วัตถุประสงค์ และขอบเขตการใช้ พระราชบัญญัติประกันสังคม
วัตถุประสงค์ และขอบเขตการใช้ พระราชบัญญัติประกันสังคม
วัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติปัญญา
กฎหมายประกันสังคมที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน คือ พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2522 วัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติประกันสังคม
ฉบับนี้ก็เพื่อ
1. จัดตั้งกองทุนประกันสังคมขึ้น โดยให้ลูกจ้างคือผู้สมัครเข้าประกันตน นายจ้างและรัฐบาล ร่วมออกเงินสมทบเป็นกองทุนรวม 3 ฝ่าย
2. ใช้กองทุนเป็นหลักประกันให้แก่ลูกจ้าง และผู้สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ทดแทน
3. เหตุที่จะได้รับประโยชน์ทดแทน เมื่อผู้ประกันตนต้องประสบอันตราย หรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพหรือตาย อันมิใช่เนื่องจากการทํางาน รวมทั้งกรณีคลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพและ กรณีว่างงานด้วย
4. เป็นหลักประกันให้ผู้ประกันตนมีรายได้อย่างต่อเนื่อง ดังคําขวัญที่ว่า ประกันสังคม สร้างสรรค์ หลักประกันชีวิต
คําที่ว่า ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ทดแทน เมื่อต้องประสบอันตราย เจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือตาย อันมิใช่เนื่องจากการทํางาน หมายความว่า ผู้ประกันตน คือลูกจ้าง เมื่อต้องประสบกับอันตราย ถึงเจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือตายนั้น มีสาเหตุมาจากเหตุอื่น อันมิใช่มีสาเหตุเพราะทํางานให้นายจ้าง หรือรักษาผลประโยชน์ให้นายจ้าง หรือปฏิบัติตามคําสั่งนายจ้าง แต่เป็นการเจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือตาย จากกรณีอื่น เหตุอื่นอันมิใช่จากการทํางานให้นายจ้าง เช่น เกิดอุบัติเหตุ เจ็บป่วย เป็นไข้ ทุพพลภาพ หรือตาย ระหว่างเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด และอื่นๆ กรณีอย่างนี้เป็นการเจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือตาย อันมิใช่เหตุจากการทํางานให้นายจ้าง ลูกจ้างคือผู้ประกันตน มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนเป็นเงินจาก กองทุนประกันสังคม ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม ฉบับนี้
เมื่อกล่าวถึงกฎหมายประกันสังคม ส่วนใหญ่จะหมายถึง พระราชบัญญัติประกันสังคม แต่ที่ถูกต้องแล้ว งานประกันสังคมของกระทรวงแรงงานจะเกี่ยวข้องกับกฎหมาย 2 ฉบับ หรือกล่าวว่า กฎหมายประกันสังคมมี 2 ฉบับ คือ “พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ที่กําลังศึกษาอยู่ขณะนี้ และอีกฉบับหนึ่งคือ พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2537 โดยมีสํานักงานประกันสังคมของ กระทรวงแรงงาน รับผิดชอบในการจัดตั้งกองทุน ซึ่งเรียกว่า กองทุนประกันสังคม และกองทุนเงินทดแทน สิ่งที่เหมือนกันของกฎหมาย 2 ฉบับนี้คือ เป็นกฎหมายสร้างหลักประกันความมั่นคงในการดํารงชีวิตให้แก่ ลูกจ้าง ดังคําขวัญที่ว่า ประกันสังคม สร้างสรรค์ หลักประกันชีวิต ที่นายจ้างมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย แต่สิ่งที่กฎหมาย 2 ฉบับนี้ต่างกัน ก็คือ ประโยชน์ที่ลูกจ้างหรือผู้ประกันตนจะได้รับตาม พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ฉบับนี้ เรียกว่าประโยชน์ทดแทน เมื่อผู้ประกันตน คือลูกจ้าง ได้รับเหตุอันตราย เจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย อันมิใช่เนื่องจากการทํางานให้นายจ้าง ส่วนพระราชบัญญัติ เงินทดแทน สิ่งที่ผู้ประกันตน คือลูกจ้างจะได้รับเรียกว่า เงินทดแทน ลูกจ้างจะได้รับเมื่อลูกจ้าง ประสบอันตรายแก่กายหรือจิตใจ เจ็บป่วย สูญหาย หรือถึงแก่ความตาย อันเนื่องมาจากผลการทํางาน ให้นายจ้าง หรือปกป้องรักษาผลประโยชน์ให้แก่นายจ้าง หรือปฏิบัติตามคําสั่งของนายจ้าง
ขอบเขตการใช้พระราชบัญญัติประกันสังคม
พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ฉบับนี้ ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมถึงปัจจุบันเป็นฉบับที่ 3 พ.ศ. 2542 ขอบเขตการใช้บังคับแก่ผู้ประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป โดยทั้งนายจ้างและ ลูกจ้างต้องขึ้นทะเบียนกับพนักงานประกันสังคม
คําว่าลูกจ้าง มีความหมายเช่นเดียวกับกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ที่ได้ศึกษามาแล้ว คือหมายความว่า ผู้ซึ่งทํางานให้นายจ้าง โดยได้รับค่าจ้างไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร แต่ไม่รวมถึงลูกจ้างซึ่งทํางานเกี่ยวกับ งานบ้าน อันมิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ และลูกจ้างของทางราชการ จึงสรุปว่าลูกจ้างคือบุคคล ซึ่งทํางานให้นายจ้างที่ประกอบธุรกิจ เช่น ลูกจ้างทํางานให้นายจ้างที่เป็นบริษัท ห้างหุ้นส่วน ร้านค้า สถานประกอบกิจการทั่วไป ลูกจ้างที่ทํางานบ้าน มิได้ประกอบธุรกิจจึงมิใช่ลูกจ้างตามกฎหมายฉบับนี้ รวมทั้งลูกจ้างที่ทํางานทางราชการด้วย
นอกจากนี้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ ได้บัญญัติไม่ให้นําข้อบัญญัติในฉบับนี้ ไปบังคับแก่ลูกจ้าง ดังต่อไปนี้
1. ข้าราชการ ลูกจ้างประจํา ลูกจ้างชั่วคราวรายวัน และลูกจ้างชั่วคราวรายชั่วโมงของราชการ ส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่น ยกเว้นลูกจ้างชั่วคราวรายเดือนให้อยู่ในบังคับ กฎหมายฉบับนี้ สรุปว่า พระราชบัญญัติฉบับนี้ไม่ใช้กับลูกจ้างทุกชนิดของส่วนราชการดังกล่าวข้างต้น ยกเว้นให้ใช้บังคับกับลูกจ้างชั่วคราวรายเดือนได้
2. ลูกจ้างของรัฐบาลต่างประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ
3. ลูกจ้างของนายจ้างที่มีสํานักงานในประเทศ และไปประจําทํางานในต่างประเทศ
4. ครูหรือครูใหญ่ของโรงเรียนเอกชน ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน (ไม่ให้ถือว่าครหรือ ครูใหญ่เป็นลูกจ้างของโรงเรียนเอกชน)
5. นักเรียน นักเรียนพยาบาล นิสิต หรือนักศึกษา หรือแพทย์ฝึกหัด ซึ่งเป็นลูกจ้างของโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือโรงพยาบาล
6. กิจการหรือลูกจ้างอื่น ตามที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา ได้แก่ ลูกจ้างสภากาชาดไทย ลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างของกิจการเพาะปลูก ประมง ป่าไม้ และเลี้ยงสัตว์ซึ่งมิได้ใชถูกรางตลอดปี ลูกจ้างที่นายจ้างได้จ้างไว้เพื่อทํางานเป็นครั้งคราว เป็นงานจรตามฤดูกาลลูกจ้างของสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ลูกจ้างสถาบันเนติบัณฑิตยสภา เป็นต้น
7. ลูกจ้างของนายจ้างที่เป็นบุคคลธรรมดา และงานที่ลูกจ้างทําไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของนายจ้าง
8. ลูกจ้างในกิจการค้าเร่ และแผงลอย
9. ลูกจ้างซึ่งทํางานเกี่ยวกับงานบ้าน อันมิได้มีการประกอบธุรกิจ
สํานักงานประกันสังคม และกองทุนประกันสังคม
สํานักงานประกันสังคม และกองทุนประกันสังคม
1. สํานักงานประกันสังคม
สํานักงานประกันสังคม ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 กําหนดให้มีสํานักงาน ประกันสังคมขึ้นในกระทรวงแรงงาน และให้มีหน้าที่
1.1 ปฏิบัติงานธุรการของคณะกรรมการ คณะกรรมการอื่นและคณะอนุกรรมการ ตามพระราชบัญญัตินี้
1.2 เก็บ รวบรวม และวิเคราะห์ข้อมูล เกี่ยวกับการประกันสังคม
1.3 จัดทําทะเบียนนายจ้าง และผู้ประกันตนซึ่งต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุน
1.4 ปฏิบัติการตามที่พระราชบัญญัตินี้ หรือกฎหมายอื่นบัญญัติให้เป็นอํานาจหน้าที่ของ สํานักงาน
1.5 กระทํากิจการอย่างอื่น ตามที่รัฐมนตรี คณะกรรมการ คณะกรรมการอื่นหรือ คณะอนุกรรมการมอบหมาย
สํานักงานประกันสังคม มีเลขาธิการสํานักงานประกันสังคม เป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ ในสํานักงาน ควบคุมดูแลรับผิดชอบภารกิจ ดําเนินการจัดตั้งกองทุนเพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคง ในการดํารงชีวิตให้แก่ลูกจ้างหรือผู้ประกันตน ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม กองทุนดังกล่าวเรียกว่า กองทุนประกันสังคม
2. กองทุนประกันสังคม
กองทุนประกันสังคม ตั้งอยู่ในสํานักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เพื่อเป็นทุนไว้ใช้จ่าย ให้กับผู้ประกันตนที่ได้รับประโยชน์ทดแทน ตามพระราชบัญญัตินี้ และเป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารงาน ของสํานักงานประกันสังคม
ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนจะได้รับประโยชน์ทดแทนเป็นเงินจากกองทุนประกันสังคม
เงินกองทุนประกันสังคมได้มาจากหลายทาง ได้แก่ เงินสมทบจากสามฝ่าย ประกอบด้วย ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายนายจ้าง ฝ่ายลูกจ้างหรือผู้ประกันตน ซึ่งเป็นผู้สมัครใจเข้าเป็นผู้ประกันตน นอกจากนี้ จะได้มาจากเงินเพิ่ม คือ เงินที่นายจ้างต้องจ่ายเงินเพิ่มให้เพราะเหตุส่งเงินสมทบไม่ตรงเวลา จะต้องเสียเงิน เพิ่มขึ้นอีก นอกจากนี้ยังมีผลประโยชน์อื่นที่หาได้ตามระเบียบของคณะกรรมการประกันสังคมได้กําหนดไว้ เช่น เงินที่ได้จากการบริจาค รวมทั้งเงินเปรียบเทียบปรับเข้ากองทุน เป็นต้น
การรับเงิน การจ่ายเงิน และการเก็บรักษาเงินกองทุน ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการ ประกันสังคมกําหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
ผู้ประกันตน
ผู้ประกันตน
การเป็นผู้ประกันตน กฎหมายบัญญัติไว้ว่า “ผู้ประกันตน หมายความว่า ผู้ซึ่งจ่ายเงินสมทบ อันก่อให้เกิดสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน ตามพระราชบัญญัตินี้”
“ให้ลูกจ้างซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ เป็นผู้ประกันตน และลูกจ้าง ซึ่งเป็นผู้ประกันตนอยู่แล้ว ต่อมามีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ยังสมัครใจเป็นผู้ประกันตนต่อไปอีก กฎหมาย ก็อนุญาตให้เป็นผู้ประกันตนได้ต่อไป” 5
โดยสรุป ผู้ประกันตน คือ ลูกจ้างที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเพื่อ ก่อให้เกิดสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนตามพระราชบัญญัตินี้ ผู้ประกันตนประเภทนี้เป็นประเภทอยู่ในระบบ ซึ่งกฎหมายบังคับว่าต้องเป็นผู้ประกันตนจนกระทั่งมีอายุไม่เกิน 60 ปี ถ้าอายุ 60 ปีบริบูรณ์แล้ว กฎหมาย ไม่บังคับจะเป็นผู้ประกันตนหรือไม่ก็ได้ ผู้ประกันตนประเภทนี้อยู่ในบังคับของกฎหมายตามมาตรา 33 และยังมีผู้ประกันตนอีก 2 ประเภท หากเจ้าตัวประสงค์จะเป็นผู้ประกันตน ได้แก่ ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และมาตรา 40 แยกอธิบายได้ดังนี้
1. ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 คือ เป็นประเภทอยู่ในระบบที่ลูกจ้างต้องเป็นผู้ประกันตนเสมอ ซึ่งผู้รับผิดชอบจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน จะประกอบด้วย 3 ฝ่ายได้แก่ รัฐบาล นายจ้าง และลูกจ้าง (ผู้ประกันตน) ที่น่าสังเกต คือ ฝ่ายนายจ้าง แม้ต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเท่ากับลูกจ้าง ก็ไม่เรียกนายจ้างว่าเป็นผู้ประกันตน เพราะไม่ก่อให้เกิดสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนสําหรับนายจ้าง หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า แม้นายจ้างจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม เช่นเดียวกับลูกจ้าง ก็ไม่เรียกว่าเป็นผู้ประกันตน เพราะเป็นหน้าที่ต้องจ่ายเงินสมทบร่วมกับลูกจ้างอยู่แล้ว ดังนั้น ผู้ประกันตนจึงมีเฉพาะลูกจ้าง ซึ่งจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ตามกฎหมายเท่านั้น
ลูกจ้างที่มีอายุตต่ำกว่า 15 บริบูรณ์ และอยู่ในบังคับของกฎหมายประกันสังคม ต้องเป็นผู้ประกันตน
การสิ้นสุดหรือสิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 นี้ มีได้ 2 กรณี คือ ตายหรือสิ้นสภาพ การเป็นลูกจ้าง อาจเป็นเพราะลาออกจากการเป็นลูกจ้าง หรือถูกให้ออก ถือว่าเป็นผู้ประกันตน สิ้นสภาพหรือสิ้นสุดลง แต่สิทธิของผู้นั้นยังมีสิทธิได้ประโยชน์ทดแทนต่อไปอีก 6 เดือน นับแต่วันสิ้นสภาพ การเป็นลูกจ้าง หากได้ส่งเงินสมทบครบตามเงื่อนเวลาที่กฎหมายกําหนด ๆ
ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 นี้ คือผู้ประกันตนในระบบ เสมือนว่ากฎหมายบังคับให้ผู้เป็นลูกจ้าง ตามกฎหมายประกันสังคมที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 60 ปีบริบูรณ์ จะต้องเป็นผู้ประกันตนทุกคน
2. ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ผู้ประกันตนประเภทนี้ เคยเป็นลูกจ้างและเป็นผู้ประกันตน มาก่อนแล้ว ต่อมาได้สิ้นสภาพจากการเป็นลูกจ้างจะด้วยเพราะการลาออกจากการเป็นลูกจ้าง หรือด้วยเหตุใดก็ตาม (เว้นแต่การตาย) เมื่อพ้นจากการเป็นลูกจ้าง และก่อนพ้นสภาพลูกจ้างได้ เป็นผู้ประกันตนส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน เมื่อพ้นสภาพการเป็นลูกจ้างก็ไม่ได้ส่ง เงินสมทบ แต่ประสงค์จะเป็นผู้กันตนต่อไป ให้แสดงความประสงค์ต่อสํานักงานประกันสังคม ว่าประสงค์ จะเป็นผู้ประกันตนต่อไปอีก กรณีเช่นนี้ ต้องยื่นแสดงความจํานงภายใน 6 เดือน นับแต่วันสิ้นสุดการ เป็นผู้ประกันตน และต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนเป็นรายเดือน คิดจากฐานในการคํานวณเงินสมทบ ในอัตราร้อยละ 9 ของเงิน 4,800 บาท เดือนละหนึ่งครั้ง ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป ดังนั้นจึงต้อง ส่งเงินสมทบเข้ากองทุนเดือนละ 432 บาท (สี่ร้อยสามสิบสองบาท) ผู้ประกันตนประเภทนี้เรียกกัน โดยทั่วไปว่า ผู้ประกันตนตามมาตรา 39
3. ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ผู้ประกันตนประเภทนี้ คือ บุคคลที่มิใช่ลูกจ้างตามที่กล่าวมาแล้ว แต่เป็นบุคคลทั่วๆ ไป มีอายุไม่ตำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ มีความประสงค์จะเป็น ผู้ประกันตน ก็สามารถสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนได้ โดยให้แจ้งหรือแสดงความจํานงต่อสํานักงาน ประกันสังคม การจ่ายเงินสมทบจะแตกต่างไปจากผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้าง ผู้ประกันตนที่มิใช่ลูกจ้างนี้ หรือเรียกอีกอย่างว่า ผู้ประกันตนนอกระบบ °
จึงสรุปได้ว่า ผู้ประกันตนมี 3 ประเภท คือ
1. ผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 คือลูกจ้างของนายจ้างเป็นภาคบังคับ ต้องสมัครเป็นผู้ประกันตน ตามที่กฎหมายกําหนด
2. ผู้ประกันตน ตามมาตรา 39 เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 แล้วลาออก ต่อมาสมัครใจ เข้าเป็นผู้ประกันตน
3. ผู้ประกันตน ตามมาตรา 40 ผู้มีอาชีพอิสระ สมัครใจขอเข้าเป็นผู้ประกันตน
สรุป การเป็นผู้ประกันตนหรือผู้ประกันตนตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 มีด้วยกัน 3 ประเภท หรือ 3 กรณี คือ
1. ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 คือ ลูกจ้างที่มีอายุระหว่าง 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ ประเภทนี้กฎหมายบังคับว่าต้องเป็นผู้ประกันตน และเมื่อมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์แล้ว จะสมัครใจเป็น ผู้ประกันตนต่อไปอีกก็ทําได้ แม้จะมีอายุเกิน 60 ปีบริบูรณ์
2. ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 คือลูกจ้างที่เคยเป็นผู้ประกันตนมาก่อนแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน ต่อมาได้พ้นสภาพจากการเป็นลูกจ้าง และประสงค์จะเป็นผู้ประกันตนต่อไป ให้แจ้งความจํานงขอเป็น ผู้ประกันตนต่อได้ที่สํานักงานประกันสังคม ภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่พ้นจากการเป็นผู้ประกันตน
3. ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 คือบุคคลที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างมาก่อนแต่สมัครใจเข้ามาเป็น ผู้ประกันตน ด้วยการแสดงความจํานงต่อสํานักงานประกันสังคม ผู้ประกันตนประเภทนี้ อาจเรียกว่า ผู้ประกันตนนอกระบบก็ได้
การขึ้นทะเบียนประกันตน
การขึ้นทะเบียนประกันตน
การขึ้นทะเบียนประกันตนให้กับลูกจ้าง เป็นหน้าที่ของนายจ้างและลูกจ้างต้องปฏิบัติร่วมกันสรุปได้ดังนี้
1. หน้าที่ของนายจ้าง
1.1 นายจ้างซึ่งมีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ต้องแจ้งแบบแสดงรายการแสดงรายชื่อผู้ประกันตน อัตราค่าจ้างและข้อความอื่น ตามแบบที่สํานักงานประกันสังคมกําหนด ซึ่งเรียกว่า “ขึ้นทะเบียนประกันตน” การขึ้นทะเบียนประกันตนจะต้องกระทําภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ลูกจ้างเริ่มเป็นผู้ประกันตน หลังจากนั้น สํานักงานประกันสังคมจะออกหนังสือสําคัญ แสดงการขึ้นทะเบียนประกันสังคมให้แก่นายจ้าง และออก บัตรประกันสังคมให้แก่ลูกจ้างเป็นหลักฐานไว้
1.2 ให้นายจ้างหักเงินค่าจ้างของลูกจ้างทุกครั้งที่มีการจ่ายค่าจ้างตามจํานวนที่จะต้องนําส่ง เป็นเงินสมทบในส่วนของผู้ประกันตน และเงินสมทบในส่วนของนายจ้างจํานวนเท่ากัน ส่งให้สํานักงาน ประกันสังคม ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป จากเดือนที่มีการหักเงินสมทบไว้ พร้อมยื่นรายการแสดงการ ส่งเงินสมทบตามแบบของสํานักงานประกันสังคม
1.3 ถ้านายจ้างไม่ส่งเงินสมทบในส่วนของตน และในส่วนของผู้ประกันตน หรือส่งแต่ส่งไม่ครบ ตามจํานวนภายในระยะเวลาที่กําหนดไว้
ในข้อ 1.2 จะต้องจ่ายเงินเพิ่มให้สํานักงานประกันสังคมอีกใน อัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน ของจํานวนเงินสมทบที่นายจ้างยังไม่ได้นําส่ง 1
1.4 นายจ้างต้องจัดให้มีทะเบียนของผู้ประกันตน และเก็บรักษาไว้ ณ สถานที่ทํางาน ของนายจ้าง พร้อมที่จะให้พนักงานของสํานักงานประกันสังคมตรวจได้ตามอํานาจหน้าที่ หากไม่จัดทําไว้ ย่อมมีโทษตามที่กฎหมายกําหนด คือ มีโทษจําคุก หรือปรับ หรือทั้งจําทั้งปรับ
2. หน้าที่ของผู้ประกันตนหรือลูกจ้าง
2.1 ต้องจ่ายเงินสมทบ โดยนายจ้างเป็นผู้รักจากค่าจ้างรายเดือน นําส่งให้สํานักงาน ประกันสังคม ทุกครั้งที่มีการจ่ายค่าจ้าง หรือค่าจ้างรายเดือน
2.2 ผู้ประกันตนต้องมีบัตรประกันสังคมที่ได้รับจากสํานักงานประกันสังคม หรือมีบัตร ประจําตัวประชาชนเพื่อแสดงต่อสถานพยาบาล
เมื่อต้องการรักษาพยาบาลเพราะเจ็บป่วย และให้พนักงาน ประกันส่งคนตรวจสอบได้
2.3 ผู้ประกันตนต้องทําหนังสือระบุชื่อบุคคลที่ตนประสงค์จะให้เป็นผู้รับผลประโยชน์ทดแทนตน เมื่อไม่สามารถมารับด้วยตนเองได้ เช่น ประโยชน์ทดแทนกรณีถึงแก่ความตาย เงินค่าทําศพ และจัดการศพ เป็นต้น
หมายเหตุ บัตรประจําตัวประชาชนมีหมายเลขประจําตัว 13 หลักอยู่ในบัตร จึงสามารถใช้ แทนบัตรประกันสังคมแสดงตนเพื่อรักษาพยาบาลได้
หนังสือแสดงการขึ้นทะเบียนและบัตรประกันสังคม
นายจ้างซึ่งมีลูกจ้างอยู่ในความดูแลของตนได้ยื่นแบบแสดงรายการ ชื่อผู้ประกันตน อัตราค่าจ้าง และข้อความอื่นๆ ตามแบบที่สํานักงานประกัน
สังคมกําหนด แล้วสํานักงานประกันสังคม ก็จะออก หนังสือสําคัญแสดงการขึ้นทะเบียนประกันสังคมให้แก่นายจ้าง ตามแบบที่กําหนดในกฎกระทรวงมอบ ไว้ให้กับนายจ้าง ส่วนการออกบัตรประกันสังคมให้แก่ลูกจ้าง (ผู้ประกันตน) นั้นในกรณีที่ผู้ประกันตน มีบัตรประจําตัวประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยบัตรประจําตัวประชาชนให้ใช้บัตรประจําตัวประชาชน เป็นบัตรประกันสังคมได้
ปัจจุบัน สํานักจัดระบบบริการทางการแพทย์ของสํานักงานประกันสังคม กรุงเทพมหานคร พื้นที่ หรือสํานักงานประกันสังคมจังหวัดจะออกบัตรรับรองสิทธิการรักษาพยาบาล ระบุชื่อผู้ประกันตน ชื่อโรงพยาบาลที่ให้การรักษา วันออกบัตร และวันบัตรหมดอายุ มีระยะเวลา 1 ปีของแต่ละปีมอบให้
ผู้ประกันตน เพื่อใช้คู่กับบัตรประจําตัวประชาชนของผู้ประกันตนเข้ารับการบริการรักษาพยาบาล เมื่อบัตรหมดอายก็จะได้บัตรรับรองสิทธิการรักษาพยาบาลทดแทนในปีถัดไปให้ใหม่ 11 11 มาตรา 49 พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533
แบบหนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนประกันสังคม
ท้ายกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขึ้นทะเบียนประกันสังคม
และแบบหนังสือสำคัญแสดงการขึ้นทะเบียนประกันสังคมและบัตรประกันสังคม พ.ศ. 2549
ตัวอย่างบัตรรับรองสิทธิการรักษาพยาบาลสำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 39
ประจำปี 2558-2559
ตัวอย่างบัตรรับรองสิทธิการรักษาพยาบาลสำหรับผู้สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน
ตามมาตรา 33 มีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนต่อไปไดอีก 6 เดือน
เงินสมทบ
เงินสมทบ
เงินสมทบ คือ เงินที่ผู้ประกันตนต้องส่งเข้ากองทุนประกันสังคม เป็นประจําทุกเดือน ตามอัตรา ร้อยละจากฐานเงินเดือนของผู้ประกันตนซึ่งกําหนดจากฐานเงินเดือนขั้นต่ำและขั้นสูงเป็นฐานในการ คํานวณแต่ต้องไม่เกินอัตราเงินสมทบที่กําหนดไว้ท้ายพระราชบัญญัติประกันสังคมฉบับนี้
ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 คือ ผู้ประกันตนในระบบ ให้รัฐบาล นายจ้าง และผู้ประกันตน (ลูกจ้าง) รวม 3 ฝ่าย ออกเงินสมทบเท่ากันสําหรับประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีตายและกรณีคลอดบุตร รวม 4 กรณี ส่วนประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร กรณีชราภาพ และกรณีว่างงาน รวม 3 กรณี อัตราเงินสมทบให้ออกตามที่กําหนดในกฎกระทรวง แต่ต้อง ไม่เกินอัตราเงินสมทบท้ายพระราชบัญญัตินี้ ซึ่งใน 3 กรณีหลังนี้ ฝ่ายรัฐบาลจะออกเงินสมทบน้อยกว่า ผู้ประกันตน
เงินสมทบของผู้ประกันตนทั้ง 3 ประเภท มีอัตราไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับประเภทของผู้ประกันตนดังนี้
ประเภทแรก : ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 คือ ผู้ประกันตนในระบบ เป็นผู้ประกันตนที่ทํางาน อยู่กับนายจ้าง มีรายละเอียดเกี่ยวกับเงินสมทบดังนี้
1. ประเภทนี้มีผู้เกี่ยวข้องในการส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม รวม 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายลูกจ้าง (ผู้ประกันตน) ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายรัฐบาล
2. ประโยชน์ทดแทนที่ผู้ประกันตนจะได้รับมี 7 กรณี ได้แก่ กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีตาย กรณีคลอดบุตร กรณีสงเคราะห์บุตร กรณีชราภาพ และกรณีว่างงาน
3. อัตราเงินสมทบที่นําส่งเป็นกองทุนต่อเดือนคิดจากฐานเงินเดือนของลูกจ้างที่สมัครเข้าเป็น ผู้ประกันตน ขั้นต่ำสุดที่อัตรา 1,650 บาท และสูงสุดที่อัตราไม่เกิน 15,000 บาท โดยคิดร้อยละ 5 ของ ฐานเงินเดือนที่ผู้ประกันตนนั้นๆ ได้รับแต่ละเดือน กําหนดให้ลูกจ้าง คือผู้ประกันตนและนายจ้างออกเงิน สมทบฝ่ายละเท่าๆ กันในประโยชน์ทดแทนทั้ง 7 กรณี ส่วนฝ่ายรัฐบาลให้ออกเงินสมทบเข้ากองทุนเท่ากับ ผู้ประกันตนและนายจ้างใน 4 กรณีแรก คือ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตายและคลอดบุตร ส่วน 3 กรณีหลังคือ สงเคราะห์บุตร ชราภาพและว่างงาน สมทบน้อยกว่า 4 กรณีแรกตามที่กฎหมายกําหนด เมื่อรวมในส่วนของรัฐบาลสมทบทั้ง 7 กรณี เท่ากับร้อยละ 2.75 ตามตารางดังนี้
กฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ, 2556 มีผลบังคับใช้ 1 มกราคม 2557
4. ทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินค่าจ้างให้ลูกจ้างแต่ละเดือน นายจ้างต้องหักเงินค่าจ้างของผู้ประกันตน (ลูกจ้าง) ตามจํานวนที่ต้องนําส่งเป็นเงินสมทบของผู้ประกันตนไว้ในวันที่จ่ายค่าจ้าง ตามจํานวนที่กฎหมาย กําหนด โดยนายจ้างต้องนําเงินสมทบในส่วนของนายจ้างมีจํานวนเท่ากับลูกจ้างรวมเป็นยอดส่งให้ สํานักงานประกันสังคมภายในวันที่ 15 ของเดือน ถัดจากเดือนที่มีการหักเงินสมทบไว้ พร้อมเป็นรายการ แสดงการส่งเงินสมทบให้กับสํานักงานประกันสังคม หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามนี้จะต้องเสียเงินเพิ่มให้กับ สํานักงานประกันสังคมในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน ของจํานวนเงินสมทบที่นายจ้างมิได้น่าสง
ประเภทที่สอง : ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 คือ ผู้ประกันตนที่เคยเป็นลูกจ้างและเป็นผู้ประกันตน ในระบบมาตรา 33 มาก่อนแล้ว ต่อมาได้สิ้นสภาพจากการเป็นลูกจ้าง ความเป็นผู้ประกันตนก็สิ้นสุดลง แต่ได้แสดงความจํานงขอเป็นผู้ประกันตนต่อไป มีรายละเอียดดังนี้
1. ยื่นแสดงความจํานงต่อสํานักงานประกันสังคมภายใน 6 เดือน นับแต่วันสิ้นสุดการเป็น ผู้ประกันตน
2. มีผู้ต้องส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายผู้ประกันตนและฝ่ายรัฐบาล
3. ประโยชน์ทดแทนที่ผู้ประกันตนจะได้รับ มี 6 กรณี คือ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย คลอดบุตร สงเคราะห์บุตร และชราภาพ (เว้นกรณีว่างงาน)
4. อัตราเงินสมทบส่งเข้ากองทุนต่อเดือน คือจากฐานเงินเดือน 4,800 บาท ร้อยละ 9 เท่ากับ เดือนละ 432 บาท ส่วนรัฐบาลจ่ายเงินสมทบร้อยละ 2.50 เท่ากับเดือนละ 120 บาท แสดงให้เห็น ตามตารางดังนี้
ประเภทที่สาม : ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 ของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 คือ บคคลซึ่งมิใช่ลูกจ้าง เป็นบุคคลโดยทั่วไป เช่น ผู้ทํางานบ้านส่วนตัว เกษตรกร ผู้รับจ้าง พ่อค้าแม่ค้าแผงลอย ผู้ประกอบอาชีพอิสระ เป็นผู้ขับรถรับจ้าง ช่างเสริมสวย แพทย์ วิศวกร ไม่มีฐานะเป็นลูกจ้าง เป็นต้น หากแต่ประสงค์จะเป็นผู้ประกันตน เข้ามาโดยสมัครใจและได้แสดงความจํานงสมัครขึ้นทะเบียนเป็น ผู้ประกันตนต่อเจ้าหน้าที่สํานักงานประกันสังคมตามมาตรา 40 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 ซึ่งมาตรา 40 วรรคสอง บัญญัติว่า หลักเกณฑ์อัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ ทดแทนที่จะได้รับตามมาตรา 54 ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนให้ ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
ปัจจุบัน มีพระราชกฤษฎีกา ชื่อว่า : พระราชกฤษฎีกากําหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงิน สมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ ทดแทนของบุคคล ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. 2554 และฉบับที่ 2 (แก้ไขเพิ่มเติม) พ.ศ. 2556 รวม 22 มาตราใช้บังคับอยู่ขณะนี้ อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533
สาระสําคัญของพระราชกฤษฎีกา โดยสรุปดังนี้
1. คุณสมบัติของบุคคลผู้สมัคร มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ ไม่เป็น ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม หากประสงค์สมัครเป็น ผู้ประกันตนให้แสดงความจํานงต่อเจ้าหน้าที่สํานักงานประกันสังคมในพื้นที่ (จังหวัด สาขา ภูมิลําเนา ของตน) และให้สํานักงานประกันสังคมออกสมุดประจําตัวให้แก่ผู้ประกันตนตามแบบของสํานักงานประกัน สังคม (มาตรา 5 มาตรา 5/1)
2. การจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนและประโยชน์ทดแทน ให้ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน ประกันสังคมเป็นรายเดือน เดือนละครั้ง (อาจจ่ายเงินสมทบไว้ล่วงหน้าได้ครั้งละไม่เกิน 12 เดือน) ตามทางเลือกที่สมัคร 2 ทางเลือก ทางเลือกที่หนึ่งจ่ายเงินสมทบเดือนละ 100 บาท จะได้รับประโยชน์ ทดแทนกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพและกรณีตาย (มาตรา 6 มาตรา 7) และ ทางเลือกที่สองจ่ายเงินสมทบเดือนละ 150 บาท จะได้รับประโยชน์ทดแทน 3 ประการแรกเหมือนเดิมและ เพิ่มอีก 1 ประโยชน์ทดแทนคือกรณีชราภาพ(มาตรา8) และยังมีทางเลือกอีก 3 ทางเลือก คือ ทางเลือกที่สาม จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนเดือนละ 200 บาท มีประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ และมีทางเลือกที่จะพิจารณา คือทางเลือกที่สี่ เอาทางเลือกที่ 1+กับทางเลือกที่ 3 และทางเลือกที่ห้า เอาทางเลือกที่ 2+กับทางเลือกที่ 3 (มาตรา 9) การจ่ายเงินสมทบรัฐจะอุดหนุนร่วมด้วย เช่น เงินสมทบ 100 บาท รัฐจะอุดหนุน 30 บาท ผู้ประกันตนคงจ่ายเพียง 70 บาท (ดูตารางรัฐบาลอุดหนุนเงินสมทบ) ประโยชน์ทดแทนที่ผู้ประกันตน จะได้รับ ได้แก่ กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีถึงแก่ความตาย กรณี ชราภาพ (บําเหน็จชราภาพ หรือบํานาญชราภาพ) ตามมาตรา 11 มาตรา 12 มาตรา 13 มาตรา 14 มาตรา 14/1 มาตรา 14/2 และมาตรา 14/3 สอบถามรายละเอียดจากเจ้าหน้าที่ประกันสังคม เพิ่มเติมได้
3. สิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตนสิ้นสุดลงตามมาตรา 16 คือ
3.1 ตาย
3.2 ได้เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 39 ของพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533
3.3 แสดงความจํานงต่อสํานักงานประกันสังคมว่าไม่ประสงค์เป็นผู้ประกันตนต่อไป
สําหรับสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีทุพพลภาพและกรณีชราภาพยังคงมีผลใช้บังคับต่อไปได้ เว้นกรณีตายเป็นอันสิ้นสุด
รัฐบาลอุดหนุนเงินสมทบ 5 ทางเลือก ดังนี้
• ทางเลือกที่ 1 เงินสมทบ 100 บาท (ประชาชน 70 บาท รัฐ 30 บาท)
• ทางเลือกที่ 2 เงินสมทบ 150 บาท (ประชาชน 100 บาท รัฐ 50 บาท)
• ทางเลือกที่ 3 เงินสมทบ 200 บาท (ประชาชน 100 บาท รัฐ 100 บาท)
• ทางเลือกที่ 4 เงินสมทบ 300 บาท (ประชาชน 170 บาท รัฐ 130 บาท)
• ทางเลือกที่ 5 เงินสมทบ 350 บาท (ประชาชน 200 บาท รัฐ 150 บาท)
สิทธิประโยชน์ที่ได้รับการคุ้มครองของผู้ประกันตน ตามมาตรา 40
ประโยชน์ทดแทน
ประโยชน์ทดแทน
เมื่อลูกจ้างได้สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมแล้ว ลูกจ้างในฐานะ ผู้ประกันตนมีสิทธิจะได้รับประโยชน์ทดแทนจากการที่ได้เป็นผู้ประกันตนอะไรบ้างนั้น มีรายละเอียด ดังนี้
คําว่า ประโยชน์ทดแทน หมายถึง ประโยชน์ที่ผู้ประกันตนจะได้รับประโยชน์ทดแทนเป็นเงิน จากกองทุนประกันสังคม ประโยชน์ทดแทนมี 7 กรณี ตามที่กล่าวมาแล้วอาจแยกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มที่ 1 มีประโยชน์ทดแทน 4 กรณี
1. ประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตราย หรือเจ็บป่วย อันมิใช่เนื่องจากการทํางาน
2. ประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพ อันมิใช่เนื่องจากการทํางาน
3. ประโยชน์ทดแทนกรณีตาย อันมิใช่เนื่องจากการทํางาน
4. ประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตร
กลุ่มที่ 2 มีประโยชน์ทดแทน 2 กรณี
1. ประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร
2. ประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ
กลุ่มที่ 3 มีประโยชน์ทดแทน 1 กรณี
• ประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน
ให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนดังกล่าวข้างต้น ยื่นคําขอรับประโยชน์ทดแทน ที่สํานักงานประกันสังคม ที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบหรือประจําทํางานอยู่ ซึ่งการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ ทดแทนมีดังนี้
1. ประโยชน์ทดแทนกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย อันมิใช่เนื่องจากการทํางาน มีหลักเกณฑ์ว่า ผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบเฉพาะกรณีนี้มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายใน 15 เดือน ก่อนประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย หมายความว่า เมื่อมีเหตุประสบอันตรายถึงเจ็บป่วยณวันนี้นับย้อนหลังไป 15 เดือน ผู้ประกันตนที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยนี้ ต้องปรากฏว่ามีการส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน หรือ 3 ครั้ง กรณีนําส่งเงินสมทบเดือนละ 1 ครั้ง ฉะนั้นหากผู้ประกันตนได้ส่งเงินสมทบทุกเดือน ปัญหานับจํานวนครั้งก็ไม่ต้องมานับ เพราะกองทุนประกันสังคมคุ้มครองอยู่แล้ว เมื่อเข้าหลักเกณฑ์ตามนี้ ผู้ประกันตนก็มีสิทธิได้รับเงินทดแทนกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทํางานดังนี้
1.1 การบริการทางการแพทย์ โดยผู้ประกันตนต้องเข้ารับการรักษาทางการแพทย์ ณ สถานพยาบาลที่สํานักงานประกันสังคมกําหนดให้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ยกเว้นผู้ประกันตน ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเพราะอุบัติเหตุเป็นกรณีฉุกเฉิน หรือกรณีสํานักงานประกันสังคมยังไม่ได้ ออกบัตรรับรองสิทธิให้ ผู้ประกันตนสามารถเข้ารับการบริการทางการแพทย์ ณ สถานพยาบาลใดก็ได้
1.2 ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ถ้าผู้ประกันตนได้รับอันตรายหรือเจ็บป่วยต้อง หยุดงานตามคําสั่งแพทย์เพื่อรักษาพยาบาล กรณีเช่นนี้ให้ผู้ประกันตนได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ในอัตราตามที่กฎหมายกําหนด แต่ครั้งหนึ่งต้องไม่เกิน 180 วัน เว้นแต่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคเส้นเลือดในสมองผิดปกติเป็นเหตุให้ผู้ป่วยเป็นอัมพาต โรคไตวายเรื้อรัง เป็นต้น ให้มีสิทธิรับเงินทดแทน การขาดรายได้เกิน 180 วัน ได้ แต่มิให้เกิน 365 วัน
กรณีผู้ประกันตนได้รับค่าจ้างจากนายจ้างระหว่างวันหยุดงานเพื่อรักษาพยาบาลตามกฎหมาย หรือได้รับเงินทดแทนรายได้จากกรณีอื่น เช่น ตามข้อตกลงของสภาพการจ้าง ผู้ประกันตนย่อมหมดสิทธิ ที่จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตามกฎหมายประกันสังคม เพราะเป็นการรับซ้ําซ้อน
2. ประโยชน์ทดแทนกรณีทุพพลภาพอันมิใช่เนื่องจากการทํางาน มีหลักเกณฑ์ว่าผู้ประกันตน ต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน ภายใน 15 เดือน ก่อนทุพพลภาพ มีสิทธิได้รับประโยชน์ ทดแทนดังนี้
2.1 การบริการทางการแพทย์ ผู้ประกันตนที่ทุพพลภาพ มีสิทธิได้รับค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน เดือนละ 2,000 บาท ไม่ว่าการได้รับการบริการทางการแพทย์ดังกล่าวจะเกี่ยวเนื่องกับการทุพพลภาพนั้น หรือไม่ก็ตาม
2.2 ประโยชน์ทดแทนในการได้ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกาย จิตใจ และอาชีพ ตามที่ สํานักงานประกันสังคมจะออกประกาศให้ทราบ ตามมติของคณะกรรมการการแพทย์
2.3 เงินทดแทนการขาดรายได้ เมื่อผู้ประกันตนทุพพลภาพ อันมิใช่สาเหตุมาจากการทํางาน ให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ จํานวนร้อยละ 50 ของค่าจ้าง เฉลี่ยเป็นระยะเวลา ตลอดชีวิต คือได้รับเป็นรายเดือนอัตราครึ่งหนึ่งของเงินเดือนที่เคยได้รับจนตลอดชีวิต
2.4 ถ้าผู้ทุพพลภาพถึงแก่ความตาย จะได้รับประโยชน์ทดแทน คือ เงินค่าทําศพ 3,000 บาท และเงินสงเคราะห์แก่ทายาทตามหลักเกณฑ์ คํานวณเงินทดแทนการขาดรายได้ โดยนําเงินทดแทน การขาดรายได้ที่ผู้ประกันตนได้รับในเดือนสุดท้ายก่อนตาย มาเป็นเกณฑ์ในการคํานวณ
3. ประโยชน์ทดแทนกรณีตายอันมิใช่เนื่องจากการทํางาน มีหลักเกณฑ์ว่าเมื่อผู้ประกันตน ถึงแก่ความตายโดยมิใช่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจากการทํางาน ถ้าภายในระยะเวลา 6 เดือน ก่อนถึงแก่ความตาย และผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 เดือน มีสิทธิได้รับประโยชน์ ทดแทนดังนี้ 8
3.1 เงินค่าทําศพ ให้จ่ายเงินค่าทําศพแก่ผู้ประกันตนตามที่กําหนดไว้ในกฎกระทรวง แต่ต้องไม่น้อยกว่า 100 เท่า ของอัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ํารายวัน ซึ่งปัจจุบันกระทรวงแรงงานกําหนด ให้จ่ายค่าทําศพ จํานวน 40,000 บาท (สี่หมื่นบาท) โดยจ่ายให้แก่บุคคลซึ่งผู้ประกันตนทําหนังสือระบุชื่อ ไว้ให้เป็นผู้จัดการศพ หรือสามี ภรรยา หรือ บิดา มารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนซึ่งมีหลักฐานแสดงว่า เป็นผู้จัดการศพของผู้ประกันตน
3.2 เงินสงเคราะห์ ให้จ่ายเงินสงเคราะห์แก่บุคคลซึ่งผู้ประกันตนทําหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิ ได้รับเงินสงเคราะห์ แต่ถ้าผู้ประกันตนมิได้มีหนังสือระบุไว้ให้นําเงินสงเคราะห์นั้นมาเฉลี่ยจ่ายให้แก่สามี ภรรยา บิดา มารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนในจํานวนที่เท่ากัน ส่วนยอดเงินมีจํานวนเท่าใดให้คํานวณ ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกําหนดไว้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจํานวนปีของผู้ประกันตนที่ถึงแก่ความตายได้ส่งเงิน สมทบมาแล้วกี่เดือน ประกอบกับจํานวนค่าจ้างรายเดือนที่ผู้ประกันตนได้รับอยู่ก่อนตาย ซึ่งกําหนดไว้ว่า ผู้ประกันตนได้ส่งเงินสมทบก่อนตายจํานวน 36 เดือน แต่ไม่ถึง 10 ปี จะได้รับเงินสงเคราะห์เท่ากับร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายเดือน คูณด้วย 3 หรือ 3 เท่า แต่ถ้าส่งเงินสมทบเกิน 10 ปี ขึ้นไป จะได้รับเท่ากับร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายเดือน คูณด้วย 10 หรือ 10 เท่า
ตัวอย่าง
ผู้ประกันตนส่งเงินสมทบก่อนตายมาแล้ว จํานวน 45 เดือน แต่ไม่ถึง 10 ปี ก่อนตายมีเงินเดือน 7,000 บาท จะได้รับเงินสงเคราะห์ร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายเดือน เท่ากับ 3,500 คุณด้วย 3 เท่า จึงเป็นเงินสงเคราะห์ที่จะได้รับ 3,500 x 3 = 10,500 บาท (หนึ่งหมื่นห้าร้อยบาท)
แต่ถ้าผู้ประกันตนส่งเงินสมทบเกิน 10 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินสงเคราะห์ร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายเดือน เช่น เงินเดือนครั้งสุดท้ายก่อนตายได้รับเดือนละ 12,000 บาท ส่งเงินสมทบมาแล้ว 1 1 ปี จึงมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์เท่ากับ 6,000 x 10 = 60,000 บาท (หกหมื่นบาท)
4. ประโยชน์ทดแทนกรณีคลอดบุตร คลอดบุตร หมายถึง ทารกคลอดหลุดออกมา จากครรภ์มารดา ซึ่งมีระยะเวลาการตั้งครรภ์ไม่น้อยกว่า 28 สัปดาห์ ไม่ว่าทารกที่คลอดจะมีชีวิตอยู่ หรือไม่
นอกจากนี้การคลอดบุตรมิได้หมายความเฉพาะหญิงที่เป็นผู้ประกันตนเท่านั้น ผู้ชายที่เป็น ผู้ประกันตนก็มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีภริยาของตนคลอดบุตรด้วย และคําว่า ภริยาให้หมายรวมถึง หญิงที่อยู่กินด้วยกันกับผู้ประกันตนฉันสามีภริยาโดยเปิดเผย ตามระเบียบของสํานักงานประกันสังคม แม้ว่าจะมิได้จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฏหมายก็ตาม แต่ต้องหมายถึงมีภริยาคนเดียวเท่านั้น
กฎหมายกําหนดไว้ว่าผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 7 เดือน ภายใน 15 เดือน ก่อนคลอดบุตร มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนดังนี้”
4.1 ผู้ประกันตนแต่ละคนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนจากการคลอดบุตรไม่เกิน 2 ครั้ง หมายความว่า คลอดกี่ครั้งก็เบิกได้ไม่เกิน 2 ครั้ง แต่ถ้าทั้งสามีและภริยาต่างก็เป็นผู้ประกันตนด้วยกัน ทั้งคู่ให้แต่ละคนมีสิทธิเบิกประโยชน์ทดแทนค่าคลอดบุตรได้คนละ 2 ครั้ง รวมเป็น 4 ครั้ง
4.2 ค่าบริการทางการแพทย์กรณีคลอดบุตร สําหรับการคลอดบุตรของผู้ประกันตน หรือหญิง ซึ่งอยู่กินกับผู้ประกันตนฉันสามีภริยาโดยเปิดเผย ได้แก่ ค่าตรวจและรับฝากครรภ์ ค่าบําบัดทางการแพทย์ ค่ายาและเวชภัณฑ์, ค่าทําคลอด ค่ากินอยู่และรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล ค่าบริการและค่ารักษา พยาบาลทารกแรกเกิด ค่ารถพยาบาลหรือค่าพาหนะรับส่งผู้ป่วย และค่าบริการอื่นที่จําเป็นแบบเหมาจ่าย คือ ให้จ่ายค่าบริการทางการแพทย์เหมาจ่ายกรณีคลอดบุตรแก่ผู้ประกันตนในอัตรา 12,000 บาท (หนึ่งหมื่นสองพันบาท) ต่อการคลอด 1 ครั้ง
ดังนั้นผู้ประกันตนที่เป็นหญิงและคลอดบุตร รวมทั้งชายสามีซึ่งเป็นผู้ประกันตนจะชอบด้วย กฎหมายหรือไม่ก็ตาม แต่อยู่กินฉันสามีภริยาโดยเปิดเผย ย่อมเบิกได้คนละ 12,000 บาท ต่อการคลอดบุตร หนึ่งครั้ง รวมแล้วไม่เกิน 2 ครั้ง และจะคลอด ณ ที่ใด โรงพยาบาลใดก็ได้
4.3 เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อคลอดบุตร การหยุดงานเพื่อคลอดบุตร มีสิทธิหยุดได้ ไม่เกิน 2 ครั้ง (2 ท้อง) แต่ละครั้งได้รับเงินสงเคราะห์แบบเหมาจ่ายเป็นเงินร้อยละ 50 ของค่าจ้าง เฉลี่ยเป็นเวลา 90 วัน คือได้รับเงินหยุดงานเพื่อคลอดบุตรเท่ากับค่าจ้างจํานวน 15 วัน นั่นเอง
5. ประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร คือประโยชน์ทดแทนหรือเงินช่วยเหลือให้แก่บุตรของ ผู้ประกันตน บุตรของผู้ประกันตนต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย มีอายุตามที่กฎหมายกําหนด โดยไม่รวมถึงบุตรบุญธรรม หรือบุตรที่ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมจากบุคคลอื่น และผู้ประกันตนจะมีสิทธิได้รับ ประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร ก็ต่อเมื่อภายในระยะเวลา 36 เดือนก่อนมีสิทมิได้รับประโยชน์ทดแทน ผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบกรณีสงเคราะห์บุตรมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน กฎหมายวางหลักเกณฑ์ ไว้ดังนี้
5.1 ประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตร ได้แก่
(1) ค่าสงเคราะห์ความเป็นอยู่ของบุตร
(2) ค่าเล่าเรียนของบุตร
(3) ค่ารักษาพยาบาลของบุตร
(4) ค่าสงเคราะห์อื่นๆ ที่จําเป็น
5.2 วิธีการและเงื่อนไขการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร
(1) ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเฉพาะบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ประกันตนอายุไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์
(2) ผู้ประกันตนสามารถใช้สิทธิรับประโยชน์ทดแทน กรณีสงเคราะห์บุตรคราวละไม่เกิน 2 คน โดยให้คํานึงว่าบุตรนั้นจะเกิดก่อนเป็นผู้ประกันตนหรือไม่ (หมายความว่า บุตรของตนเกิดแล้ว ตนเองเพิ่งมาสมัครเป็นผู้ประกันตนและบุตรนั้นยังมีอายุไม่เกิน 6 ปี)
(3) ประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตรให้จ่ายเหมาเป็นเงินในอัตรา 350 บาทต่อเดือน ต่อบุตร หนึ่งคน (รับสงเคราะห์ได้ไม่เกิน 2 คน)
(4) กรณีบุตรเกิดระหว่างเดือน ให้มีสิทธิรับเงินสงเคราะห์เด็นเดือน
(5) ผู้ประกันตนได้รับประโยชน์ทดแทน สําหรับบุตร 2 คนแล้ว ต่อมาบุตรคนใดคนหนึ่ง มีอายุครบ 6 ปีบริบูรณ์ หรือถึงแก่ความตาย ถ้าผู้ประกันตนมีบุตรถัดลงไป และมีอายุไม่ครบ 6 ปีบริบูรณ์ ให้ผู้ประกันตนได้รับสิทธิประโยชน์ทดแทนสงเคราะห์บุตรจากบุตรคนถัดไปแทนที่บุตรที่สิ้นสุดการ มีสิทธินั้นได้
(6) ถ้าบุตรของผู้ประกันตนมีอายุครบ 6 ปีบริบูรณ์ และไม่มีบุตรทดแทน หรือผู้ประกันตน ยกบุตรให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่ผู้อื่น ให้งดจ่ายเงินสงเคราะห์บุตรตั้งแต่เดือนถัดจากเดือนที่บุตรมีอายุครบ 6 ปีบริบูรณ์ หรือยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของผู้อื่น
(7) ถ้าผู้ประกันตนซึ่งมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน ตกเป็นผู้ทุพพลภาพ และบุตรยัง มีอายุไม่ครบ 6 ปีบริบูรณ์ คงให้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตรต่อไป
(8) ถ้าผู้ประกันตนถึงแก่ความตายขณะบุตรยังมีอายุไม่ครบ6ปีบริบูรณ์ให้จ่ายเงินสงเคราะห์ ดังต่อไปนี้
• สามีหรือภริยาของผู้ประกันตน หรือบุคคลซึ่งอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยากับ ผู้ประกันตนโดยเปิดเผย ตามระเบียบที่ประกันสังคมกําหนด และเป็นผู้มีอํานาจปกครองบุตร
• ผู้อุปการะบุตรของผู้ประกันตน กรณีสามีหรือภริยาของผู้ประกันตนมิได้เป็น ผู้ปกครองบุตร
6. ประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ ต่อเมื่อผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือน ไม่ว่าการจ่ายเงินสมทบนี้จะจ่าย ติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม
ประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ มีได้ 2 กรณี คือ
(1) เงินบํานาญชราภาพ หมายถึง เงินที่จ่ายให้เลี้ยงชีพจ่ายเป็นรายเดือนตลอดชีพ
(2) เงินบําเหน็จชราภาพ หมายถึง เงินบําเหน็จที่จ่ายให้ครั้งเดียว เมื่อความเป็นผู้ประกันตน สิ้นสุดลง
ประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพ ทั้ง 2 กรณี มีหลักเกณฑ์การจ่ายดังนี้
6.1 เงินบํานาญชราภาพ
(1) ผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบเพื่อประโยชน์ทดแทน กรณีชราภาพมาแล้วไม่น้อยกว่า 120 เดือน (15 ปีขึ้นไป) ให้มีสิทธิรับเงินบํานาญชราภาพ ตั้งแต่เดือนที่มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ เว้นแต่เมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์แล้ว อายุความเป็นผู้ประกันตนยังไม่สิ้นสุด คือยังเป็นผู้ประกันตนอยู่ ก็ให้ผู้นั้นได้รับเงินบํานาญชราภาพตั้งแต่เดือนถัดจากเดือนที่ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
(2) การจ่ายเงินบํานาญชราภาพให้จ่ายเป็นรายเดือนในอัตราร้อยละ 15 ของค่าจ้างเฉลี่ย 40 เดือนสุดท้าย ที่ใช้เป็นฐานในการคํานวณเงินสมทบก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง กล่าวคือ ให้หาค่าเฉลี่ยของค่าจ้างของผู้ประกันตน 60 เดือนย้อนหลัง นับแต่เดือนที่ผู้ประกันตนสิ้นสภาพการเป็น ลูกจ้างกลับไป 60 เดือน แล้วนําค่าเฉลี่ยคูณด้วย 15% ผลลัพธ์จะเป็นค่าบํานาญชราภาพที่ผู้ประกันตน มีสิทธิได้รับทุกๆ เดือน จนกว่าจะถึงแก่ความตาย
ตัวอย่าง
นาย ก. ผู้ประกันตนเงินเดือนเมื่อ 60 เดือนที่แล้วได้รับค่าจ้างเดือนละ 7,000 บาท วันนี้สิ้นสภาพ การเป็นลูกจ้างหรือสิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตนได้รับค่าจ้างเดือนละ 9,000 บาท ค่าเฉลี่ยของค่าจ้าง 60 เดือน 7000 + 9000 = 10,000 เท่ากับ 8,000 บาท ร้อยละ 15 หรือ 15% จะเท่ากับ 1,200 บาท ดังนั้น นาย ก. จะได้รับเงินบํานาญชราภาพเป็นเงินเดือนละ 1,200 บาท จนกระทั่ง เสียชีวิต
6.2 เงินบําเหน็จชราภาพ (จ่ายครั้งเดียวเมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์)
ผู้ประกันตนที่จ่ายเงินสมทบเพื่อประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพมาแล้วแต่ไม่ครบ 180 เดือน และความเป็นผู้ประกันตนได้สิ้นสุดลงด้วยเหตุอื่นอันมิใช่ความตาย ให้ผู้นั้นมีสิทธิได้รับ เงินบําเหน็จชราภาพ คือรับครั้งเดียว มีหลักเกณฑ์ตามที่กฎกระทรวง ฉบับที่ 17 พ.ศ. 2542 กําหนดไว้ ดังนี้
(1) กรณีผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบต่ำกว่า 12 เดือน มีสิทธิได้รับเงินบําเหน็จชราภาพ ตามจํานวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบไว้ เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนกรณีสงเคราะห์บุตร
และชราภาพ
(2) กรณีผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป มีสิทธิได้รับเงินบําเหน็จชราภาพ ตามจํานวนเงินสมทบที่นายจ้างจ่ายสมทบกรณีดังกล่าว รวมกับจํานวนผลประโยชน์ตอบแทนตามที่ สํานักงานประกันสังคมประกาศกําหนด
กรณีผู้รับเงินบํานาญชราภาพถึงแก่ความตายภายใน 60 เดือน นับแต่เดือนที่มีสิทธิ ได้รับเงินบํานาญชราภาพ หรือ ผู้รับเงินบําเหน็จชราภาพถึงแก่ความตายก่อนรับเงิน ให้ทายาทของ ผู้รับเงินบํานาญชราภาพ และทายาทผู้รับเงินบําเหน็จชราภาพ เป็นผู้รับแทนครั้งเดียวทดแทน
ทายาทของผู้รับเงินบํานาญชราภาพ หรือบําเหน็จชราภาพ ได้แก่
(1) บุตรชอบด้วยกฎหมาย (ยกเว้นบุตรบุญธรรม) ให้ได้รับ 2 ส่วน แต่ถ้าผู้ประกันตนที่ตาย มีบุตรตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป ให้ได้รับ 3 ส่วน
(2) สามีหรือภริยา ให้ได้รับ 1 ส่วน
(3) บิดามารดา หรือบิดา หรือมารดา ที่มีชีวิตอยู่ให้ได้รับ 1 ส่วน
ในกรณีไม่มีทายาทดังกล่าว หรือทายาทนั้นได้ตายไปแล้ว ให้แบ่งเงินส่วนนั้นให้แก่ทายาท ผู้มีสิทธิที่ยังมีชีวิตอยู่ตามส่วน
7. ประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน
ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน กรณีว่างงานต่อเมื่อ ผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบ กรณีลูกจ้างว่างงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน และต้องอยู่ภายในระยะเวลา 15 เดือน ก่อนการว่างงาน กล่าวคือ ก่อนได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ต้องเป็นผู้ประกันตนมาแล้ว 15 เดือน จึงมีเหตุว่างงาน เกิดขึ้น
คําว่า ว่างงาน หมายความว่า ผู้ประกันตนต้องหยุดงานเนื่องจาก นิติสัมพันธ์ระหว่างนายจ้าง กับลูกจ้าง ที่มีตามสัญญาได้สิ้นสุดลง และผู้ประกันตนต้องเป็นผู้อยู่ในเงื่อนไข ดังนี้
7.1 เป็นผู้มีความสามารถในการทํางาน พร้อมที่จะทํางานที่เหมาะสม ตามที่จัดหาให้ หรือต้องไม่ปฏิเสธการฝึกงาน และได้ขึ้นทะเบียนไว้ที่สํานักงานจัดหางานของรัฐ โดยต้องไปรายงานตัว ต่อสํานักงานจัดหางานของรัฐไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง
7.2 นอกจากตามที่กฎหมายกําหนดไว้ข้างต้น ผู้ประกันตนยังต้องเป็นผู้อยู่ในเงื่อนไขดังนี้
(1) ผู้ว่างงานต้องเป็นผู้ประกันตนมิใช่ถูกเลิกจ้างเพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทํา ความผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้าง หรือจงใจทําให้นายจ้างได้รับความเสียหาย หรือฝ่าฝืนข้อบังคับ ระเบียบเกี่ยวกับการทํางาน หรือทําสิ่งอันชอบด้วยกฎหมาย หรือละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 7 วันทํางาน ติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง หรือได้รับโทษจําคุกตามคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุก เว้นแต่เป็นโทษสําหรับความผิดที่ได้กระทํา โดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
(2) ต้องมีใช่ผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพที่กล่าวมาแล้ว
7.3 ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนการว่างงานตามที่กฎกระทรวงกําหนดไว้
(1) รับเงินทดแทนร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน สําหรับการว่างงาน เพราะเหตุ ถูกเลิกจ้าง โดยให้ได้รับครั้งละไม่เกิน 180 วัน
(2) รับเงินทดแทนร้อยละ 30 ของค่าจ้างรายวัน สําหรับการว่างงานเพราะเหตุลาออก จากงาน หรือเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างที่มีกําหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน และเลิกจ้างตามกําหนด ระยะเวลานั้นโดยให้ได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน
หมายเหตุ : ประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตนที่มิใช่ลูกจ้าง (อาชีพอิสระ คือ มาตรา 40) เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาดังที่กล่าวมาแล้ว
สิทธิของผู้ประกันตนในระบบ หลังสิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน
สิทธิของผู้ประกันตนในระบบ หลังสิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน
ในกรณีผู้ประกันตนตามมาตรา 33 หรือผู้ประกันตนในระบบได้ส่งเงินสมทบครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ และเลื่อนเวลาจนก่อให้เกิดมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนตามหลักเกณฑ์ที่กล่าวมาแล้วต่อมาผู้ประกันตน ได้สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน เนื่องจากสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างอันมิใช่ความผิดของผู้ประกันตน ย่อมมีสิทธิตามกฎหมายประกันสังคม ดังนี้
1. มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนจากกรณีประสบอันตราย กรณีเจ็บป่วย กรณีคลอดบุตรและ กรณีตาย ต่อไปอีก 6 เดือน นับแต่วันสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้าง
2. มีสิทธิสมัครเป็นผู้ประกันตนต่อไปได้หากประสงค์ โดยแสดงความจํานงต่อสํานักงานประกัน สังคมภายในกําหนด 6 เดือน นับแต่วันสิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน