หน่วยที่ 1 สัญญาจ้างแรงงาน

ลักษณะสำคัญของสัญญาจ้างแรงงาน

ลักษณะสำคัญของสัญญาจ้างแรงงาน

การจ้างแรงงานเกิดขึ้นระหว่างบุคคลสองฝ่าย คือ ฝ่ายนายจ้าง กับฝ่ายลูกจ้าง ที่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันก่อให้มีสัญญาเกิดขึ้น หลักกฎหมายลักษณะจ้างแรงงานตามประมวล กฎหมายแพ่งพาณิชย์วางหลักไว้ว่า

“จ้างแรงงานคือสัญญาซึ่งบุคคลหนึ่ง เรียกว่า ลูกจ้าง ตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่านายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้”

จากหลักกฎหมาย ลักษณะสำคัญของการจ้างแรงงาน จึงได้แก่

1. จ้างแรงงานเป็นสัญญา คือ มีบุคคลสองฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้าง จะเป็นฝ่ายละหนึ่งคนหรือหลายคนก็ได้มาตกลงกัน มีนิติสัมพันธ์กันในทางกฎหมาย

2. เป็นสัญญาต่างตอบแทน กล่าวคือ คู่สัญญา ได้แก่ นายจ้างและลูกจ้างต่างก็มีหน้าที่ต้องตอบแทน หรือต่างตอบแทนให้แก่กันตามสัญญา

3. วัตถุแห่งสัญญาคืองานที่ทำ วัตถุแห่งสัญญา หมายถึง สาระหลักใหญ่ตามจุดประสงค์ของสัญญาคือ งานที่นายจ้างมอบให้ลูกจ้างทำ ซึ่งในทางกฎหมายเรียกว่า วัตถุแห่งสัญญา คือ งานที่ให้ลูกจ้างทำ

4. ลูกจ้างต้องทำงานให้นายจ้าง และนายจ้างต้องให้ค่าจ้างแก่ลูกจ้าง ความหมาย นี้เป็นหน้าที่ของคู่สัญญาต้องปฏิบัติตอบแทนให้กันและกัน คือ ลูกจ้างต้องทำงานให้นายจ้าง ทำ อาจเป็นการใช้แรงงาน เช่น ออกแรงทำสวน งานก่อสร้าง งานขับรถประจำ หรืองานที่ทำอาจเป็นงานที่ใช้สมอง เช่น จ้างเป็นบรรณาธิการเป็นพนักงานประจำห้างร้าน เป็น พนักงานพิมพ์หนังสือ เป็นต้น ส่วนนายจ้างมีหน้าที่ตอบแทนด้วยการให้ค่าจ้างหรือสินจ้างแก่ลูกจ้าง ค่าจ้างโดยทั่วไปคือเงิน แต่อาจตกลงกันว่าให้หรือรับค่าจ้างเป็นทรัพย์สินอื่น ก็ได้ เช่น ลูกจ้างทำงานบ้าน นายจ้างอาจให้ค่าจ้างลูกจ้างตามที่ตกลงกันว่าให้อยู่อาศัยในบ้าน จัดซื้อเสื้อผ้าให้ตามสมควร และให้เงินใช้รายเดือนบ้างตามสมควร ก็ถือว่าเป็นค่าจ้าง ได้ หรือจ้างคนขับรถมาขับรถรับส่งไปทำงาน ระหว่างค่อยรับกลับอาจอนุญาตให้ไปศึกษาต่อโดยนายจ้างออกค่าใช้จ่ายให้ หรือจ้างมาเกี่ยวข้าวในนาแล้วให้นำข้าวเปลือกที่เกี่ยวได้ เป็นสินจ้างบ้างส่วนตอบแทนสินจ้าง ข้อตกลงนี้ถือได้ว่าเป็นค่าจ้างหรือสินจ้างที่นายจ้างตอบแทนให้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนายจ้างและลูกจ้าง คือ คู่สัญญาจะตกลงกันก่อนเริ่มสัญญาจ้าง

5. มุ่งที่ผลของงานเฉพาะคราวนั้นๆ กล่าวคือ งานที่ทำในครั้งนั้นๆ จะสำเร็จ หรือไม่สำเร็จก็ได้ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของนายจ้าง เช่น จ้างสร้างบ้านเป็นแรงงานรายวัน จ้างขับรถ ประจำตัว หรือ จ้างให้นำเงินไปฝากที่ธนาคาร จ้างรถจักรยานยนต์รับจ้างไปส่งที่ป้ายรถโดยสารประจำทาง เป็นต้น

6. นายจ้างมีอำนาจควบคุมบังคับบัญชาลูกจ้าง หมายความว่า ลูกจ้างต้องรับคำสั่งเพื่อทำงานจากนายจ้าง รับคำแนะนำหรือแก้ไขตามคำสั่งนายจ้าง และรวมถึงนายจ้างอาจต้อง จัดหาอุปกรณ์ เครื่องมือสัมภาระที่ใช้ในการทำงาน ตลอดถึงเลี้ยงดูข้าวปลาอาหารระหว่างที่ลูกจ้างทำงานให้นายจ้างหรือไม่ด้วยก็ได้

7. ไม่ได้ตกลงเรื่องค่าจ้าง กฎหมายให้สันนิษฐานว่านายจ้างมีคำมั่นว่าจะให้ค่าจ้าง หมายความว่า เมื่อให้ลูกจ้างมาทำงานให้นายจ้างแล้ว นายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างเสมอแม้ การจ้างครั้งนั้นไม่ได้มีการตกลงกันเลยว่าจะให้ค่าจ้าง และตามพฤติการณ์ของลูกจ้างก็ไม่ได้แสดงว่าจะทำให้เปล่าหรือไม่คิดค่าจ้าง กรณีเช่นนี้ กฎหมายให้สันนิษฐานว่านายจ้างมี คำมั่นว่าจะให้ค่าจ้าง คือ ต้องให้ค่าจ้างเมื่อทำงานให้แล้ว จะไล่กลับหรือนำส่งกลับโดยมิให้ค่าจ้างมิได้ อนึ่ง ขอบเขตของสัญญาจ้างแรงงาน หรือการจ้างแรงงานตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์นี้ มีข้อยกเว้น คือ มิให้นำไปใช้แก่นายจ้างและลูกจ้างที่เป็นส่วนของหน่วยงานราชการเพราะข้าราชการที่เป็นนายจ้างหรือลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างเป็นราย เดือนจากส่วนราชการ และอยู่ในความควบคุมบังคับบัญชากำกับดูแลของทางราชการนั้น ไม่จัดอยู่ในความหมายของลูกจ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ศึกษาอยู่ใน ขณะนี้ เพราะส่วนราชการจะมีกฎหมายพิเศษแยกไว้ต่างหากตามกระทรวง ทบวง กรมนั้นๆ เช่น ลูกจ้างของกระทรวงกระทรวงกลาโหม ลูกจ้างที่ทำหน้าที่เป็นคนขับรถของกอง วิทยาลัยเทคนิค สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เป็นต้น ย่อมไม่อยู่ในบังคับของคำว่าลูกจ้าง ตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์


สิ่งที่ผู้เรียนควรสนใจเป็นพิเศษอีกประการหนึ่ง คือ สัญญาจ้างแรงงาน กับสัญญาจ้างทำนองจะมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก บ้างครั้งอาจสับสนและไม่แน่ใจว่า ลักษณะงาน แบบนี้งานงานจ้างแรงงานหรือจ้างทำของ ซึ่งมีหลักการพิจารณาง่ายๆ 2 ประการ คือ

ประการแรก อำนาจในการควบคุมบังคับบัญชาที่มีต่อลูกจ้างอยู่ที่ใคร ถ้าอยู่ที่นายจ้าง นั่นคือ การจ้างแรงงาน แต่ถ้าไม่อยู่ที่นายจ้างก็จะเป็นการจ้างทำของ

ประการที่สอง ผลสำเร็จของงานตามที่ตกลงกัน หรือทำนั้นครั้งนั้นๆ ถ้าผลจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จขึ้นอยู่กับนายจ้าง ก็จะเป็นการจ้างแรงงานแต่ถ้าผลงานที่ตกลงกันต้องสำเร็จแล้วส่งมอบ ก็จะเป็นการจ้างทำของ ผู้ว่าจ้างไม่ต้องไปควบคุมบังคับบัญชา เมื่อตกลงกันแล้วเป็นหน้าที่ของผู้รับจ้างจะไปดำเนินการตามสัญญา แล้วนำผลงานมาส่งมอบให้เมื่องานที่รับไปเสร็จตามสัญญา และการเรียกชื่อของคู่สัญญาจ้างทำของ จะเรียกต่างกับจ้างแรงงาน โดยเรียกว่า ผู้ว่าจ้างฝ่ายหนึ่ง และผู้รับจ้างฝ่ายหนึ่ง


ตัวอย่าง

การพิจารณาว่าเป็นจ้างแรงงานหรือจ้างทำของ

นายรวยให้นายจนมาก่อสร้างบ้าน โดยนายรวยเป็นผู้มอบหมายงานให้ทำและจ่ายค่าจ้างให้ทุกวัน นิติสัมพันธ์ระหว่างนายรวยกับนายจนจึงเป็นสัญญาจ้างแรงงาน หายใช่จ้างนาย จนมาทำการก่อสร้างบ้านแบบเหมา อันจะเรียกว่าเป็นการจ้างทำของไม่




แบบของสัญญาจ้างแรงงาน

แบบของสัญญาจ้างแรงงาน

จากลักษณะสำคัญของสัญญาจ้างแรงงานที่กล่าวข้างต้น กฎหมายไม่ได้กำหนดไว้แต่อย่างใดว่าสัญญาจ้างแรงงานจะต้องทำกันอย่างไร การที่ไม่กล่าวหรือบัญญัติไว้ เพราะสัญญาจ้างแรงงานไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ต้องทำอย่างไร นั้นคือ เป็นสัญญาที่ไม่มีแบบหรือไม่ต้องทำตามแบบแต่อย่างใดซึ่งต่างกับสัญญาบางชนิดจะมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยแน่ชัด หากไม่ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้สัญญานั้นจะไม่สมบูรณ์ หรือตกเป็นโมฆะ อันมีผลนั้นให้สัญญานั้นเสียเปล่า นำมาใช้บังคับกันไม่ได้

ฉะนั้น เมื่อไม่มีกฎหมายบังคับแบบสัญญาจ้างแรงงานไว้ การทำสัญญาจ้างแรงงานจึงไม่มีแบบแห่งนิติกรรม คู่สัญญาอาจทำสัญญากันด้วยวาจา คือ พูดและตกลงกันตามธรรมดาด้วยปากเปล่าหรืออาจทำสัญญากันเป็นหนังสือระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างก็ได้ สัญญาดังกล่าวก็ใช้บังคับกันได้เสมอ

อนึ่ง สัญญาจ้างแรงงานจะเกิดขึ้นโดยปริยายก็ได้ เช่น นายรวยให้นายจนขับรถยนต์ของตน และจ่ายค่าจ้างให้เป็นรายเดือนมาตลอด ต่อมานายจนเกิดป่วยมาขับรถยนต์ให้นายรวยไม่ได้ จึงให้นายมาน้องชายมาขับรถยนต์แทน และนายรวยก็มิได้ว่าอะไร เช่นนี้ถือว่าสัญญาจ้างแรงงานเพื่อให้นายมาเป็นคนขับรถยนต์เกิดขึ้นแล้วโดยปริยาย


สิทธิ หน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้าง


สิทธิ หน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้าง

เมื่อนายจ้างและลูกจ้างมีนิติสัมพันธ์ตามสัญญาจ้างแรงงานต่อกันแล้ว จะก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่ขึ้นระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง

มีรายละเอียดดังนี้

1. นายจ้างมีสิทธิและหน้าที่

1.1 สิทธินายจ้าง

1) มีสิทธิออกคำสั่งให้ลูกจ้างทำงานที่ตกลงหรือมีสัญญาต่อกัน เช่น นายมีตกลงให้นายจนมาดายหญ้าและปลูกต้นไม้หน้าบ้านของนายมี นายมีย่อมมีสิทธิออกคำสั่งบอกกล่าวชี้แนะ หรือ แนะนำให้นายจนทำงานบริเวณที่จะต้องถากถางดายหญ้าและปลูกต้นไม้ได้

2) มีสิทธิโอนสิทธิการเป็นนายจ้างของตนให้แก่บุคคลอื่นได้เมื่อลูกจ้างยินยอรม และขายกิจกา เช่น นายมีจ้างให้นายจนมาเป็นลูกจ้างประจำร้านของตน ต่อมานายมีเลิกกิจการร้านค้าของตน และขายกิจการให้นายรวย พร้อมโอนสิทธิการเป็นนายจ้างของนายจนไปให้นายรวยด้วย กรณีเช่นนี้ จะต้องสอบถามนายจนก่อนว่ายินยอมไปเป็นลูกจ้างให้แก่นายรวยหรือไม่ ถ้านายจนตกลงยินยอมก็สามารถโอนสิทธิไปได้

3) มีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้

ก. ถ้าลูกจ้างให้บุคคลภายนอกมาทำงานแทนตน โยนายจ้างไม่ยินยอม เช่น นายมีจ้างนายจนขับรถยนต์ประจำบ้าน ต่อมานายจนได้งานอื่นให้นายมาน้องชายมาขับรถยนต์แทนโดยไม่ได้แจ้งให้นายมีทราบและยินยอมก่อน หากนายมีไม่ชอบนายมานายมีมีสิทธิบอกเลิกสัญญาว่าจ้างขับรถยนต์นั้นได้ เพราะนายจ้างต้องเพ่งเล็งถึงคุณสมบัติของงลูกจ้างเป็นสำคัญประกอบด้วย

ข. ถ้าลูกจ้างขาดงานไปโดยปราศจากเหตุอันควร เช่น ลูกจ้างขาดงานติดต่อกันหลายวันทำให้งานเสียหาย นายจ้างบอกเลิกสัญญาได้ แต่ถ้าลูกจ้างขาดงานไปเพราะได้ข่าวบิดาตายจึงรีบไปงานศพโดยกะทันหัน มิได้บอกกล่าวให้นายจ้างเป็นเวลา 3 วัน อาจถือได้ว่าเป็นการขาดงานไปโดยมีเหตุผลอันสมควร และเวลาไม่นานนัก นายจ้างจะหาเป็นเหตุบอกเลิกสัญญาหรือเลิกจ้างไม่ได้

เว้นแต่การขาดงานนั้นจะทำให้นายจ้างนั้นได้รับความเสียหายอย่าใหญ่หลวง

ค. ถ้าลูกจ้างแสดงตนไว้ว่าเป็นผู้มีฝีมือแต่ปรากฏว่าไร้ฝีมือ เช่น นายมีจ้างนายดำมาปูกระเบื้องพื้นห้องน้ำ ก่อนว่าจ้างนายดำคุยอวดว่าตนมีฝีมือ สามารถปูกระเบื้องได้อย่างเรียบร้อยสวยงาม เพราะมีผลงานก่อสร้างโรงแรมชั้นหนึ่งมาแล้ว แต่ผลงานปูกระเบื้องปรากฏว่าแนวกระเบื้องคดเคี้ยวไม่เรียบร้อย เหมือนหัดปูใหม่ นายมีย่อมใช้สิทธิตามกฎหมายบอกเลิกการจ้างได้

4) ว่าจ้างไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ นายจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ แต่ต้องอกกล่าวให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้า เมื่อถึงเดือนก่อนกำหนดจ่ายค่าสินค้าจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลการเลิกสัญญาเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวต่อไปข้างหน้าก็ได้ เช่น จ้างลูกจ้างเป็นรายเดือน จ่ายค่าจ้างทุกสิ้นเดือน เมื่อถึงวันที่ 25 พฤษภาคม นายจ้างได้บอกให้ลูกจ้างทราบว่าจะเลิกจ้าง และให้มีผลวันเลิกจ้าง คือ สิ้นเดือนมิถุนายน เช่นนี้ยอมทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ส่วนเรื่องค่าชดเชยจากการเลิกจ้างจะต้องพิจารณาเป็นรายๆ ไป

5) มีสิทธิไล่ลูกจ้างออกจากงานโดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้าได้ ถ้าลูกจ้างจงใจหรือปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้

ก. จงใจขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง

ข. ละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างเป็นประจำ

ค. กระทำความผิดอันร้ายแรง เช่น กระทำให้เกิดการแตกความสามัคคีในองค์กรหรือกระทำความผิดทางอาญา

ง. ละทิ้งหน้าที่การงานที่มอบให้เป็นประจำ หรือทำให้งานเกิดความเสียหายหรือขาดงานเป็นประจำ

จ. ไม่สุจริตต่อหน้าที่อันเป็นความผิดอันร้ายแรง เช่น ยักยอกเงินของนายจ้างหรือยักยอกเงินบริษัทที่เป็นนายจ้าง


ตัวอย่าง

นายดำลูกจ้างของบริษัท ตอกบัตรบันทึกเวลาทำงานแทนผู้อื่น เป็นพฤติกรรมส่อไปในทางไม่สุจริต เป็นการฝ่าฝืนข้อระเบียบบังคับ และกระทำผิดร้ายแรง บริษัทเลิกจ้างได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยการเลิกจ้างแก่นายดำแต่อย่างใด


1.2 หน้าที่นายจ้าง

1) มีหน้าที่ต้องจ่ายสินจ้างให้แก่ลูกจ้างตามระยะเวลาที่ตกลงกัน หรือตาจารีตประเพณีที่พึ่งจะจ่ายต่อกัน และถ้าไม่มีการตกลงทั้งสองประกาศดังกล่าวแล้ว ให้จ่ายสินจ้างเมื่อทำงานแล้วเสร็จ

2) มีหน้าที่ต้องออกใบสำคัญแสดงว่าลูกจ้างมาทำงานเท่าไร่ งานที่ทำเป็นอย่างไรเพื่อให้ลูกจ้างยึดถือไว้เมื่อการจ้างงานสิ้นสุดลง ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นหลักฐานแก่ลูกจ้างการที่จะนำใบสำคัญนี้ไปสมัครงานอื่น แสดงให้เห็นว่าทำงานที่ใด มีความชำนาญอย่างใดบ้างได้

3) มีหน้าที่ต้องออกค่าเดินทางให้ลูกจ้าง ถ้ากรณีที่นายจ้างได้นำลูกจ้างนั้นมาจากต่างถิ่นหรือต่างจังหวัด เมื่อการจ้างสิ้นสุดลง เพื่อให้ลูกจ้างเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม ทั้งนี้ให้อยู่ในเงื่อนไขดั้งนี้

ก. การจ้างงานมิได้เลิกงานเพราะลูกจ้างกระทำความผิด

ข. ลูกจ้างกลับไปยังถิ่นภูมิลำเนาที่จ้างมาภายในเวลาอันสมควร

4) มีหน้าที่รับผิดกับลูกจ้าง กรณีได้กระทำละเมิดและเกิดความเสียหายแก่บุคคลภายนอก ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้าง เช่น นายมีสั่งให้นายจนลูกจ้างขับรถนำของไปส่งในเมืองระหว่างทางนายจนขับรถโดยประมาท ซึ่งถือว่าเป็นความผิดของนายจน เป็นเหตุให้เกิดการเฉี่ยวชนกับรถของนายแดง และนายแดงได้รับความเสียหาย นายมีซึ่งเป็นนายจ้างของนายจนต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้นายแดง อันเป็นผลแห่งการละเมิดที่นายจนลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้าง

2. ลูกจ้างมีสิทธิและหน้าที่

2.1 สิทธิลูกจ้าง

1) มีสิทธิได้รับสินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้นายจ้าง

2) มีสิทธิได้บุคคลภายนอกทำงานแทนตนได้ เมื่อนายจ้างยินยอม

3) มีสิทธิที่จะได้รับใบสำคัญจากนายจ้าง หลังจากการจ้างแรงงานสิ้นสุดลง เพื่อแสดงว่า ลูกจ้างทำงานมานานเท่าไหร่ และงานที่ทำเป็นอย่างไร เพื่อสะดวกในการที่ลูกจ้างไปสมัครงานใหม่

4) หากลูกจ้างเป็นบุคคลที่นายจ้างได้จ้างมาจากต่างถิ่น และออกค่าเดินทางให้ เมื่อมีการเลิกจ้างอันมิใช่เพราะความผิดของลูกจ้างแล้ว ลูกจ้างมีสิทธิได้ค่าเดินทางขากลับไปยังถิ่นที่ได้จ้างมา

5) มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ถ้าสัญญาจ้างแรงงานไม่ได้กำหนดเวลาไว้ แต่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า

2.2 หน้าที่ลูกจ้าง

1) ต้องทำงานที่รับจ้างด้วยตนเอง เพราะการจ้างนั้นนายจ้างจะต้องพิจารณาคุณสมบัติของลูกจ้างเป็นสำคัญว่าเหมาะสมกับงาน หากจะให้บุคคลอื่นทำหน้าที่แทน ต้องให้นายจ้างรับรู้และยินยอมด้วย

2) ต้องมีความสามารถตามที่รับรองว่ามีคุณสมบัติและฝีมือ จนนายจ้างตกลงใจจ้างหากปฏิบัติงานแล้วไม่เป็นตามที่รับรองหรือไร้ฝีมือ อาจถูกนายจ้างบอกเลิกสัญญาได้

3) ต้องทำตามคำสั่งและปฏิบัติหน้าที่ให้นายจ้างด้วยความสุจริต




ความระงับแห่งสัญญาจ้างแรงงาน


ความระงับแห่งสัญญาจ้างแรงงาน


สัญญาจ้างแรงงานอาจระงับหรือเลิกได้ด้วยเหตุใหญ่ 3 ประการ คือ ระยะเวลา ตัวคู่สัญญา และ การบอกเลิกสัญญา

1. ระยะเวลา

1.1 สัญญาจ้างกำหนดระยะเวลาไว้ สัญญาจ้างที่กำหนดไว้อาจกำหนดเวลาจ้างเป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นเดือน หรือเป็นปีก็ได้ เช่น จ้างให้ดายหญ้าภายในบริเวณบ้านเป็นรายวัน จ้างให้ขับรถประจำบ้านเป็นรายเดือน หรือจ้างทำงานบ้านจำนวน 2 ปี ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นการจ้างแรงงานมีกำหนดระยะเวลาฉะนั้นถ้าเวลาจ้างสิ้นสุดลงแล้ว สัญญาย่อมระงับ หรือเรียกว่าสัญญาเลิกงาน แต่ถ้าระยะเวลาสิ้นสุดลงแล้ว ลูกจ้างยังคงทำงานต่อไป และตัวนายจ้างเองก็ไม่ทักท้วง กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า คู่สัญญาคือนายจ้างและลูกจ้างได้ทำสัญญากันใหม่ ตามกำหนดระยะเวลาเดิม และมีข้อความของสัญญาอย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม

1.2 สัญญาจ้างไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ คู่สัญญาตกลงว่าจ้างกัน แต่ไม่ระบุว่าจ้างกันนานเท่าไหร่ คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างในคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลบอกเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทำได้ แต่ไม่ต้องเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้าถึงสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อมีการบอกกล่าวล่วงหน้าแล้ว นายจ้างจะจ่ายสินจ้างให้ลูกจ้างเสียหายครบจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญา ตามกำหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียว แล้วปล่อยลูกจ้างออกจากงานเสียในทันทีก็อาจทำได้

ตัวอย่าง

นายรวยจ้างนายจนทำสวนเป็นรายเดือน โดยมิได้กำหนดเวลาไว้ว่าจ้างกี่เดือน แต่จ่ายสินจ้างหรือค่าจ้างให้ทุกวันที่ 1 ของเดือน กรณีนี้หากนายรวยต้องเลิกจ้าง ก็บอกล่วงหน้าให้นายจนทราบก่อนคราวหนึ่งของงวดการจ่ายค่าสินจ้าง เข่น ต้องเลิกจ้างสินเดือนตุลาคมก็ต้องบอกล่วงหน้าก่อนวันที่ 30 กันยายน เมื่อถึงวันที่ 31 ตุลาคม จ่ายเงินเดือนครั้งสุดท้ายให้แล้วสัญญาก็ระงับ หรือนายรวยซึ่งเป็นนายจ้าง ต้องการให้ลูกจ้างออกทันทีทันใด จะบอกกล่าวเลิกจ้างแล้วจ่ายเงินค่าจ้างหรือเงินจ้างทนแทนให้อีก 1 งวด แล้วลูกจ้างออกไปเลยก็ย่อมทำได้ แต่ถ้าจ่ายสินจ้างกันเป็นครึ่งปี (ทุก 6 เดือน) หรือทุกปี (รายปี) การบอกเลิกล่วงหน้าก็ต้องไม่นานถึงครึ่งปีหรือหนึ่งปี แค่บอกล่วงกล่าวหน้าเพียงสามเดือนก็พอแล้ว ส่วนลูกจ้างคือนายจนหากประสงค์จะเลิกสัญญา ก็ย่อมมีสิทธิด้วยการบอกกล่าวให้นายรวยทราบล่วงหน้าในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน

2. ตัวคู่สัญญา

คู่สัญญาได้แก่นายจ้างและลูกจ้าง อาจมีกรณีเป็นสาเหตุให้เลิกสัญญาได้ มีรายละเอียดดังนี้

2.1 ลูกจ้างตายหรือทุพพลภาพ การที่นายจ้างตัดสินใจจ้างลูกจ้างคนใดคนหนึ่งก็ด้วยเล็งเห็นคุณสมบัติของลูกจ้างว่าเหมาะสม และเป็นสมบัติของเฉพาะตัวของลูกจ้าง วัตถุแห่งสัญญาคืองานที่ลูกจ้างต้องทำให้นายจ้าง หากลูกจ้างตายย่อมเป็นผลให้สัญญาระงับ แต่ถ้าลูกจ้างไม่ตายเป็นเพียงทุพพลภาพไม่สามารถปฏิบัติงานให้นายจ้างได้ สัญญาก็ต้องระงับเช่นเดียวกัน เพราะการชำระหนี้คือการทำงานให้นายจ้างตกเป็นการพ้นวิสัยอันมิใช่ความผิดของลูกจ้าง ลูกจ้างก็พ้นจากการชำระหนี้ด้วยการเป็นลูกจ้างนั้น เว้นเสียแต่ว่าลูกจ้างปฏิบัติงานไม่ได้ แล้วเสนอให้บุคคลภายนอกมาทำแทนตนโยนายจ้างยินยอม สัญญาจ้างก็เดินต่อไปด้วยการเปลี่ยนตัวลูกจ้างใหม่

2.2 นายจ้างตาย สัญญาจ้างระงับหรือไม่ กรณีเช่นนี้จะต้องพิจารณาด้วยหลักกฎหมายที่ว่างานที่จ้างมีสาระสำคัญอยู่ที่บุคคลผู้ที่เป็นนายจ้างหรือไม่ ถ้างานที่จ้างนั้นมีสาระสำคัญอยู่ที่ตัวบุคคลผู้เป็นนายจ้าง สัญญาก็ระงับ แต่ถ้างานนั้นไม่มีสาระสำคัญอยู่ที่ตัวตนบุคคลผู้เป็นนายจ้าง สัญญาก็ไม่ระงับ

ตัวอย่าง

นายรวยจ้างนายจนมาตกแต่งและทาสีบ้านของตน ปรากฏว่านายรวยซึ่งเป็นนายจ้างได้ถือแก่ความตายก่อนงานจะแล้วเสร็จ เช่นนี้พิจารณาได้ว่า งานตกแต่งและทาสีบ้านเป็นงานที่ไม่มีสาระสำคัญอยู่ที่นายรวย แม้นายรวยตายไป ทายาทและบริวารของนายรวยก็ได้ประโยชน์จากงานที่จ้างมาทำนั้น สัญญาจ้างแรงงานเพื่อตกแต่งและทาสีบ้านจึงไม่ระงับ และอีกกรณีหนึ่งนายรวยจ้างพยาบาลมาเฝ้าดูและตน เพราะตนป่วยช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ต่อมานายรวยถึงแก่ความตายพิจารณาตามหลักกฎหมายได้ว่า งานพยาบาลละเฝ้าดูแลนายรวยเป็นงานที่มีสาระสำคัญอยู่ที่ตัวบุคคลผู้เป็นนายจ้าง ฉะนั้นเมื่อนายรวยตาย สัญญาจ้างพยาบาลก็ระงับ

3. การบอกเลิกสัญญา

การบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงาน อาจทำได้โดยคู่สัญญาใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาประการหนึ่งและอีกประการหนึ่ง คือ เลิกสัญญาโดยบทบัญญัติของกฎหมาย

3.1 คู่สัญญาใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา สิทธิของคู่สัญญาอาจมีได้เมื่อมีการกำหนดหรือระบุไว้ในสัญญา หากผิดเงื่อนไขหรือไม่เป็นตามข้อตกลงกันไว้ ให้อีกฝ่ายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้


ตัวอย่าง

นายสมศักดิ์จ้างนางสาวติ๋มมาทำงานบ้าน มีข้อตกลงกันว่า ถ้านางสาวติ๋มแต่งงานเมื่อใดนายสมศักดิ์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ หรือมีข้อตกลงว่า หากนายสมศักดิ์ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่อื่นเมื่อใด นางสาวติ๋มมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ ก็ต้องเป็นไปตามข้อตกลงนี้

3.2 สัญญาเลิกโยบทบัญญัติ กฎหมายลักษณะจ้างแรงงานกำหนดให้นายจ้างและลูกจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างแรงงานไว้ดังนี้

1) นายจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญา

ก. ลูกจ้างให้บุคคลภายนอกมาทำงานแทนตน โยนายจ้างไม่ได้ยินยอม

ข. ลูกจ้างรับรองตนเองโดยแจ้งชัด หรือโยปริยายว่าตนเป็นผู้มีฝีมือพิเศษ แต่ปรากฏว่าไม่เป็นดังที่รับรองหรือไร้ฝีมือ

ค. ลูกจ้างขาดงานไปโยไม่มีเหตุอันควร

ง. จ้างไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ เมื่อบอกกล่าวให้ลูกจ้างทราบแล้ว

จ. นายจ้างไล่ลูกจ้างออก เพราะลูกจ้างจงใจขัดคำสั่งนายจ้าง หรือกระทำผิดอย่าร้ายแรง

2) ลูกจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญา

ก. นายจ้างโอนสิทธิการจ้างให้บุคคลภายนอก โดยลูกจ้างไม่ยินยอม

ข. จ้างไม่กำหนดระยะเวลา เมื่อลูกจ้างบอกกล่าวล่วงหน้าให้นายจ้างทราบแล้ว