หลักกฎหมายและวัตถุประสงค์ การคุ้มครองแรงงาน
หลักกฎหมายและวัตถุประสงค์ การคุ้มครองแรงงาน
หลักกฎหมายและวัตถุประสงค์การคุ้มครองแรงงาน ของ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ที่ใช้บังคับอยู่ขณะนี้ เป็นกฎหมายจัดระเบียบของสังคมการจ้างแรงงานและใช้แรงงาน มุ่งเน้น ให้นายจ้างต้องปฏิบัติตามหลักกฎหมายที่บัญญัติไว้การไม่ปฏิบัติหรือฝ่าฝืนอาจได้รับโทษโดยมีเจ้าหน้าที่ ของรัฐทําหน้าที่ในการควบคุม กํากับ ดูแล แม้ลูกจ้างจะไม่ร้องทุกข์กล่าวโทษ พนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มี อํานาจตามกฎหมาย สามารถเข้าไปควบคุม ดําเนินการให้นายจ้างปฏิบัติตามระเบียบและหลักกฎหมายได้
การจะทําให้สังคมในองค์กรนายจ้างลูกจ้างมีความเป็นธรรมและสงบสุข งานดําเนินไปด้วย ความราบรื่น รัฐได้วางหลักไว้ในกฎหมายเพื่อกําหนดมาตรฐานขั้นต่ำการใช้แรงงาน ด้วยการตรากฎหมาย เกี่ยวกับสภาพการจ้างไว้ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เพื่อให้สังคมใช้เป็นคําถาม คําตอบได้ อาทิเช่น
1. ลักษณะงานที่ทํา เหมาะสมกับวัยหรือเพศของลูกจ้างหรือไม่
2. วันและเวลาทํางานของลูกจ้าง ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่
3. ค่าจ้างที่ให้ รวมทั้งค่าจ้างทํางานล่วงเวลา ทํางานวันหยุด ถูกต้องหรือไม่
4. สวัสดิการของลูกจ้าง ความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทํางาน มีเพียงพอหรือไม่
5. เมื่อมีการเลิกจ้าง ลูกจ้างได้รับความเป็นธรรมจากนายจ้าง และได้รับเงินชดเชยถูกต้องตามที่ กฎหมายกําหนดหรือไม่
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ได้กําหนดมาตรฐานด้านแรงงานไว้ เช่น
ลักษณะงานที่ทําว่าเหมาะสมกับเพศหรือวัยหรือไม่ วัน เวลาการทํางาน สิทธิ ตลอดจนสวัสดิการต่างๆ
สรุปได้ว่า หลักกฎหมายและวัตถุประสงค์การตรากฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ก็เพื่อประสงค์ให้นายจ้างปฏิบัติตามกฎหมาย จึงกําหนดเงื่อนไขการจ้างไว้เพื่อคุ้มครอง ลูกจ้างมิให้ถูกเอาเปรียบ และได้รับความปลอดภัยขณะทํางาน มีเวลาพักผ่อนที่เหมาะสม มีสวัสดิการ และได้รับค่าจ้างถูกต้องตามกฎหมายกําหนด อันจะทําให้ลูกจ้างสามารถปฏิบัติงานที่จ้างได้อย่างมี ประสิทธิภาพ มีความหวังและมีความสุขในการทํางาน เกิดความสงบสุขและความเป็นธรรมในสังคม ส่วนลักษณะการจ้างแรงงาน การใช้สิทธิและหน้าที่ของนายจ้างจะต้องปฏิบัติตามหลักของการจ้างแรงงาน แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เว้นแต่กฎหมายคุ้มครองแรงงานนี้จะกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ๆ
ความหมายของคําว่านายจ้างและลูกจ้าง
คําว่า นายจ้าง และ ลูกจ้าง มีศัพท์บัญญัติไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองแรงงานของ แต่ละฉบับ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันหรือเหมือนกัน พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เล่มนี้ บัญญัติไว้ดังนี้
นายจ้าง
นายจ้าง หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าทํางานโดยจ่ายค่าจ้างให้และหมายความรวมถึง
1. ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทํางานแทนนายจ้าง
2. ในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคลให้หมายความรวมถึงผู้มีอํานาจการกระทําแทนนิติบุคคล และ ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้มีอํานาจกระทําการแทนนิติบุคคลให้ทําการแทนด้วย
จากบทบัญญัติข้างต้น อธิบายได้ว่า นายจ้าง หมายถึงบุคคล ดังนี้
1. บุคคลธรรมดา ได้แก่บุคคลทั่วๆ ไป มีกิจการธุรกิจเป็นส่วนตัวของตนเอง และเป็นเจ้าของ กิจการนั้นๆ ได้ตกลงรับเอาบุคคลภายนอก คือ ลูกจ้างเข้ามาทํางานกับตนโดยจ่ายค่าจ้างให้บุคคลผู้ตกลง รับลูกจ้างเข้ามาทํางานและจ่ายค่าจ้างให้ คือ นายจ้าง และให้หมายรวมถึงผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทํางาน แทนนายจ้าง
ตัวอย่าง
นายสมพงษ์ เจ้าของร้านขายยารับนายบุญมีบุคคลภายนอกเข้ามาทํางานช่วยขายยาในร้าน ของตน และจ่ายค่าจ้างให้ เช่นนี้ นายสมพงษ์ คือ นายจ้าง และในระหว่างดําเนินกิจการขายยา อยู่นั้น วันหนึ่งนายสมพงษ์ไม่อยู่ จึงมอบให้นายสมศักดิ์ น้องชายมาคุมร้านแทน เช่นนี้ เป็นการ มอบหมายให้นายสมศักดิ์ทํางานแทนนายจ้าง นายสมศักดิ์จึงเป็นนายจ้างของนายบุญมีด้วย
2. นิติบุคคล คําว่านิติบุคคล ได้แก่ ห้างหุ้นส่วนจํากัด บริษัทจํากัด โรงเรียนเอกชน (กฎหมายกําหนดให้เป็นนิติบุคคล) เมื่อจ้างบุคคลภายนอกเข้ามาทํางานในกิจการของตนและ จ่ายค่าจ้างให้ ผู้มีอํานาจกระทําการแทนนิติบุคคลตามตัวอย่างที่ยกมา คือ ผู้จัดการห้างหุ้นส่วน ผู้จัดการบริษัท ผู้อํานวยการโรงเรียน คือ นายจ้าง เมื่อนายจ้างมีกิจธุระ ไม่สามารถทําหน้าที่นายจ้างได้ จึงมอบหมายให้บุคคลอื่นในห้าง ในบริษัทหรือผู้ช่วยผู้อํานวยการโรงเรียนให้กระทําการแทนตน บุคคล ดังกล่าวจึงเป็นนายจ้างตามกฎหมายนี้
ลูกจ้าง
ลูกจ้าง หมายความว่า ผู้ซึ่งตกลงทํางานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้าง ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร
คําว่า ผู้ซึ่ง หมายถึง บุคคลผู้ซึ่งตกลงทํางานให้นายจ้าง และหมายถึงบุคคลธรรมดามิใช่นิติบุคคล ที่เข้ามาตกลงทํางานให้นายจ้าง และได้รับค่าจ้างจากนายจ้าง โดยไม่คํานึงว่าผู้นั้นจะทําหน้าที่ในตําแหน่งใด และการตกลงนั้นจะเป็นการตกลงโดยตรงกับนายจ้างหรือตกลงโดยปริยายก็ได้
ตัวอย่าง 1
นายไก่ เข้ามาสมัครเป็นคนขับรถของบริษัทสํานักพิมพ์ เอมพันธ์ จํากัด และผู้จัดการบริษัท สํานักพิมพ์ เอมพันธ์ จํากัด ก็รับการสมัคร ให้นายไก่เป็นคนขับรถส่งหนังสือเรียนของบริษัท และจ่ายเงินเดือนให้เป็นรายเดือน นายไก่จึงเป็นลูกจ้างของบริษัทสํานักพิมพ์ เอมพันธ์ จํากัด
ตัวอย่าง 2
คําว่า ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร หมายความว่าเมื่อตกลงทํางานให้นายจ้างโดยรับค่าจ้าง ไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไร ก็เป็นลูกจ้างของนายจ้าง ส่วนตําแหน่งหน้าที่อาจแตกต่างกัน เช่น ทําด้วยแรงงานที่ใช้กําลังแบกหามยกของ ทํางานใช้สมองด้านเทคนิค เช่น พนักงานคอมพิวเตอร์ ทํางานด้านบริหาร เช่น หัวหน้างาน บรรณาธิการ จะเรียกชื่ออย่างไรไม่สําคัญ ความสําคัญอยู่ที่ทํางาน ตอบแทนนายจ้างให้บรรลุผลตามเป้าหมาย และตนเองได้รับค่าจ้าง ทั้งหมดคือลูกจ้าง
ตัวอย่าง 3
คําว่าตกลงทํางานให้นายจ้างอาจตกลงด้วยวาจา หรือทําเป็นลายลักษณ์อักษร คือเป็นสัญญา หรือเขียนใบสมัครหรืออาจตกลงกันโดยปริยายก็ใช้ได้ เพราะสัญญาจ้างแรงงานไม่มีกฎหมายบัญญัติ ให้ไว้ว่าต้องทําตามแบบหรือทําเป็นหนังสือ จะตกลงกันด้วยวาจาหรือโดยปริยายก็ได้ ดังเช่น นายรวย ตกลงให้ นายสมศักดิ์ขับรถยนต์ของตนจ่ายค่าจ้างให้เป็นรายเดือนมาตลอด วันหนึ่ง นายสมศักดิ์ป่วยไม่สามารถขับรถให้นายรวยได้ จึงให้นายสมชาย น้องชายของตนมาขับแทน นายรวย ก็มิได้ว่าอะไรและยอมให้ขับแทน เช่นนี้ถือว่าสัญญาจ้างแรงงานให้นายสมชายเป็นคนขับรถยนต์แทน นายสมศักดิ์พี่ชายเกิดขึ้นแล้ว
ขอบเขตการใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน
ขอบเขตการใช้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน
การคุ้มครองแรงงานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 วางหลักเกณฑ์มาตรฐานขั้นต่ำใช้บังคับนายจ้างไว้เป็นบรรทัดฐานในเรื่อง ค่าจ้าง วันลา วันหยุดของลูกจ้าง หากนายจ้างประสงค์จะเข้ มาตรฐานขั้นสูงกว่าอัตราขั้นต่ำที่กฎหมายกําหนดย่อมทําได้อันจะเป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งขึ้น ลักษณะสําคัญ ที่นายจ้างต้องปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับนี้ คือ การใช้แรงงาน โดยเฉพาะแรงงานหญิง แรงงานเด็ก การให้ค่าจ้าง ค่าล่วงเวลา ค่าทํางานในวันหยุด ความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการ ทํางาน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ขอบเขตการคุ้มครองแรงงานตามพระราชบัญญัตินี้ มีขอบเขตให้ใช้บังคับแก่นายจ้าง ที่ประกอบกิจการธุรกิจ จะไม่ใช้แก่นายจ้างที่มีลูกจ้างดังต่อไปนี้
1. ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค และราชการส่วนท้องถิ่นเนื่องจากมีกฎหมายเฉพาะของตนเอง
2. รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายแรงงาน ว่าด้วยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เนื่องจากมีกฎหมายเฉพาะ ของตนเอง
3. นายจ้างซึ่งประกอบกิจการโรงเรียนเอกชน ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน เฉพาะในส่วนที่ เกี่ยวกับครูใหญ่และครูในโรงเรียน
4. นายจ้างซึ่งจ้างลูกจ้างทํางานเกี่ยวกับงานบ้าน อันมิได้มีการประกอบธุรกิจรวมอยู่ด้วย โดยทั่วไป เราเรียกว่า ผู้ช่วยแม่บ้าน
5. นายจ้างซึ่งจ้างลูกจ้างทํางานเกษตรกรรม เนื่องจากเป็นงานขึ้นอยู่กับดิน ฟ้า อากาศสิ่งแวดล้อม ไม่เหมือนกัน
6. นายจ้างซึ่งจ้างลูกจ้าง ทํางานที่รับไปทําที่บ้าน
ข้อห้ามและข้อปฏิบัติของนายจ้างที่มีต่อลูกจ้าง
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มีข้อห้ามมิให้นายจ้างปฏิบัติและมีข้อควรปฏิบัติต่อ ลูกจ้างดังนี้
1. ห้ามมิให้นายจ้างเรียกหรือรับหลักประกันการทํางาน หรือหลักประกันความเสียหายในการ ทํางานไม่ว่าจะเป็นเงินหรือทรัพย์สินอื่นๆ หรือการค้ำประกันด้วยบุคคล เว้นแต่ลักษณะหรือสภาพของ งานที่ทํานั้นลูกจ้างต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินหรือทรัพย์สินของนายจ้าง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความเสียหาย แก่นายจ้างได้ ในกรณีนายจ้างเรียกหรือรับเงินประกันของลูกจ้างไว้ เมื่อนายจ้างเลิกจ้างให้นายจ้างคืน เงินประกันพร้อมดอกเบี้ย (ถ้ามี) ให้แก่ลูกจ้างภายใน 7 วัน นับแต่วันที่เลิกจ้างหรือวันที่ลูกจ้างลาออก
2. กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงตัวนายจ้างไม่ว่ากรณีใด สิทธิต่างๆ ที่ลูกจ้างมีอยู่ต่อนายจ้างเดิมเช่นใด ให้ลูกจ้างมีสิทธิเช่นว่านั้นต่อไป และให้นายจ้างใหม่รับไปทั้งสิทธิและหน้าที่เกี่ยวข้องกับลูกจ้างนั้น ทุกประการ
3. ให้นายจ้างปฏิบัติต่อลูกจ้างให้ถูกต้องตามสิทธิและหน้าที่ที่กําหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ เว้นแต่พระราชบัญญัตินี้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น
4. สัญญาจ้าง ข้อบังคับเกี่ยวกับสภาพการทํางาน ระเบียบหรือคําสั่งของนายจ้าง ทําให้นายจ้าง ได้เปรียบลูกจ้างเกินสมควร ศาลมีอํานาจสั่งให้สัญญาจ้าง ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคําสั่งนั้นมีผลใช้บังคับ ได้เท่าที่เป็นธรรมและพอสมควรแก่กรณี
5. ให้นายจ้างปฏิบัติต่อลูกจ้างชายและหญิงเท่าเทียมกันในการจ้างงาน เว้นแต่ลักษณะหรือสภาพ ของงานไม่อาจปฏิบัติเช่นนั้นได้
6. ห้ามมิให้นายจ้าง หัวหน้างาน ผู้ควบคุมหรือผู้ตรวจงานกระทําการล่วงเกิน คุกคาม หรือก่อ ความเดือดร้อนรําคาญทางเพศต่อลูกจ้าง
การใช้แรงงานทั่วไป
การใช้แรงงานทั่วไป
การใช้แรงงานทั่วไป คือการกําหนดให้ลูกจ้างทํางานตามเวลาที่กําหนดอาจแบ่งเป็นเวลา ทํางานปกติ เวลาทํางานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้าง การทํางานล่วงเวลา การทํางานในวันหยุด เวลาพักระหว่างทํางาน รวมทั้งกําหนดให้สิทธิวันหยุดแก่ลูกจ้าง ได้แก่ วันหยุด ประจําสัปดาห์ วันหยุดตามประเพณี วันหยุดพักผ่อนประจําปี สิทธิการลาป่วย การลากิจธุระอันจําเป็น ซึ่งกฎหมายแรงงานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน กําหนดหลักเกณฑ์ไว้โดยสรุปดังนี้
สวัสดิการแรงงาน
กฎหมายกําหนดให้มีคณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน 2 ระดับ
1. ระดับชาติ เป็นกรรมการสวัสดิการแรงงาน ระบบไตรภาคีเพื่อกําหนดนโยบายสวัสดิการแรงงาน ระดับชาติ และเสนอความเห็นต่อรัฐมนตรี เพื่อออกเป็นกฎกระทรวงกําหนดในเรื่องจัดการสวัสดิการแรงงาน ในสถานประกอบการ
2. ระดับสถานประกอบกิจการ สถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้น ไปให้นายจ้าง จัดให้มีคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ ประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายลูกจ้างอย่างน้อย 5 คน ทําหน้าที่เป็นคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบการ มีอํานาจหน้าที่ คือ
1. ร่วมหารือกับนายจ้าง เพื่อจัดสวัสดิการ
2. ให้คําปรึกษาหารือ และเสนอความเห็นกับนายจ้างในการจัดสวัสดิการสําหรับลูกจ้าง
3. ตรวจตราควบคุมดูแลการจัดสวัสดิการที่นายจ้างจัดให้แก่ลูกจ้างดังที่กฎกระทรวงกําหนด ให้นายจ้างจัดสวัสดิการด้านปัจจัยพื้นฐานให้แก่ลูกจ้าง เช่น น้ำดื่ม ห้องน้ำ ห้องส้วม ห้องปฐมพยาบาล และการรักษาพยาบาล เป็นต้น
4. เสนอข้อคิดเห็น และแนวทางในการจัดสวัสดิการที่เป็นประโยชน์สําหรับลูกจ้างต่อ คณะกรรมการสวัสดิการแรงงาน
กฎหมายกําหนดให้ นายจ้างต้องจัดให้มีการประชุมหารือกับคณะกรรมการสวัสดิการใน สถานประกอบกิจการ อย่างน้อย 3 เดือนต่อหนึ่งครั้ง และให้นายจ้างปิดประกาศการจัดสวัสดิการไว้ใน ที่เปิดเผยเพื่อให้ลูกจ้างได้ทราบ ณ สถานที่ทํางานของลูกจ้าง การที่นายจ้างไม่ปฏิบัติอาจมีโทษตามที่ กฎหมายกําหนดได้