงเรื่องราว กฎเกณฑ์ในการเข้าสู่เรื่องและออกจากเรื่องเมื่อเรื่องหนึ่งจบลง
3. บทละครที่เด็กมีส่วนร่วมแสดง (Partiicipatory Theatre) การเขียนบทประเภทนี้จะต้องเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการแสดง เช่น ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัวละครที่คอยช่วยเหลือตัวละครในเรื่อง ช่วยเป็นฉาก ถืออุปกรณ์ประกอบฉาก ผู้ชมจะนั่งดูล้อมเป็นวง ทำให้ละครกลับเป็นประสบการณ์ตรงที่เด็ก ๆ ได้รับ ผู้ชมจะเชื่อบทบาทและปฏิบัติตามที่ตัวละครสั่ง
4. บทละครเพื่อการศึกษา (TIE ย่อมาจาก Theatre In Education) เป็นละครเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความคิดของเยาวชนในโรงเรียน ก่อให้เกิดความคิดเชิงวิจารณ์นำไปสู่การพูดคุย การเขียนบทจะแบ่งออกเป็นฉาก ๆ แล้วใส่โครงเรื่องตัวละครประมาณ 5-6 คนลงไป ประเด็นที่นำเสนอมักเป็นปัญหาการขัดแย้ง เปิดโอกาสให้ผู้ชมร่วมแสดงความคิดเห็น ความรู้สึกที่มีต่อสถานการณ์จริงและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในละคร
5. บทละครจากการรวบรวมข้อมูลและเทคนิคละครสด (Collective Improvisation Theatre) การจะได้บทละครจากการแสดงละครสดนั้น จะต้องสนใจการทำงาน
1.คลายความเครียดหรือบางครั้งก็กระตุ้นอารมณ์ให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้น ทำให้มนุษย์มีความสุข กระตือรือร้นในการดำเนินชีวิต
2. สมอง ให้คุณค่าทางสติปัญญา โดยการดูละครแล้วกลับมาพิจารณาปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับตนเอง เกี่ยวกับมนุษยชาติและเกี่ยวกับสังคมส่วนรวม
3. จิตใจ ความสัมพันธ์ของศิลปะการละครกับจิตใจของมนุษย์มีมาแต่โบราณ จะเห็นได้ว่าการละครตะวันออกและตะวันตก ล้วนถือกำเนิดจากพิธีบวงสรวงเทพเจ้าเพื่อขอพระ และให้เทพเจ้าบันดาลสิ่งต่าง ๆ ที่มนุษย์ปรารถนา
หรือถ้าจะให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก็พิจารณาได้จากละครเวที ทั้งนี้เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในละครเวที มีลักษณะเหมือนชีวิตจริง ๆ ของมนุษย์ คือเหตุการณ์เกิดขึ้นมาแล้วก็ผ่านเลยไป ผู้ชมไม่สามารถหยุดพักเหมือนการอ่านหนังสือหรือดูโทรทัศน์ เช่น เมื่อรู้สึกเบื่อก็สามารถปิดหนังสือโทรทัศน์ได้ แต่ผู้ชมละครจะต้องนั่งอยู่ในโรงละคร เพื่อร่วมรู้เห็นการกระทำ (Action) ของตัวละครจนจบเรื่อง จะให้ละครหยุดพักการแสดงเมื่อเราไม่อยากชมและถ้าจะชมต่อ ก็จะให้เริ่มแสดงตรงช่วงนั้น ๆ ต่อเนื่องไปย่อมไม่สามารถจะกระทำได้ เพราะละครแม้จะเป็นผู้แสดงชุดเดียว บทเดียวกัน แต่ต่างช่วงเวลา การแสดงย่อมจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียวทั้งหมด ละครเวทีจึงมีลักษณะเหมือนประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ๆ
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าละครสามารถให้ได้ทั้งความบันเทิง กระตุ้นเร้าความคิด ให้การศึกษา ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน สอนบทเรียน ให้ความฝันที่คนดูปรารถนาและเป็นเสมือนโลกที่งดงาม ให้ผู้คนหลีกหนีจากชีวิตที่สับสน ได้มาพักสมองผ่อนคลายความเครียดได้ชั่วขณะหนึ่งของนักแสดงตามหัวข้อที่มอบหมายให้แสดง และนำข้อมูลเรื่องราวกลับมาสู่กลุ่มผู้แสดงละครเพื่อสร้างตัวละครและเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามแผนงานที่กำหนด ตัวละครและเหตุการณ์ต่าง ๆ ต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงและค้นหาจุดเปลี่ยนจากบทบาทหนึ่งไปสู่อีกบทบาทหนึ่ง อารมณ์ ความรู้สึกของนักแสดงและของตัวละครที่ต่อเนื่องถ่ายทอดกันได้ดี จะทำให้ตัวละครน่าสนใจและมีชีวิตชีวาน่าเชื่อมากขึ้น
องค์ประกอบของบทละคร
การเขียนบทละครนั้น นอกจากผู้สร้างสรรค์บทละครจะเป็นผู้ที่มีปฏิภาณไหวพริบ และได้รับการฝึกฝนให้เกิดความชำนาญ นำเสนอความรู้ ความคิดจินตนาการ ตลอดจนประสบการณ์ถ่ายทอดผ่านบทละครได้อย่างมีความหมายแล้ว บทละครที่ได้รับการสร้างสรรค์จะต้องมีจุดมุ่งหมายในการนำเสนอให้บทละครมีคุณค่าต่อผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าต่อชีวิตประจำวัน คุณค่าต่อจิตใจรวมทั้งคุณค่าต่อการสร้างสรรค์สังคมแต่บทละครจะสมบูรณ์ได้นั้นจำเป็นต้องให้ความสำคัญต่อการสร้างสรรค์ตามองค์ประกอบของบทละคร ซึ่งองค์ประกอบของบทละครที่สำคัญดังนี้
1. โครงเรื่อง เป็นการกำหนดให้เหตุการณ์หรือเรื่องราวดำเนินไปอย่างมีลำดับ มีเหตุมีผลมีความต่อเนื่องเหตุการณ์หรือเรื่องราวจะต้องสัมพันธ์กันในแต่ละฉากแต่ละตอน อาจเรียกได้ว่าหากตัดฉากใดหรือตอนใดออกไปอาจทำให้การดำเนินโครงเรื่องไม่สมบูรณ์ โครงเรื่องที่ดีนั้นจะต้องทำให้ผู้ชมเข้าใจว่าได้เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับเรื่องราวในละคร อีกทั้งในการวางโครงเรื่องนั้นจะต้องตระหนักถึงส่วนประกอบที่สำคัญในการกำหนดโครงเรื่อง คือ
1.1 การปูพื้น คือ การวางแนวทางว่าจะนำเสนอบทละครในแนวทางใด
1.2 การเตรียมเรื่อง คือ การลำดับว่าเหตุการณ์ใดจะนำไปสุ่เหตุการณ์ใด
1.3 จุดเริ่มเรื่อง คือ จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ท่ำให้เกิดเหตุการณ์อื่น ๆ ตามมา
1.4 เหตุการณ์กระตุ้น คือ เหตุการณ์ที่เป็นส่วนหนึ่งให้ตัวละครต้องตัดสินใจกระทำเหตุการณ์หนึ่ง ๆ
1.5 จุดสูงสุดของเรื่อง คือ เหตุการณ์สำคัญของเรื่องราว
1.6 จุดจบของเรื่อง คือ เรื่องราวที่เป็นบทสรุปของละคร หรือสรุปตัวละคร
2. ลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพของตัวละคร ตัวละครจะถูกกำหนดบทบาทให้มีบุคลิกลักษณะเป็นเช่นไรนั้น ขึ้นอยู่กับทัศนคติของตัวละครต่อสื่อสิ่งต่าง ๆ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่นำมาสู่วิถีการดำเนินชีวิตของตัวละคร ซึ่งลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพของตัวละคร จะเป็นการวางบทบาทหรือกำหนดบทบาทโดยผู้สร้างสรรค์บทละคร โดยจำเป็นจะต้องกำหนด ชื่อ อาชีพ เพศ วัย การศึกษา ชีวิตความเป็นอยู่ในสังคม รวมทั้งกิริยามารายาทต่าง ๆ เพื่อสะท้อนให้เห็นอุปนิสัย
ใจคอของตัวละครนั้น ๆ และตัวละครที่กำหนดบทบาทขึ้นนั้นจะต้องมีความชัดเจนในลักษณะภายนอก เช่น ผิวพรรณ รูปร่าง หน้าตาหรือไม่ก็จะต้องชัดเจนในเรื่องของความรู้ผิดชอบ ความมีคุณธรรม และคุณความดีของตัวละครนั้น ๆ แทนการบอกลักษณะภายนอกอย่างชัดเจนก็ได้
3. ลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพของตัวละคร ตัวละครจะถูกกำหนดบทบาทให้มีบุคลิกลักษณะเป็นเช่นไรนั้น ขึ้นอยู่กับทัศนคติของตัวละครต่อสื่อสิ่งต่าง ๆ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่นำมาสู่วิถีการดำเนินชีวิตของตัวละคร ซึ่งลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพของตัวละคร จะเป็นการวางบทบาทหรือกำหนดบทบาทโดยผู้สร้างสรรค์บทละคร โดยจำเป็นจะต้องกำหนด ชื่อ
อาชีพ เพศ วัย การศึกษาชีวิตความเป็นอยู่ในสังคม รวมทั้งกิริยามารายาทต่าง ๆ เพื่อสะท้อนให้เห็นอุปนิสัย ใจคอของตัวละครนั้น ๆ และตัวละครที่กำหนดบทบาทขึ้นนั้นจะต้องมีความชัดเจนในลักษณะภายนอก เช่น ผิวพรรณ รูปร่าง หน้าตาหรือไม่ก็จะต้องชัดเจนในเรื่องของความรู้ผิดชอบความมีคุณธรรม และคุณความดีของตัวละครนั้น ๆ แทนการบอกลักษณะภายนอกอย่างชัดเจนก็ได้
4. ลักษณะการใช้ภาษา การถ่ายถอดเหตุการณ์และเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นผ่านการคิดจินตนาการและประสบการณ์ของผู้สร้างสรรค์บทละครออกมาเป็นคำพูด ซึ่งอาจเป็นในรูปแบบของบทร้อยกรองร้อยแล้ว โคลง กลอน หรือบทเจรจาก็ได้ การสร้างสรรค์ผลงานที่ดีจะต้องมีการใช้บทพูดหรือบทเจรจาที่เหมาะสมกับเหตุการณ์ และลักษณะนิสัยของตัวละคร การใช้บทเจรจาในละครแต่ละเรื่องจะต้องสะท้อนให้เห็นถึงนิสัย ความคิด รวมทั้งอารมณ์ของผู้แสดงจะต้องมีความชัดเจน มีความหมาย มีความคมคายเพื่อนำเสนอให้น่าสนใจ มีชีวิตชีวา และเหมาะสมกับตัวละครนั้น ๆ รวมทั้งจะต้องมีลักษณะที่เหมือนกับธรรมชาติที่พูดคุยอยู่ในชีวิตประจำวัน เพื่อความสมจริงและน่าติดตามชม
5. เพลงประกอบ เป็นการถ่ายทอดความคิด จินตนาการที่ผู้สร้างสรรค์บทละครต้องการถ่ายทอดออกมาโดยให้ผู้แสดงขับร้อง หรือนำมาเป็นเพลงประกอบการแสดง ซึ่งแสดงต่าง ๆ จะต้องสอดคล้องกับบทละครมีความหมายสะท้อนให้เห็นความคิดและนิสัย รวมทั้งความรู้สึกของตัวละครแทนการเจรจา เพลงประกอบจะต้องสัมพันธ์กับองค์ประกอบอื่น ๆ ในบทละคร เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์ และมีความน่าสนใจในการนำเสนอผลงานละครต่อผู้ชม
6. ลักษณะลีลาของตัวละคร หมายถึง การแสดงละครจะสะท้อนให้เห็นภาพต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นบทบาท
ที่แสดงผ่านลีลา ท่าทาง ใบหน้า การเคลื่อนไหว ลักษณะต่าง ๆ ของผู้แสดง ซึ่งจะสมบูรณ์แบบได้นั้นจะต้องแสดงให้เกิดความสมจริง เมื่อถ่ายทอดผ่านลีลาแล้วอาจไม่ต้องใช้บทเจรจาเพราะลีลาท่าทางใบหน้าและการเคลื่อนไหวสามารถสื่อให้เห็นภาพต่าง ๆ ความคิด จินตนาการอย่างชัดเจนแล้ว
ที่มา
https://www.gotoknow.org/posts/292945
elearning.psru.ac.th/courses/294/lesson5139.html
file:///C:/Users/Acer/Downloads/การจัดการแสดงละครสร้างสรรค์.pdf
https://lookpat762.wordpress.com/บทเรียน/บทที่-2-นาฏศิลป์การละคร/