หน่วยที่ 4 วันหยุด และวันลาของลูกจ้าง

วันหยุดของลูกจ้าง

วันหยุดของลูกจ้าง

วันหยุด หมายความว่า วันที่กําหนดให้ลูกจ้างหยุดประจําสัปดาห์ หยุดตามประเพณี หรือหยุดพักผ่อนประจําปี

จากความหมายคําว่าวันหยุด ที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ข้างต้น วันหยุดจึงมี 3 ประเภท ได้แก่

1. วันหยุดประจําสัปดาห์

2. วันหยุดตามประเพณี และ

3. วันหยุดพักผ่อนประจําปี

วันหยุด ที่กําหนด 3 ประเภท ข้างต้น คือ เวลาที่กฎหมายให้ลูกจ้างได้มีโอกาสพักผ่อนหลังจาก ได้ทํางานติดต่อกันมาเป็นเวลาพอสมควร รวมทั้งวันหยุดให้มีโอกาสปฏิบัติกิจตามประเพณีของท้องถิ่น และพักผ่อนหลังทํางานมาครบปีด้วย

วันหยุดประจักสัปดาห์

กฎหมายกําหนดให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีวันหยุดประจําสัปดาห์ สัปดาห์หนึ่งไม่น้อยกว่าหนึ่งวัน โดยวันหยุดประจําสัปดาห์ต้องมีระยะห่างกันไม่เกินหกวัน นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้า กําหนดให้มีวันหยุดวันใดวันหนึ่งของสัปดาห์ก็ได้โดยทั่วไปจะกําหนดวันอาทิตย์

กรณีลูกจ้างทํางานโรงแรม งานขนส่ง งานในป่า งานในที่ทุรกันดาร หรืองานอื่นตามที่กฎกระทรวง ได้ออกมาเพิ่มเติม นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้า สะสมวันหยุดประจําสัปดาห์และเลื่อนไป หยุดเมื่อใดก็ได้ แต่ต้องอยู่ในระยะเวลาสี่สัปดาห์ติดต่อกัน

สาระสําคัญของวันหยุดประจําสัปดาห์ จึงมีดังนี้

1. ในหนึ่งสัปดาห์หรือ 7 วัน นายจ้างต้องให้ลูกจ้างมีวันหยุดประจําสัปดาห์ไม่น้อยกว่า 1 วัน จะเป็นวันใดของสัปดาห์ก็ได้แต่ต้องไม่น้อยกว่า 1 วัน ส่วนจะให้หยุด 1 วันครึ่ง เช่น หยุดวันเสาร์ครึ่งวัน วันอาทิตย์ 1 วัน เป็นวันครึ่ง หรือให้หยุด 2 วัน คือวันเสาร์เต็มวัน วันอาทิตย์เต็มวันรวมเป็นวันหยุด 2 วัน ก็ได้ วันหยุดไม่จําเป็นต้องเป็นวันเสาร์-อาทิตย์ จะกําหนดวันใดของสัปดาห์ก็ได้ เช่น ร้านตัดผม - ให้ช่างตัดผมซึ่งมีอยู่ 7 คน หมุนเวียนกันหยุดคนละ 1 วัน ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันอาทิตย์ก็ได้

2. วันหยุดประจําสัปดาห์แต่ละครั้งต้องห่างกันไม่เกิน 6 วัน หมายความว่าให้ทํางาน 6 วัน แล้วหยุด 1 วัน เช่น ให้หยุดวันพุธของสัปดาห์ ทํางานวันพฤหัสบดีถึงวันอังคาร วันพุธหยุดเช่นนี้ถูกต้องเพราะห่างกัน ไม่เกิน 6 วัน หรือจะให้หยุดวันเสาร์และวันอาทิตย์รวม 2 วัน แล้วทํางานวันจันทร์ถึงวันศุกร์ของสัปดาห์ก็ใช้ได้ เพราะวันหยุดห่างไม่เกินกว่า 6 วัน เช่นกัน

3. มีข้อยกเว้นเกี่ยวกับลักษณะของงานที่ทําอันเป็นงานบริการประชาชนโดยทั่วไป หากหยุด อาจทําให้ธุรกิจเสียหาย งานบริการประชาชน นี้ได้แก่ งานบริการในโรงแรม งานที่อยู่ห่างไกลทุรกันดาร ไปกลับไม่สะดวก เช่น งานทําป่าไม้ งานประเภทลักษณะนี้ นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงสะสมวันหยุด ประจําสัปดาห์เลื่อนไปพักคราวเดียวกันหลายวันก็ทําได้ แต่กฎหมายห้ามไว้ว่า มิให้สะสมไว้เกิน 4 สัปดาห์ คือยินยอมให้สะสมติดต่อกันได้ 4 ครั้ง เท่านั้น จะเลื่อนไปนานเกิน 4 สัปดาห์ ไม่ได้ เพราะอาจเป็นผลราย ต่อลูกจ้างที่ต้องทํางานหนักติดต่อกันนานเกินควร

วันหยุดตามประเพณี

วันหยุดตามประเพณี คือวันหยุดของทางราชการประจําปี วันหยุดของทางศาสนาหรือ ขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งท้องถิ่น โดยจะมีประกาศของคณะรัฐมนตรีกําหนดให้มีวันใดบ้างเป็นวันหยุด ประจําปี เพื่อให้เวลาแก่ประชาชนทั่วไปมีโอกาสหยุด ร่วมกระทํากิจกรรมสําคัญของทางราชการเช่น วันจักรี วันเฉลิมพระชนมพรรษา วันรัฐธรรมนูญ หรือวันตามขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันสงกรานต์ วันแรงงานแห่งชาติ หรือวันสําคัญของทางศาสนา เพื่อให้ประชาชน ลูกจ้างทั่วไปได้ปฏิบัติ พิธีกรรมทางศาสนา เช่น วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันเข้าพรรษา เป็นต้น

กฎหมายกําหนดไว้ว่า “ให้นายจ้างประกาศกําหนดวันหยุดตามประเพณีให้ลูกจ้างทราบเป็นการ ล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบสามวัน โดยรวมวันแรงงานแห่งชาติตามที่รัฐมนตรีประกาศกําหนดไว้ด้วย

ให้นายจ้างพิจารณากําหนดวันหยุดตามประเพณี จากวันหยุดราชการประจําปี วันหยุดทางศาสนา หรือขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งท้องถิ่น ปิดประกาศให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าในกรณีวันหยุดตามประเพณี วันใดตรงกับวันหยุดประจําสัปดาห์ของลูกจ้าง ให้ลูกจ้างได้หยุดชดเชยวันหยุดตามประเพณีในวันทํางาน ถัดไป

ในกรณีที่นายจ้างไม่อาจให้ลูกจ้างหยุดตามประเพณีได้เนื่องจากลูกจ้างทํางานที่มีลักษณะหรือ สภาพของงานที่กําหนดไว้ในกฎกระทรวง ได้แก่ งานในกิจการโรงแรม สถานมหรสพ ร้านขายอาหาร ร้านขายเครื่องดื่ม สโมสร สมาคม สถานพยาบาล สถานบริการท่องเที่ยว งานในป่า งานในที่ทุรกันดาร งานขนส่ง หรืองานที่มีลักษณะทําติดต่อกันไป ถ้าหยุดจะเสียหายแก่งาน ให้นายจ้างตกลงกับลูกจ้างว่า จะหยุดงานในวันอื่นชดเชยวันหยุดตามประเพณีหรือนายจ้างจะจ่ายค่าทํางานในวันหยุดให้ก็ได้” 3

จากหลักกฎหมายข้างต้น สรุปว่า

1. นายจ้างต้องมีประกาศแจ้งวันหยุดตามประเพณีให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าก่อนที่จะมีการหยุด ตามประเพณีเกิดขึ้น ความ

2. กําหนดวันหยุดตามประเพณีให้ลูกจ้างได้หยุดไม่น้อยกว่า 13 วัน (จะกําหนดมากกว่า 13 วัน ก็ได้) โดยปกติแล้วนายจ้างอาจสอบถามลูกจ้างว่าจะหยุดวันใดซึ่งจํานวน 13 วัน หรือมากกว่าที่ให้หยุดนี้ ให้รวมวันแรงงาน คือวันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปีไว้ด้วย

3. ถ้าปรากฏว่าวันหยุดตามประเพณีวันใดตรงกับวันหยุดประจําสัปดาห์ของลูกจ้าง ให้ลูกจ้าง หยุดชดเชยเพิ่มในวันทํางานถัดไปทดแทนอีก 1 วัน

4. หากลูกจ้างทํางานประเภทที่หยุดไม่ได้หรือหยุดแล้วจะทําให้งานเสียหาย เช่น งานกิจการโรงแรม งานสโมสร งานทําในป่าและอยู่ห่างไกลให้ลูกจ้างมีสิทธิหยุดชดเชยในวันต่อไปที่สามารถ หยุดได้หรือจะขอรับเป็นค่าจ้างทํางานในวันหยุดทดแทนจากนายจ้างก็ได้




วันลาของลูกจ้าง

วันลาของลูกจ้าง

การทํางานโดยทั่วไป สถานที่ทํางานนั้นจะมีข้อบังคับเกี่ยวกับการลาไว้ในองค์กรนั้นๆ ว่าพนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างในองค์กรนั้น ปีหนึ่งมีสิทธิลาป่วย ลากิจได้กี่วัน

พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ฉบับนี้ได้บัญญัติวันลา เกี่ยวกับลูกจ้างไว้โดยเฉพาะ ดังนี้ วันลา หมายความว่า “วันที่ลูกจ้างลาป่วย ลาเพื่อทําหมันลาเพื่อกิจธุระอันจําเป็น ลาเพื่อรับราชการทหาร ลาเพื่อการฝึกอบรมหรือพัฒนาความรู้ความสามารถ หรือลาเพื่อคลอดบุตร”

วันลาในกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ฉบับนี้มุ่งคุ้มครองให้กับลูกจ้างผู้ใช้แรงงานไว้โดยเฉพาะ ประกอบด้วย

1. ลาป่วย

2. ลาเพื่อทําหมัน

3. ลาเพื่อกิจธุระอันจําเป็น

4. ลาเพื่อรับราชการทหารในการเรียกพล

5. ลาเพื่อฝึกอบรมหรือพัฒนาความรู้ความสามารถ

6. ลาคลอดบุตรของหญิงมีครรภ์

ลาป่วย

หลักกฎหมายกําหนดไว้ว่า “ให้ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง การลาป่วยตั้งแต่สามวันทํางานขึ้นไป นายจ้างอาจให้ลูกจ้างแสดงใบรับรองแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่ง หรือของสถานพยาบาล ของทางราชการ ในกรณีที่ลูกจ้างไม่อาจแสดงใบรับรองแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่ง หรือของทางราชการได้ ให้ลูกจ้างชี้แจงให้นายจ้างทราบ”

“ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างที่ลาป่วยถูกต้องเท่ากับอัตราค่าจ้างในวันทํางานตลอดระยะเวลา ที่ลา แต่ปีหนึ่งต้องไม่เกินสามสิบวันทํางาน”

“กรณีลูกจ้างไม่สามารถทํางานได้เนื่องจากประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย เพราะทํางานให้นายจ้าง หรือลาคลอดบุตรมิให้ถือว่าเป็นการลาป่วย”

การลาป่วยหรือเจ็บป่วยเพราะทํางานให้นายจ้าง เช่น เป็นลูกจ้างทําหน้าที่ควบคุมเลื่อยยนต์ แต่ทําพลาดมือถูกใบเลื่อยเป็นแผลต้องลาป่วยทํางานไม่ได้ 45 วัน กรณีเช่นนี้ มิให้นับวันลาว่าเป็นลาป่วย คงให้ได้รับค่าจ้างเสมือนมาทํางานแม้จะเกิน 30 วัน

สรุปการลาป่วย ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง เมื่อลาป่วยถูกต้องตามระเบียบก็มีสิทธิได้รับ ค่าจ้างแต่รวมกันแล้วปีหนึ่งจะได้รับไม่เกิน 30 วันทํางาน การลาป่วยนี้หมายถึงการลาป่วยเพราะโรคภัย ไข้เจ็บทั่วๆ ไป แต่ถ้าป่วยบาดเจ็บจากการทํางานให้นายจ้าง เช่น มีอุบัติเหตุและบาดเจ็บเพราะทํางานใน หน้าที่ แม้หยุดทํางานเพราะป่วยก็ไม่ถือว่าเป็นการลาป่วย

ลาเพื่อทําหมัน

ลาทําหมัน หมายถึง การดําเนินการรักษาและป้องกันของแพทย์ต่อคนไข้มิให้มีบุตรต่อไปได้ ซึ่งกฎหมายให้ลูกจ้างมีสิทธิลาเพื่อทําหมันได้ ตามระยะเวลาที่แพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งกําหนดและ ออกใบรับรองให้

ลาเพื่อกิจธุระอันจำเป็น

การลาเพื่อกิจธุระอันจําเป็น หมายถึง การลาเมื่อลูกจ้างมีกิจธุระนั่นเอง แต่ต้องมีความจําเป็นจริงๆ เพราะการลากิจของลูกจ้างกฎหมายไม่ได้กําหนดสิทธิไว้ให้โดยตรง และการลาเพื่อกิจธุระอันจําเป็นนี้ ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทํางานของหน่วยงานนายจ้าง ที่ลูกจ้างทําอยู่ขณะนั้นว่ากําหนดไว้ อย่างไร หรือขึ้นอยู่กับความกรุณาของนายจ้างว่าจะให้ลามากน้อยเท่าใด หากมีความจําเป็นตามที่ลูกจ้าง


ตัวอย่าง

กิจธุระอันจําเป็น เช่น บิดามารดาป่วยเจ็บหรือตาย หรือจําเป็นต้องไปขึ้นศาลตามหมายนัด หมายเรียกของศาล เป็นต้น ดังที่กฎหมายกําหนดไว้ว่า “ให้ลูกจ้างมีสิทธิลาเพื่อกิจธุระอันจําเป็นได้ ตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทํางาน”

ข้อบังคับเกี่ยวกับการทํางานของนายจ้างที่กําหนดไว้ส่วนใหญ่จะมีเฉพาะในกิจการห้างหุ้นส่วน บริษัท และโรงงาน กําหนดไว้ในข้อบังคับว่าปีหนึ่งจะอนุญาตให้ลูกจ้างมีสิทธิลากิจจําเป็นได้กี่วันก็ต้อง เป็นไปตามนั้น ทั้งนี้เพราะลูกจ้างมีสิทธิลาพักผ่อนประจําปีอยู่แล้ว


ลาเพื่อรับราชการทหารในการเรียงพล

กฎหมายบัญญัติไว้ว่า “ให้ลูกจ้างมีสิทธิลาเพื่อรับราชการทหารในการเรียกพล เพื่อตรวจสอบ เพื่อฝึกวิชาทหาร เพื่อทดลองความพรั่งพร้อมตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร

ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้างในวันลาเพื่อรับราชการทหารในการเรียกพลเท่ากับค่าจ้างใน วันทํางาน ตลอดระยะเวลาที่ลาแต่ปีหนึ่งต้องไม่เกินหกสิบวัน”

สิทธิการลาในข้อนี้ ปัจจุบันมีเฉพาะลูกจ้างที่เป็นชาย ซึ่งเป็นทหารกองหนุน คือ เคยถูกเรียกเกณฑ์ เป็นทหารกองประจําการมาแล้ว ต่อมาได้ปลดจากกองประจําการเป็นทหารกองหนุนพร้อมที่จะถูก ทางราชการทหารเรียกเข้าประจําการได้ตามพระราชบัญญัติรับราชการทหาร เมื่อมาทํางานกับนายจ้างลูกจ้างอาจถูกทางราชการทหาร กระทรวงกลาโหมมีคําสั่งเรียกพล คือ เรียกเข้ากองทัพ เพื่อทบทวน และตรวจสอบความพร้อมในฐานะเป็นทหารกองหนุน ด้วยการฝึกวิชาทหารเพิ่มเติมให้เกิดความพร้อม เมื่อมีศึกสงครามเกิดขึ้นจริงสามารถทําการรบตามแบบทหารได้ ระยะเวลาการเรียกพลเพื่อฝึกวิชาทหาร มีระยะเวลาประมาณ 6 - 8 สัปดาห์ ซึ่งนายจ้างต้องให้ลูกจ้างลาและระหว่างที่ลาเพื่อรับราชการทหาร ในการเรียกพลนี้ นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างตลอดระยะเวลาในการเรียกพลเพื่อฝึกวิชาทหาร แต่ปีหนึ่งการจ่ายค่าจ้างต้องไม่เกิน 60 วัน

ลาเพื่อฝึกอบรม หรือพัฒนาความรู้ความสามารถ

ลูกจ้างมีสิทธิลาเพื่อฝึกอบรม หรือพัฒนาความรู้ความสามารถตามหลักเกณฑ์ ดังนี้

1. เพื่อประโยชน์ต่อการแรงงาน และสวัสดิการสังคมหรือเพื่อเพิ่มทักษะความชํานาญ เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการทํางานของลูกจ้าง

2. เพื่อประโยชน์ในการสอบวัดผลทางการศึกษา ที่ทางราชการจัดหรืออนุญาตให้จัดขึ้น

การลาเพื่อการศึกษาอบรมและพัฒนาความรู้นี้ ลูกจ้างต้องแจ้งถึงเหตุที่ลาโดยชัดแจ้ง พร้อมแสดง หลักฐานโครงการของหลักสูตร ช่วงเวลาการฝึกอบรมของโครงการที่แน่นอนและชัดเจนให้นายจ้างทราบ ล่วงหน้า ไม่น้อยกว่าเจ็ดวันก่อนวันลา

3. นายจ้างต้องให้ลาเว้นแต่ในปีนั้นลูกจ้างเคยได้รับอนุญาตให้ลากรณีแบบนี้มาแล้วไม่น้อยกว่า 30 วัน หรือลามาแล้ว 3 ครั้ง หรือการลาของลูกจ้าง อาจก่อให้เกิดความเสียหาย หรือกระทบต่อการ ประกอบธุรกิจของนายจ้าง นายจ้างอาจไม่อนุญาตให้ลาได้

ลาคลอดบุตรของหญิงมีครรภ์

ได้อธิบายไว้แล้วในหน่วยการเรียนที่ 3 เรื่องการคุ้มครองแรงงานหญิงและแรงงานเด็กข้อ 2.3 (3) (4) ให้ลูกจ้างหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตรได้ไม่เกิน 90 วัน ระหว่างลาเพื่อคลอดบุตรให้ได้รับค่าจ้าง จากนายจ้าง ตลอดระยะเวลาที่ลาแต่ไม่เกิน 45 วัน ตามกฎหมายนี้ และยังมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ การหยุดงานเพื่อคลอดบุตรตามกฎหมายประกันสังคมอีกทางหนึ่งด้วย





กฎกระทรวงคุ้มครองแรงงาน

กฎกระทรวงคุ้มครองแรงงาน

กฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานเกษตรกรรม พ.ศ. 2557

งานเกษตรกรรม ที่กำหนดไว้ในมาตรา 22 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เป็นงานสัมพันธ์กับดินฟ้าอากาศตามฤดูกาล และยากลำบากกว่างานปกติทั่วไป กระทรวงแรงงานจึงได้ ออกกฎกระทรวงขึ้นใช้บังคับ เพื่อคุ้มครองแรงงานในงานเกษตรกรรม ชื่อว่า กฎกระทรวงคุ้มครองแรงงาน ในงานเกษตรกรรม พ.ศ. 2557 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไป วัตถุประสงค์ เพื่อคุ้มครองการค้ามนุษย์ด้านแรงงาน กฎกระทรวงได้ให้ความหมายของคําและมีสาระสําคัญ ดังนี้

งานเกษตรกรรม หมายความว่า “งานที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูก การเลี้ยงสัตว์ การป่าไม้ การทํานาเกลือสมุทร และประมงที่ไม่ใช่การประมงทะเล” ดังนั้นการคุ้มครองแรงงานจะแตกต่าง ไปจากการคุ้มครองแรงงานปกติทั่วไปเล็กน้อย นายจ้างซึ่งจ้างลูกจ้างให้ทํางานเกษตรกรรมตลอดปี คงปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองแรงงานหญิง แรงงานเด็ก วันหยุด วันลาของลูกจ้าง ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าชดเชย เป็นต้น แต่ถ้านายจ้างมิได้จ้างลูกจ้าง ทํางานเกษตรกรรมตลอดปี กฎกระทรวงกําหนดให้นายจ้างปฏิบัติแตกต่างจากงานปกติ 3 ประการคือ

1. การหยุดพักผ่อน กําหนดไว้ดังนี้

“ลูกจ้างซึ่งทํางานติดต่อกันมาแล้วครบหนึ่งร้อยแปดสิบวัน มีสิทธิหยุดพักผ่อนได้ไม่น้อยกว่า สามวัน โดยนายจ้างเป็นผู้กําหนดวันหยุดดังกล่าว ให้แก่ลูกจ้างล่วงหน้า หรือกําหนดให้ตามที่นายจ้าง และลูกจ้างตกลงกัน และให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างในวันหยุดพักผ่อนเสมือนว่าลูกจ้างทํางานปกติ

ถ้านายจ้างให้ลูกจ้างทํางานในวันหยุดพักผ่อน ให้นายจ้างจ่ายค่าทํางานในวันหยดให้แก่ลูกจ้าง เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทํางานหรือตามอัตราค่าจ้างต่อหน่วยใน วันทํางานตามผลงาน

ในกรณีนายจ้างมิได้จัดให้ลูกจ้างหยุดพักผ่อน หรือจัดให้หยุด แต่น้อยกว่าที่กฎกระทรวงกําหนด 3 วัน นายจ้างต้องจ่ายค่าทํางานในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของค่าจ้างในวันทํางาน เสมือนว่าให้ลูกจ้างทํางานในวันหยุด”

2. การลาป่วย กําหนดไว้ดังนี้

“ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง การลาป่วยตั้งแต่สามวันทํางานขึ้นไป ให้ลูกจ้างแสดง ใบรับรองแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งหรือสถานพยาบาลของทางราชการ ในกรณีลูกจ้างไม่สามารถแสดง ใบรับรองแพทย์ได้ ให้ลูกจ้างชี้แจงให้นายจ้างทราบก็ใช้ได้ ในระหว่างลาป่วยให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างแก่ ลูกจ้างในวันลาป่วยเท่ากับอัตราค่าจ้างในวันทํางานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ต้องไม่เกินสิบห้าวันทํางาน” เช่น ลาป่วย 25 วัน นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างระหว่างที่ลาป่วย 15 วัน

3. การสวัสดิการ

นายจ้างต้องจัดให้มีน้ำสะอาดสําหรับดื่ม มีปริมาณเพียงพอแก่ลูกจ้าง และ ถ้าลูกจ้างพักอาศัยอยู่กับนายจ้าง นายจ้างต้องจัดหาที่พักอาศัย ถูกสุขลักษณะและปลอดภัยให้แก่ลูกจ้าง พร้อมจัดสวัสดิการอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ลูกจ้างตามที่กระทรวงกําหนด

กฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล พ.ศ. 2557

งานประมงทะเล ที่กําหนดไว้ในมาตรา 22 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เป็นงานลักษณะพิเศษค่อนข้างเป็นงานตรากตรําและอยู่กลางทะเล กระทรวงแรงงานจึงได้ออกกฎกระทรวง ขึ้นใช้บังคับ เพื่อคุ้มครองแรงงานในงานประมงทะเล ชื่อว่า กฎกระทรวงคุ้มครองแรงงานในงานประมง ทะเล พ.ศ. 2557 มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไป วัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครอง การค้ามนุษย์ด้านแรงงาน กฎกระทรวงได้ให้ความหมายของคําและมีสาระสําคัญ ดังนี้

งานประมงทะเล หมายความว่า งานหรือการกระทําอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการทําประมงในทะเล โดยใช้เรือประมง หรือเรืออื่นที่เกี่ยวข้องกับการประมง

เรือประมง หมายความว่า เรือที่ใช้สําหรับงานประมงทะเล

นายจ้าง หมายความว่า นายจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานและให้หมายความ รวมถึงเจ้าของเรือประมง ซึ่งใช้หรือยอมให้บุคคลอื่นใช้เรือประมงนั้นทํางานประมงทะเล เพื่อแบ่งปัน ผลประโยชน์กัน แต่มิได้หมายความรวมถึงเจ้าของเรือประมง ซึ่งให้ผู้อื่นเช่าเรือประมงเพื่อประกอบกิจการ งานประมงทะเลโดยตนเอง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

ค่าจ้าง หมายความว่า ค่าจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานและให้หมายความรวมถึง เงินส่วนแบ่งที่นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้างตามมูลค่าสัตว์น้ําที่จับได้

จากความหมายของคํา หรือศัพท์ที่กําหนดไว้ในกฎกระทรวงฉบับนี้ เห็นว่าแตกต่างไปจาก พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และจะมีคําว่า ค่าจ้างที่เพิ่มเติมขึ้นมาจากการคุ้มครอง แรงงานโดยทั่วไป คือมีค่าจ้าง 2 ส่วน ส่วนหนึ่งให้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 และอีกส่วนหนึ่งเป็นค่าจ้างจากส่วนแบ่งที่นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้างตามมูลค่าสัตว์น้ำที่จับได้ กล่าวคือเมื่อจับสัตว์น้ำขายได้เงินมาก ก็จะได้ส่วนแบ่งจากการขายเป็นค่าจ้างมากขึ้น ตามสัดส่วนหรือเปอร์เซ็นต์ที่ได้ตกลงสัญญาจ้างกันไว้ ส่วนค่าจ้างอื่นได้แก่ค่าจ้างส่วนแรก ค่าล่วงเวลา ค่าทํางานในวันหยุด ค่าล่วงเวลาในวันหยุด คณะกรรมการค่าจ้าง กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง และอื่นๆ ให้นายจ้างและลูกจ้างปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เช่น การจ้างแรงงานทั่วไป

แต่เนื่องจากงานประมงทะเล เป็นงานที่ค่อนข้างตรากตรํา อยู่ในเรือกลางทะเล และควบคุมดแล อาจกระทําไม่ทั่วถึง กฎกระทรวงจึงได้ออกเป็นกฎหมายแตกต่างไปจากการคุ้มครองแรงงานปกติ ดังนี้

1. ห้ามนายจ้าง จ้างลูกจ้างที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ทํางานในเรือประมง (ลูกจ้างปกติทั่วไปมิให้ ต่ำกว่า 15 ปี)

2. ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักไม่น้อยกว่า 10 ชั่วโมง ในระยะเวลาการทํางาน 24 ชั่วโมง และให้พักไม่น้อยกว่า 77 ชั่วโมงในระยะเวลาการทํางาน 7 วัน และจัดทําหลักฐานเวลาพักไว้ เพื่อให้ พนักงานตรวจแรงงานตรวจสอบได้

ในเรื่องของเวลาพักตามที่กฎหมายกําหนดเช่นนี้ เป็นเพราะการทํางานในเรือประมง เมื่อเรือออก จากฝั่งไปกลางทะเลแล้ว อาจใช้เวลาเป็นสัปดาห์ เป็นเดือนหรือเป็นปีอยู่ในต่างประเทศ จึงมีโอกาสกลับ เข้าฝั่ง และการทํางานอาจทําทั้งกลางวันและกลางคืน การกําหนดเวลาพัก (พักผ่อน) จึงกําหนดเป็นเวลา ชั่วโมง โดยเฉลี่ยทํางาน 24 ชั่วโมง ต้องให้พักไม่น้อยกว่า 10 ชั่วโมง เป็นเกณฑ์ต่ำ พร้อมทั้งต้องมีหลักฐาน การพักไว้ให้พนักงานตรวจแรงงานสามารถตรวจสอบได้ด้วย และถ้าเป็นกรณีฉุกเฉินจําเป็นไม่สามารถ ปฏิบัติตามเกณฑ์นี้ได้ เช่น ต้องรีบเร่งให้เสร็จเพื่อหลบหลีกพายุกลางทะเล นายจ้างอาจให้ลูกจ้างทํางาน ในเวลาพักได้ แล้วรีบจัดเวลาพักชดเชยให้โดยเร็ว พร้อมจัดทําหลักฐานการตรวจไว้ด้วย

นอกจากข้อกําหนดในเรื่องการพักของลูกจ้างแล้ว กฎกระทรวงฉบับนี้ยังกําหนดให้นายจ้าง มีหน้าที่ ดังต่อไปนี้

1. ให้นายจ้างจัดทําสัญญาระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างเป็นหนังสือตามแบบที่อธิบดี กรมแรงงานกําหนดจํานวน 2 ฉบับ มีข้อความถูกต้องตรงกัน มอบให้ลูกจ้างเก็บไว้ 1 ฉบับ อีก 1 ฉบับ นายจ้างเก็บไว้เพื่อให้ตรวจดูได้

2. ให้นายจ้างนําลูกจ้างไปรายงานตัวต่อพนักงานตรวจแรงงานปีละ 1 ครั้ง นับแต่วันทําสัญญาจ้าง

3. กรณีนายจ้างมีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปให้นายจ้างจัดทําทะเบียนลูกจ้างเป็นภาษาไทยตามแบบ ที่อธิบดีกรมแรงงานกําหนด และเก็บไว้ ณ สถานที่ทํางานของนายจ้างและลูกจ้าง เพื่อให้พนักงานตรวจ แรงงานตรวจสอบ และส่งสําเนาทะเบียนลูกจ้าง ให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายภายในสามสิบวัน นับแต่วันเริ่มจ้างลูกจ้างเข้าทํางาน ทะเบียนลูกจ้างเป็นหน้าที่ของนายจ้างต้องเก็บรักษาไว้ต่อไปอีก ไม่น้อยกว่า 2 ปี นับแต่วันสิ้นสุดการจ้างลูกจ้างแต่ละราย

4. เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรายการในทะเบียนลูกจ้าง ให้นายจ้างแก้ไขเพิ่มเติมทะเบียนลูกจ้างให้

ใน 60 วัน นับแต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลง และแจ้งการเปลี่ยนแปลงให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดี มอบหมายรับทราบทุกครั้ง

5. ให้นายจ้างจัดทําเอกสารเกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้างและค่าทํางานในวันหยุดเป็นภาษาไทย เก็บไว้ ณ ที่ทํางาน เพื่อให้พนักงานตรวจแรงงานตรวจสอบ

6. เมื่อมีการยื่นคําร้องว่านายจ้างไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงนี้ หรือมีข้อพิพาทเกี่ยวกับแรงงาน เมื่อมีการฟ้องร้องคดี ให้นายจ้างเก็บรักษาทะเบียนลูกจ้างและเอกสารเกี่ยวกับการจ่ายค่าจ้าง ค่าทํางาน วันหยุดไว้จนกว่าจะมีคําสั่งหรือคําพิพากษาถึงที่สุด

7. ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้าง และค่าทํางานในวันหยุดให้ถูกต้องตามกําหนดเวลา ดังนี้

7.1 กรณีที่มีการคํานวณค่าจ้างให้เป็นรายเดือน รายวัน รายชั่วโมง หรือเป็นระยะเวลาอย่างอื่น ที่ไม่เกินหนึ่งเดือน ให้จ่ายเดือนหนึ่งไม่น้อยกว่า 1 ครั้ง เว้นแต่จะตกลงเป็นอย่างอื่นที่เป็นประโยชน์แก่ลูกจ้าง

7.2 เงินส่วนแบ่งที่นายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้างตามมูลค่าของสัตว์น้ำที่จับได้ ให้จ่ายตาม กําหนดเวลาที่ตกลงกัน แต่ต้องไม่เกินสามเดือนต่อหนึ่งครั้ง

7.3 ค่าทํางานวันหยุดของลูกจ้าง ให้จ่ายเดือนหนึ่งไม่น้อยกว่า 1 ครั้ง

7.4 กรณีถ้านายจ้างไม่จ่ายค่าจ้าง และค่าทํางานในวันหยุด ให้นายจ้างจ่ายดอกเบี้ยแก่ลูกจ้าง ระหว่างผิดนัดร้อยละสิบห้าต่อปี และถ้าการผิดนัดไม่จ่ายค่าจ้างเป็นเพราะจงใจผิดนัดโดยปราศจากเหตุผล อันสมควร เมื่อพ้นกําหนดเวลา 7 วัน นับแต่วันถึงกําหนดจ่าย ให้นายจ้างจ่ายเงินเพิ่มให้แก่ลูกจ้าง ร้อยละ 15 ของเงินที่ค้างจ่ายทุกระยะ 7 วัน

แต่ถ้าเป็นกรณีนายจ้างพร้อมจ่ายเงิน แต่ไม่สามารถจ่ายได้ หากนําเงินไปมอบให้ไว้แก่พนักงาน ตรวจแรงงานแห่งท้องที่ที่ทําสัญญาจ้างหรือภูมิลําเนาของลูกจ้าง การจ่ายดอกเบี้ยหรือเงินเพิ่มเป็นอัน ระงับตั้งแต่วันที่นายจ้างนําเงินมามอบไว้

8. วันหยุด วันลาป่วย

8.1 ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีวันหยุดประจําปี ปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 30 วัน ทั้งนี้ให้นายจ้างกําหนด ล่วงหน้าหรือนายจ้างและลูกจ้างตกลงกันว่าจะพักวันใด และระหว่างลาให้ลูกจ้างได้รับค่าจ้างไม่น้อยกว่า อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เว้นแต่นายจ้างจะจ่ายให้ในอัตราที่สูงกว่า และถ้านายจ้างให้ลูกจ้างทํางานในวันหยุด ประจําปี นายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของค่าจ้างที่ให้ในวันหยุดประจําปี

8.2 ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง ระหว่างลาป่วยให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้ลูกจ้างด้วย แต่ปีหนึ่งไม่เกิน 30 วันทํางาน

9. กรณีลูกจ้างตกค้างอยู่ต่างประเทศ เนื่องจากการทํางานให้นายจ้าง ให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ ลูกจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตลอดเวลาที่ลูกจ้างตกค้างอยู่ในต่างประเทศ เว้นแต่ ในกรณีที่นายจ้างตกลงจ่ายค่าจ้างเป็นอัตราที่สูงกว่าก็ให้ใช้อัตราค่าจ้างตามที่ตกลงนั้นเป็นฐานคํานวณ แต่ถ้านายจ้างได้แจ้งเป็นหนังสือต่อหน่วยราชการที่รับผิดชอบภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ลูกจ้างตกค้าง อยู่ต่างประเทศว่าจะนําลูกจ้างทั้งหมดกลับสถานที่ที่นายจ้างรับลูกจ้างเข้าทํางานและออกค่าใช้จ่ายในการ เดินทางกลับ ก็ไม่ต้องจ่ายเงินให้ลูกจ้างตามที่กล่าวข้างต้น

10. ให้นายจ้างดําเนินการหรือออกค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างกลับสถานที่ ซึ่งนายจ้างรับลูกจ้าง เข้าทํางานในกรณีดังต่อไปนี้

10.1 เรืออับปาง หรือไม่อาจใช้เรือได้โดยสิ้นเชิง

10.2 ลูกจ้างประสบอันตราย เจ็บป่วย หรือเสียชีวิตเนื่องจากการทํางาน

10.3 นายจ้างบอกเลิกสัญญาก่อนครบกําหนดในสัญญาจ้าง หรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในสัญญา จ้างโดยลูกจ้างไม่ยินยอม

10.4 สัญญาจ้างครบกําหนดในระหว่างที่ลูกจ้างกําลังทํางานอยู่ในที่อื่น อันมิใช่สถานที่ทําสัญญาจ้าง

ในกรณีข้างต้นถ้าทางหน่วยงานราชการดําเนินการให้ เพราะนายจ้างไม่ดําเนินการ หน่วยงาน ราชการมีสิทธิไล่เบี้ยในเงินที่จ่ายไปแล้วคืนจากนายจ้างได้

11. นายจ้างมีหน้าที่ต้องจัดให้มีอาหาร น้ำดื่มสะอาดถูกสุขลักษณะ ห้องน้ำ ห้องส้วม เวชภัณฑ์ และยาเพื่อใช้ปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้เหมาะสมกับระยะเวลาในการทํางาน และต้องให้ความรู้กับ ลูกจ้างเกี่ยวกับสภาพการทํางาน การใช้เครื่องมือในเรือประมง อุปกรณ์ความปลอดภัยบนเรือ ตลอดจน สภาพความเป็นอยู่บนเรือ ก่อนเริ่มการทํางาน