ขอบเขตการใช้พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์
ขอบเขตการใช้พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์
พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ฉบับนี้ มีขอบเขตและขอบข่ายใช้บังคับกับผู้ประกอบ กิจการทั่วไป ที่มีการใช้แรงงานเพื่อให้นายจ้างและลูกจ้างมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน กฎหมายหรือพระราช บัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฉบับนี้จึงมีบทบาทอย่างยิ่งระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติ ฉบับนี้มีข้อยกเว้นไว้มิให้ใช้บังคับ เนื่องจากหน่วยงานนั้นมีกฎหมายใช้บังคับไว้โดยเฉพาะเป็นของหน่วยงาน นั้นๆ อยู่แล้ว หน่วยงานดังกล่าวได้แก่
1. ราชการส่วนกลาง คือ กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานราชการอื่น ซึ่งเทียบเท่า
2. ราชการส่วนภูมิภาค คือ จังหวัด อําเภอ
3. ราชการส่วนท้องถิ่น คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตําบล กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา
4. กิจการรัฐวิสาหกิจ ตามกฎหมายว่าด้วยการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
5. กิจการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยและกิจการธนาคารแห่งประเทศไทย ตามพระราช กฤษฎีกา ออกเพิ่มเติม
ลักษณะทั่วไปของกฎหมายแรงงานสัมพันธ์
ลักษณะทั่วไปของกฎหมายแรงงานสัมพันธ์
กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ เป็นกฎหมายแรงงานสาขาหนึ่ง ที่ใช้บังคับในกิจการทั่วไปที่มีการ จ้างแรงงาน วัตถุประสงค์ก็เพื่อกําหนดแนวทางปฏิบัติต่อกันระหว่างฝ่ายนายจ้างกับฝ่ายลูกจ้าง เพื่อให้ มีความเข้าใจอันดีต่อกัน สามารถตกลงในเรื่องสิทธิหน้าที่ และผลประโยชน์ในการทํางานร่วมกันได้ รวมทั้ง กําหนดวิธีการระงับข้อพิพาทแรงงานที่อาจเกิดขึ้นให้ยุติลงโดยเร็วด้วยความพอใจของทั้งสองฝ่าย เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์อย่างสร้างสรรค์ และก่อให้เกิดความสงบสุขในองค์การที่ทํางานร่วมกัน
กฎหมายแรงงานสัมพันธ์ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันนี้ คือ พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 กฎหมายฉบับนี้มีการแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ด้วยการออกเป็น พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง และประกาศกระทรวงแรงงานเพิ่มเติม
ลักษณะทั่วไปของพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ฉบับนี้ จะบัญญัติไว้เกี่ยวกับสภาพ การจ้าง ข้อเสนอ ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง วิธีระงับข้อพิพาทแรงงาน การปิดงานและนัดหยุดงาน คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ องค์การฝ่ายนายจ้าง องค์การฝ่ายลูกจ้าง และข้อห้ามการกระทําการใดๆ อันไม่เป็นธรรมแก่ลูกจ้าง รวมทั้งมีบทกําหนดโทษไว้ด้วย
สภาพการจ้าง
สภาพการจ้าง
สภาพการจ้าง หมายความว่าเงื่อนไขการจ้างหรือการทํางาน กําหนดวันและเวลาการทํางาน ค่าจ้าง สวัสดิการ และการเลิกจ้าง หรือผลประโยชน์อื่นของนายจ้างหรือลูกจ้าง อันเกี่ยวกับการจ้าง หรือการทํางาน
จากความหมาย คําว่า สภาพการจ้าง หมายถึง เงื่อนไขการจ้างระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างที่มี ข้อตกลงกันเกิดขึ้นก่อนที่จะทํางานให้แก่กัน เมื่อมีข้อตกลงและเข้าใจเงื่อนไขในเรื่องการจ้างงานที่ จะให้ลูกจ้างทําคืองานเกี่ยวกับอะไร กําหนดวันและเวลาทํางาน กําหนดค่าจ้างให้เป็นรายสัปดาห์ หรือรายเดือน สวัสดิการต่างๆ ที่ลูกจ้างควรได้รับจากนายจ้าง และประโยชน์อื่นๆ ที่นายจ้างและลูกจ้างพึงมี พึงให้ต่อกันและกัน นี้คือ “สภาพการจ้าง” ที่นายจ้างและลูกจ้างได้กําหนดขึ้นและตกลงใช้ร่วมกัน ในครั้งนั้นๆ
ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง กฎหมายวางหลักไว้ดังนี้
ให้สถานประกอบกิจการ ที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 20 คนขึ้นไป จัดให้มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตามที่กําหนดในกฎหมาย กล่าวคือ ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างต้องทําเป็นหนังสือ ในกรณีเป็นที่สงสัยว่าสถานประกอบกิจการนั้นมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือไม่ ให้ถือว่า ข้อบังคับเกี่ยวกับการทํางาน ที่นายจ้างจัดให้มีตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตาม พระราชบัญญัตินี้ และข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง อย่างน้อยต้องมีข้อความสําคัญในหัวข้อดังต่อไปนี้
1. เงื่อนไขการจ้างหรือการทํางาน เช่น ก่อนเริ่มทํางานจําเป็นต้องมีผู้ค้ําประกันหรือไม่ การจ้าง มีกําหนดระยะเวลาหรือไม่มีกําหนดระยะเวลา
2. กําหนดวันและเวลาทํางานแต่ละวัน เช่น เวลาเริ่มงาน เวลาเลิกงาน รวมทั้งวันหยุด ประจําสัปดาห์ เป็นต้น
3. ค่าจ้างการทํางาน ให้เป็นรายวันหรือรายเดือน คิดเป็นเงินเท่าไร
4. สวัสดิการที่นายจ้างจัดให้ เช่น เมื่อลูกจ้างเจ็บป่วย มีสวัสดิการด้านปฐมพยาบาล ห้องพยาบาล หรือ บริการรถรับส่งไป-กลับ มาที่ทํางาน
5. การเลิกจ้าง มีกรณีใดบ้างที่นายจ้างสามารถบอกเลิกจ้างได้ทันที หรือกรณีลาออกจาก การเป็นลูกจ้าง ต้องปฏิบัติอย่างไร
6. การยื่นเรื่องราวร้องทุกข์ของลูกจ้างหากมีปัญหา จะต้องปฏิบัติอย่างไร
7. การแก้ไขเพิ่มเติม หรือการต่ออายุข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง จะต้องทําอย่างไร เป็นต้น
ระยะเวลาของข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ใช้บังคับ พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ กําหนดไว้ดังนี้ 4
ให้มีผลใช้บังคับตามระยะเวลาที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกัน คือ ตกลงไว้นานกี่ปีก็ให้เป็นไปตาม ข้อตกลงนั้น แต่จะตกลงให้ใช้บังคับเกิน 3 ปี ไม่ได้ กล่าวคือ ให้ใช้เวลาสูงสุดไม่เกิน 3 ปี แต่ถ้าข้อตกลง สภาพการจ้างทํากันไว้โดยไม่ได้กําหนดระยะเวลาข้อตกลงไว้ กฎหมายให้ถือว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับ สภาพการจ้างนั้น ใช้บังคับได้เพียง 1 ปี นับแต่วันที่นายจ้างและลูกจ้างได้ตกลงกัน หรือนับแต่วันที่นายจ้างรับ เอาลูกจ้างเข้าทํางานแล้วแต่กรณี หรือกรณีมีระยะเวลากําหนดไว้ และเมื่อถึงเวลาตามที่กําหนด นายจ้างและ ลูกจ้างมิได้มีการเจรจากันใหม่หรือทําการตกลงกันใหม่ กฎหมายให้ถือว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้น มีผลใช้บังคับไปอีกคราวละ 1 ปี
องค์การฝ่ายนายจ้าง
องค์การฝ่ายนายจ้าง
มายจ้างหรือลูกจ้างสามารถรวมตัวกัน เพื่อรักษาผลประโยชน์เกี่ยวกับกาจาง 4999 และผลงานที่จะได้รับ มีเสรีภาพในการรวมตัวกับองค์การเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน หลักการนี้เป็นที่ ยอมรับกันทั่วโลก โดยเฉพาะองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ซึ่งเรียกกันว่า ILO (International Labour Organization) ได้ตราอนุสัญญาเรื่องเสรีภาพในการรวมตัวกันเป็นสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการ ดําเนินการขององค์การ โดยกําหนดว่า ลูกจ้างและนายจ้างมีสิทธิเสรีภาพในการก่อตั้งและ ดําเนินการภายในองค์การของตนได้ โดยปราศจากการแทรกแซงหรือควบคุมของรัฐ โดยเฉพาะ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ฉบับปัจจุบัน มาตรา 64 วรรคแรก บัญญัติไว้ว่า “บุคคล ย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันเป็นสมาคม สหภาพ สหพันธ์ สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร องค์การเอกชน องค์การ พัฒนาเอกชนหรือหมู่คณะอื่น”
สําหรับองค์การฝ่ายนายจ้าง ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ได้กําหนด องค์การฝ่ายนายจ้างไว้มี 3 ระดับ
1. สมาคมนายจ้าง
2. สหพันธ์นายจ้าง
3. สภาองค์การนายจ้าง
สมาคมนายจ้าง
สมาคมนายจ้าง หมายความว่า “องค์การของนายจ้าง ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติแรงงาน สัมพันธ์ พ.ศ. 2518”
สมาคมนายจ้างที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัตินี้ จะต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อการแสวงหา และคุ้มครองผลประโยชน์เกี่ยวกับการจ้าง และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง และระหว่างนายจ้างด้วยกันเอง
ผู้มีสิทธิขอจดทะเบียนสมาคมนายจ้าง กฎหมายกําหนดให้นายจ้างที่ประกอบกิจการประเภท เดียวกัน บรรลุนิติภาวะและมีสัญชาติไทย จํานวนไม่น้อยกว่า 3 คนเป็นผู้เริ่มก่อการยื่นคําขอต่อนายทะเบียน พร้อมด้วยร่างข้อบังคับของสมาคมนายจ้างอย่างน้อย 3 ฉบับ คําขอต้องระบุชื่อ อายุ อาชีพหรือวิชาชีพ และที่อยู่ของผู้เริ่มก่อการทุกคน
อํานาจหน้าที่ของสมาคมนายจ้าง
อํานาจหน้าที่ของสมาคมนายจ้างคือ
1. เรียกร้องเจรจา ทําความตกลงและรับทราบคําชี้ขาด หรือทําข้อตกลงกับสหภาพแรงงาน หรือลูกจ้างในกิจการของสมาชิกได้
2. จัดการและดําเนินการเพื่อให้สมาชิกได้รับประโยชน์ ทั้งนี้ภายใต้บังคับของวัตถุประสงค์ ของสมาคมนายจ้าง
3. จัดให้มีบริการสนเทศเพื่อให้สมาชิกมาติดต่อเกี่ยวกับการดําเนินธุรกิจ
4. จัดให้มีบริการให้คําปรึกษา เพื่อแก้ไขปัญหาหรือขจัดข้อขัดแย้ง เกี่ยวกับการบริหารงานและ การทํางาน
5. จัดให้มีการให้บริการเกี่ยวกับการจัดสรรเงินหรือทรัพย์สินเพื่อสวัสดิการของสมาชิก หรือเพื่อสาธารณประโยชน์ ทั้งนี้ตามที่ที่ประชุมใหญ่เห็นสมควร
6. เรียกเก็บเงินค่าสมาคมเป็นสมาชิก และเก็บค่าบํารุงตามอัตราที่กําหนดในข้อบังคับของ สมาคมนายจ้าง
อํานาจหน้าที่ของสมาคมนายจ้างดังกล่าวนี้ ก็เพื่อแสวงหาและคุ้มครองผลประโยชน์เกี่ยวกับ สภาพการจ้าง และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง และระหว่างนายจ้างด้วยกันเอง
สหพันธ์นายจ้าง
ได้กล่าวมาแล้วว่าองค์การฝ่ายนายจ้างระดับล่างสุดคือ สมาคมนายจ้าง ระดับสูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ขององค์การฝ่ายนายจ้าง คือ สหพันธ์นายจ้าง ดังที่กฎหมายกําหนดไว้ว่า “สมาคมนายจ้างตั้งแต่ 2 สมาคมขึ้นไปที่มีสมาชิกประกอบกิจการประเภทเดียวกันอาจรวมกันจดทะเบียนจัดตั้งเป็นสหพันธ์นายจ้าง เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสมาคมนายจ้าง และคุ้มครองผลประโยชน์ของสมาคมนายจ้าง และนายจ้างได้”
จากหลักกฎหมาย สมาคมนายจ้าง สามารถจัดตั้งสหพันธ์นายจ้างได้ โดยมีหลักเกณฑ์ ดังนี้
1. มีสมาคมนายจ้าง ที่ประกอบกิจการประเภทเดียวกันตั้งแต่ 2 สมาคมขึ้นไป เช่น สมาคมผู้ผลิตวิทยุกระจายเสียง และสมาคมผู้ผลิตวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ รวม 2 สมาคม และประกอบกิจการอาชีพเดียวกัน
2. รวมกันเพื่อขอจดทะเบียนกับนายทะเบียนจัดตั้งเป็นสหพันธ์นายจ้าง
3. มีวัตถุประสงค์ของสหพันธ์นายจ้าง เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสมาคมนายจ้าง คุ้มครองผลประโยชน์ของสมาคมนายจ้างและกิจกรรมของนายจ้างด้วยกันเท่านั้น จะตั้งเพื่อมีวัตถุประสงค์อื่น
มิได้
4. เมื่อทําการจดทะเบียนถูกต้องแล้ว ให้สหพันธ์นายจ้าง มีฐานะเป็นนิติบุคคล
5. สมาชิกของสหพันธ์นายจ้าง คือ สมาคมนายจ้างอย่างน้อยตั้งแต่ 2 สมาคมขึ้นไป ดังนั้น สมาคมนายจ้างในฐานะเป็นสมาชิกของสหพันธ์นายจ้าง จึงมีสิทธิส่งผู้แทนเข้าร่วมประชุมและดําเนินการ ของสหพันธ์นายจ้างได้ตามจํานวนที่กําหนดไว้ในข้อบังคับของสหพันธ์นายจ้าง ผู้ดําเนินกิจการของสหพันธ์ นายจ้างก็ได้แก่ ผู้แทนของสมาคมนายจ้างนั่นเอง รวมทั้งคณะกรรมการสหพันธ์นายจ้างก็จะเลือกตั้ง มาจากผู้แทนของสมาคมนายจ้างนั้น
6. การจัดตั้ง การจดทะเบียน การดําเนินการ มีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกันกับสมาคมนายจ้าง
สภาองค์การนายจ้าง
องค์การฝ่ายนายจ้างอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นระดับสูงสุดคือ สภาองค์การนายจ้าง กฎหมายกําหนดไว้ดังนี้
สมาคมนายจ้างหรือสหพันธ์นายจ้างไม่น้อยกว่า 5 แห่ง อาจจัดตั้งสภาองค์การนายจ้าง เพื่อส่งเสริม สภาการศึกษาและส่งเสริมการแรงงานสัมพันธ์ได้สภาองค์การนายจ้างต้องมีข้อบังคับ และต้องจดทะเบียน ต่อนายทะเบียน เมื่อได้ทะเบียนแล้วให้สภาองค์การนายจ้างเป็นนิติบุคคล
จากหลักกฎหมายสภาองค์การนายจ้าง จึงเป็นองค์การสงสดของนายจ้าง การตั้งสภาองค์การ นายจ้าง อาจตั้งได้ 2 กรณี คือ สมาคมนายจ้างไม่น้อยกว่า 5 แห่ง ร่วมกันจัดตั้งหรือสหพันธ์นายจาง ไม่น้อยกว่า 5 แห่ง ร่วมกันจัดตั้ง เช่นเดียวกัน ด้วยการจัดทําข้อบังคับของสภาองค์การนายจาง แล้วนําไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียน เมื่อจดทะเบียนแล้ว สภาองค์การนายจ้างก็มีฐานะเป็นนิติบุคคล “
วัตถุประสงค์ของสภาองค์การนายจ้างก็เพื่อส่งเสริมการศึกษา และส่งเสริมการแรงงานสัมพันธ์ เท่านั้น คือ ให้การศึกษาให้ความรู้เกี่ยวกับสมาคมนายจ้าง สหพันธ์นายจ้าง และส่งเสริมให้องค์การฝ่าย นายจ้างทุกระดับมีความพร้อม มีความสมบูรณ์ต่อการปฏิบัติงาน และมีการร่วมงานกับองค์การฝ่ายลูกจ้าง ได้เป็นอย่างดี การจัดตั้ง การจดทะเบียน การดําเนินการ ตลอดจนการควบคุมสภาองค์การนายจ้าง มีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับสมาคมนายจ้างและสหพันธ์นายจ้าง
รุปองค์การฝ่ายนายจ้าง
องค์การฝ่ายลูกจ้าง
องค์การฝ่ายลูกจ้าง
องค์การฝ่ายลูกจ้างที่ลูกจ้างสามารถจัดตั้งได้ตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ ฉบับนี้มี 3 ระดับ ทำนองเดียวกับองค์การฝ่ายนายจ้าง ได้แก่
1. สหภาพแรงงาน
2. สหพันธ์แรงงาน
3. สภาองค์การลูกจ้าง
สหภาพแรงงาน
สหภาพแรงงาน คือ องค์การฝ่ายลูกจ้างระดับล่างสุด ที่ลูกจ้างตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติ แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสหภาพแรงงาน ก็เพื่อแสวงหา และคุ้มครอง ผลประโยชน์เกี่ยวกับสภาพการจ้าง และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างและระหว่าง ลูกจ้างด้วยกันเอง
หลักกฎหมายการจัดตั้งสหภาพแรงงาน ซึ่งเป็นองค์การฝ่ายลูกจ้างขั้นต้นหรือล่างสุด มีดังนี้
1. ผู้มีสิทธิจัดตั้งสหภาพแรงงาน ต้องเป็นลูกจ้างของนายจ้างคนเดียวกันมีจํานวนไม่น้อยกว่า 10 คน หรือเป็นลูกจ้างซึ่งทํางานประเภทเดียวกัน มีจํานวนไม่น้อยกว่า 10 คน โดยไม่คํานึงว่าจะมีนายจ้างกี่คน
ตัวอย่าง
ลูกจ้างจํานวนไม่น้อยกว่า 10 คน ต่างก็เป็นลูกจ้างของนาย ก คือมีนายจ้างคนเดียวกัน ลูกจ้าง ดังกล่าวสามารถจัดตั้งสหภาพแรงงานได้ กรณีนี้เน้นที่ตัวนายจ้างคนเดียว มีลูกน้องหรือลูกจ้าง 10 คน ขึ้นไป รับคําสั่งการทํางานจากนายจ้างคนเดียวกัน และอีกกรณีหนึ่ง ลูกจ้างมีนายจ้างต่างรายกัน แต่ลูกจ้างดังกล่าว มีงานที่ทําเป็นอย่างเดียวกัน เช่น ทํางานจักสานไม้ไผ่ด้วยมือ มารวมตัวกันมากกว่า 10 คนขึ้นไป แม้จะมีนายจ้างต่างรายกัน ก็สามารถรวมตัวเป็นผู้เริ่มก่อการยื่นคําร้องเป็นหนังสือร้องขอ Peนายระเบียน เพื่อขอจัดตั้งสหภาพแรงงานได้ แต่มีข้อแม้ว่า ลูกจ้างทุกคนนั้นจะต้องเป็นผู้บรรล นิติภาวะแล้ว และมีสัญชาติไทย
2. สหภาพแรงงานต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อการแสวงหาและคุ้มครองผลประโยชน์เกี่ยวกับ สภาพการจ้าง และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างและระหว่างลูกจ้างด้วยกัน 16
3. สหภาพแรงงานต้องมีข้อบังคับ และจดทะเบียนต่อนายทะเบียน เมื่อได้จดทะเบียนแล้ว ให้สหภาพแรงงานเป็นนิติบุคคล 17
4. ข้อบังคับของสหภาพแรงงานอย่างน้อยต้องมีข้อความดังต่อไปนี้ 18
4.1 ชื่อสหภาพแรงงาน เช่น สหภาพแรงงานทอผ้าไทย
4.2 วัตถุประสงค์ของสหภาพแรงงาน คือ การแสวงหาและคุ้มครองผลประโยชน์เกี่ยวกับ สภาพการจ้างอย่างไร และส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างและระหว่างลูกจ้าง ด้วยกันเองอย่างไร
4.3 ที่ตั้งสํานักงานสหภาพแรงงาน
4.4 วิธีรับสมาชิกและการขาดจากสมาชิกภาพ
4.5 อัตราเก็บค่าสมัคร ค่าบํารุง และวิธีการชําระเงิน
4.6 ข้อกําหนดเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของสมาชิก
4.7 ข้อกําหนดเกี่ยวกับการจัดการ การใช้จ่าย การเก็บรักษาเงินและทรัพย์สินอื่น ตลอดจน การทําบัญชีและตรวจบัญชี
4.8 ข้อกําหนดเกี่ยวกับวิธีการพิจารณาในการนัดหยุดงาน และวิธีการอนุมัติข้อตกลงเกี่ยวกับ สภาพการจ้าง
4.9 ข้อกําหนดเกี่ยวกับการประชุมใหญ่
4.10 ข้อกำาหนดเกี่ยวกับจํานวนกรรมการการเลือกตั้งกรรมการ วาระของการเป็นกรรมการ การพ้นจากตําแหน่งของกรรมการ และการประชุมของคณะกรรมการ
5. เพื่อประโยชน์ของสมาชิกสหภาพแรงงาน ให้สหภาพแรงงานมีอํานาจหนาก
5.1 เรียกร้อง เจรจา ทําความตกลง และรับทราบคําชี้ขาด หรือทําข้อตกลงกับนายจ้างหรือ สมาคมนายจ้างในกิจการของสมาชิกได้
5.2 จัดการและดําเนินการเพื่อให้สมาชิกได้รับผลประโยชน์ ทั้งนี้ ภายใต้บังคับของวัตถุประสงค์ ของสหภาพแรงงาน
5.3 จัดให้มีการบริการสารสนเทศเพื่อให้สมาชิกมาติดต่อเกี่ยวกับการจัดหางาน
5.4 จัดเหมีการบริการการให้คําปรึกษาเพื่อแก้ไขปัญหา หรือขจัดข้อขัดแย้งเกี่ยวกับ การบริหารงานและการทํางาน
5.5 จัดให้มีการบริการเกี่ยวกับการจัดสรรเงิน หรือทรัพย์สิน เพื่อสวัสดิการของสมาชิก หรือเพื่อสาธารณประโยชน์ ทั้งนี้ ตามที่ประชุมใหญ่เห็นสมควร
5.6 เรียกเก็บเงินค่าสมัครเป็นสมาชิกและเงินค่าบํารุงตามอัตราที่กําหนดในข้อบังคับของ สหภาพแรงงาน
6. ให้สหภาพแรงงาน มีคณะกรรมการเป็นผู้ดําเนินกิจการ และเป็นผู้แทนของสหภาพแรงงาน ในกิจกรรมที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก คณะกรรมการสหภาพแรงงานอาจตั้งอนุกรรมการเพื่อปฏิบัติตามที่ มอบหมายได้ กรรมการหรืออนุกรรมการ ต้องมีคุณสมบัติ คือ สมาชิกสหภาพแรงงานนั้นๆ มีสัญชาติไทย โดยการเกิด (มิใช่จากการแปลงสัญชาติ) และต้องมีอายุไม่ต่ํากว่า 20 ปี
สหพันธ์แรงงาน
สหพันธ์แรงงาน เป็นองค์การของลูกจ้าง สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง จากระดับสหภาพแรงงาน ลักษณะการเป็นสมาชิกและการดําเนินงานของสหพันธ์แรงงาน คล้ายกับสหพันธ์นายจ้าง (กลุ่มขององค์การ ฝ่ายนายจ้าง) ตามที่กล่าวมาแล้ว วัตถุประสงค์ของการตั้งสหพันธ์แรงงานในกลุ่มองค์การฝ่ายลูกจ้าง ก็เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหภาพแรงงาน และคุ้มครองผลประโยชน์ของสหภาพแรงงาน และลูกจ้าง ตามที่กฎหมายกําหนดไว้ดังนี้ 21
1. สหภาพแรงงานตั้งแต่ 2 สหภาพแรงงานขึ้นไป และแต่ละสหภาพแรงงานมีสมาชิกเป็นลูกจ้าง ของนายจ้างคนเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างทํางานประเภทเดียวกันหรือไม่ หรืออาจมีลูกจ้างซึ่งทํางาน ในกิจการประเภทเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นลูกจ้างของนายจ้างคนเดียวกันหรือไม่อาจรวมกันจดทะเบียน จัดตั้งเป็นสหพันธ์แรงงานได้
2. วัตถุประสงค์ของสหพันธ์แรงงาน เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างสหภาพแรงงาน และคุ้มครองผลประโยชน์ของสหภาพแรงงานและลูกจ้าง
3. เมื่อจดทะเบียนต่อนายทะเบียนถูกต้องแล้วให้สหพันธ์แรงงานมีฐานะเป็นนิติบุคคล
4. สหพันธ์แรงงานมีสมาชิกประกอบด้วย สหภาพแรงงานตั้งแต่ 2 สหภาพขึ้นไป ดังนั้น สหภาพแรงงานซึ่งเป็นสมาชิกสหพันธ์แรงงานจึงมีสิทธิส่งผู้แทนของตนเข้าร่วมประชุม และดําเนินในกิจการ ของสหพันธ์แรงงานได้ตามจํานวนที่กําหนดไว้ในข้อบังคับว่าด้วยวิธีการจัดการสหพันธ์แรงงาน ผู้ดําเนิน กิจการของสหพันธ์แรงงานก็ได้แก่ ผู้แทนของสหพันธ์แรงงานนั่นเอง รวมทั้งคณะกรรมการสหพันธ์แรงงาน ก็จะเลือกตั้งจากผู้แทนของสหพันธ์แรงงาน ซึ่งเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานนั้น
5. การจัดตั้ง การจดทะเบียน การดําเนินกิจการ มีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกันกับสหภาพแรงงาน
สภาองค์กรลูกจ้าง
ระดับสูงขององค์การฝ่ายลูกจ้าง คือ สภาองค์การลูกจ้าง กฎหมายกําหนดไว้ดังนี้
สหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงานไม่น้อยกว่า 15 แห่ง อาจจัดตั้งสภาองค์การลูกจ้างเพื่อส่งเสริม การศึกษาและส่งเสริมการแรงงานสัมพันธ์ให้แก่สหภาพแรงงาน และสหพันธ์แรงงาน สภาองค์การลูกจ้าง ต้องมีข้อบังคับและจดทะเบียนต่อนายทะเบียน เมื่อจดทะเบียนแล้วให้สภาองค์การลูกจ้างเป็นนิติบุคคล
จากหลักกฎหมายข้างต้นการจัดตั้งสภาองค์การลูกจ้างอันเป็นองค์การสูงสุดขององค์การฝ่ายลูกจ้าง อาจจัดตั้งมาจากองค์การลูกจ้าง 2 ทาง คือ จัดตั้งโดยสหภาพแรงงาน หรือจัดตั้งโดย สหพันธ์แรงงานก็ได้ มีข้อแม้ว่า แต่ละองค์การต้องมีจํานวนสหภาพแรงงาน หรือสหพันธ์แรงงาน ไม่น้อยกว่า 15 แห่ง ด้วยการ จัดทําข้อบังคับของสภาองค์การลูกจ้าง แล้วนําไปจดทะเบียน ต่อนายทะเบียน เมื่อจดทะเบียนถูกต้องแล้ว สภาองค์การลูกจ้างก็มีฐานะเป็นนิติบุคคล
ผู้ที่เป็นสมาชิกของสภาองค์การลูกจ้าง ก็คือ สหภาพแรงงานหรือสหพันธ์แรงงาน จํานวนไม่น้อยกว่า 15 แห่งเท่านั้น ลูกจ้างอื่นหรือนิติบุคคลอื่นจะมาเป็นสมาชิกของสภาองค์การลูกจ้างมิได้
วัตถุประสงค์ของสภาองค์การลูกจ้างคล้ายกับวัตถุประสงค์ของสภาองค์การนายจ้าง คือ เพื่อส่งเสริม การศึกษาและส่งเสริมการแรงงานสัมพันธ์เท่านั้น ด้วยการให้ความรู้แก่สหภาพแรงงาน และสหพันธ์แรงงาน พร้อมส่งเสริมให้องค์การฝ่ายลูกจ้างทุกระดับมีความรู้สมบรณ์ในการปฏิบัติงาน และประสานงานกับ องค์การฝ่ายนายจ้างได้อย่างดี
ส่วนการจัดตั้ง การจดทะเบียน การดําเนินการ ตลอดจนการควบคุมองค์การลูกจ้างยึดหลักเกณฑ์ เช่นเดียวกันกับสหภาพแรงงานและสหพันธ์แรงงาน
สรุปองค์การฝ่ายลูกจ้าง