อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ คือค่าจ้างที่คณะกรรมการค่าจ้าง ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เป็นผู้พิจารณา ปลัดกระทรวงแรงงานเป็นประธานกรรมการประกอบด้วยผู้แทน 3 ฝ่ายคือ ฝ่ายรัฐบาล จํานวน 4 คน ฝ่ายนายจ้างจํานวน 5 คน และฝ่ายลูกจ้างจํานวน 5 คน มีข้าราชการในกระทรวง แรงงานที่รัฐมนตรีแต่งตั้งเป็นเลขานุการ การพิจารณาของคณะกรรมการค่าจ้าง จะกําหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ลูกจ้างควรได้รับ โดยพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ อัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างได้รับอยู่ ประกอบกับข้อเท็จจริงอื่นโดยคํานึงถึงดัชนีค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ มาตรฐานครองชีพ ต้นทุนการผลิตราคาของสินค้าและบริการ ความสามารถของธุรกิจ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ สภาพทางเศรษฐกิจและสังคมตามที่กฎหมายกําหนด ค่าจ้างที่คณะกรรมการค่าจ้างกําหนดขึ้นเป็นอัตราต่ำสุดเพื่อจ่ายให้แก่ลูกจ้างทํางานใน 1 วัน คือ ทํางาน 8 ชั่วโมงต่อวัน สําหรับงานปกติทั่วไป และทํางาน 7 ชั่วโมงต่อวัน สําหรับงานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือร่างกายของลูกจ้าง แล้วเสนอต่อรัฐมนตรี กระทรวงแรงงานเพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษา
คณะกรรมการค่าจ้างจะยึดเอาสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมในเขตพื้นที่ของจังหวัดนั้นๆ เป็นพื้นฐาน ในการพิจารณาว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำของจังหวัดนี้ควรจะเป็นกี่บาทต่อวัน จังหวัดที่มีเศรษฐกิจสังคม สูง และประชากรหนาแน่น ก็จะมีค่าจ้างต่อวันสูงกว่าจังหวัดที่มีเศรษฐกิจสังคมต่ำและประชากรมี ความหนาแน่นน้อยกว่า เช่น ปัจจุบันอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และภูเก็ต อัตราค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเงินวันละสามร้อยบาทในเขตท้องที่ของจังหวัด นครราชสีมา ปราจีนบุรี วันละสองร้อยห้าสิบห้าบาท ในเขตท้องที่จังหวัดแพร่ มหาสารคาม แม่ฮ่องสอน วันละสองร้อยยี่สิบเจ็ดบาท เป็นต้น
ค่าจ้างทำงานวันหยุด
ค่าจ้างทำงานวันหยุด
นอกจากค่าจ้างในวันทํางานปกติทั่วๆ ไปแล้ว ยังมีค่าจ้างในวันหยุดและค่าจ้างในการทํางานล่วงเวลา อีกด้วย ในเรื่องของวันหยุดได้ศึกษามาแล้วว่ามี 3 ประเภท คือวันหยุดประจําสัปดาห์วันหยุดตามประเพณี และวันหยุดพักผ่อนประจําปี การให้ทํางานในวันหยุดย่อมเป็นงานเร่งด่วนหรือเป็นงานที่ต้องทําติดต่อกันไป หากไม่ทําจะเกิดความเสียหายต่อธุรกิจ โดยต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง โอกาสที่นายจ้างจะให้ ลูกจ้างทํางานในวันหยุดส่วนใหญ่จะเป็นวันหยุดประจําสัปดาห์ และวันหยุดตามประเพณี
เมื่อลูกจ้างทํางานในวันหยุด คือทํางานในเวลาปกติของเวลาทํางาน แต่วันนั้นเป็นวันหยุดตามคําสั่ง ของนายจ้างนายจ้างต้องยอมจ่ายค่าจ้างเรียกว่า ค่าทํางานในวันหยุด ให้แก่ลูกจ้างซึ่งกฎหมายให้ความหมายว่า ค่าทํางานในวันหยุด คือเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทํางานในวันหยุดและ ในกรณีนายจ้างให้ลูกจ้างทํางานในวันหยุดให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างทํางานในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างตามอัตรา ที่กฎหมายกําหนดแบ่งเป็น 2 กรณี ดังนี้
1. สําหรับลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด กรณีลูกจ้างมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดอยู่แล้ว ให้เพิ่มขึ้นจากปกติอีกไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทํางานตามจํานวนชั่วโมงที่ทํา หรือไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทํางานต่อวันตามจํานวนผลงานที่ทําได้
ตัวอย่าง
นางสาวสมศรี พนักงานคอมพิวเตอร์ ได้รับค่าจ้างจากนายจ้างเป็นรายเดือน จึงเป็นผู้มีสิทธิ ได้รับค่าจ้างในวันหยุด เมื่อมีงานเร่งด่วน ต้องทํางานในวันหยุดประจําสัปดาห์คือวันอาทิตย์จํานวน 1 วัน นางสาวสมศรีต้องได้รับค่าจ้างเพิ่มจากเงินเดือนปกติในอัตราเฉลี่ยของค่าจ้างปกติ 1 วัน เช่น นางสาวสมศรีได้รับเงินเดือน เดือนละ 12,000 บาท เฉลี่ยอัตรา 1 วัน เท่ากับ 400 บาท นางสาวสมศรี ต้องได้รับค่าจ้างทํางานวันหยุด เพิ่มจากค่าจ้างเงินเดือนอีก 400 บาท แต่ถ้าทํางานวันหยุดไม่เต็มวัน คือทําเพียง 4 ชั่วโมง ให้คิดเฉลี่ยจากวันหนึ่ง ทํางาน 8 ชั่วโมง จะเป็นค่าจ้างชั่วโมงละ 50 บาท จํานวน 4 ชั่วโมง หรือครึ่งวันเป็นเงินค่าจ้างในวันหยุด เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 200 บาท เป็นต้น
การทํางานล่วงเวลา
การทํางานล่วงเวลา
การทํางานล่วงเวลาหรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าทําโอที (Overtime) หมายความว่า “การทํางานนอก หรือเกินกว่าเวลาทํางานปกติหรือเกินชั่วโมงทํางานในแต่ละวันที่นายจ้างลูกจ้างตกลงกัน” การทํางาน ล่วงเวลามีได้ทั้งวันทํางานปกติและเวลาในวันหยุด การทํางานล่วงเวลานายจ้างและลูกจ้างจะต้องตกลงกัน และต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างทุกครั้ง
ค่าจ้างทํางานล่วงเวลา
ค่าจ้างหรือค่าตอบแทนที่นายจ้างให้แก่ลูกจ้างทํางานล่วงเวลาเรียกว่า “ค่าล่วงเวลา” เมื่อมีการ ทํางานล่วงเวลา นายจ้างจะต้องจ่ายค่าล่วงเวลาให้ลูกจ้างเพิ่มจากเงินค่าจ้างที่รับปกติ มีหลักเกณฑ์ดังนี้
1. ค่าล่วงเวลาในวันทํางานปกติ การทํางานล่วงเวลาในวันทํางานปกติคือการทํางานระยะเวลา ที่ลูกจ้างเลิกจากการทํางานในเวลาปกติที่ทําอยู่ขณะนั้น และให้เริ่มทํางานต่อไป ระยะที่ทําต่อนี้เรียกว่า ทํางานล่วงเวลา นายจ้างจะต้องจ่ายค่าจ้างผิดไปจากเดิมเรียกว่า ค่าล่วงเวลา ให้แก่ลูกจ้างในอัตรา
ไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทํางานตามจํานวนชั่วโมงที่ทํา หรือไม่น้อยกว่า หนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทํางานตามจํานวนผลงานที่ทําได้สําหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้าง ตามผลงานที่คํานวณเงินเป็นหน่วย ๆ
ตัวอย่าง
นางสาวสมศรีได้รับเงินเดือน 12,000 บาท คิดเป็นวันละ 400 บาท หรือชั่วโมงละ 50 บาท หลังเลิกงานปกติเวลา 17.00 นาฬิกา นายจ้างตกลงกับนางสาวสมศรีให้ทํางานต่อเริ่มเวลา 18.00 ถึง 22.00 นาฬิกา รวม 4 ชั่วโมง กรณีเช่นนี้นางสาวสมศรีจะได้รับค่าล่วงเวลาเพิ่มขึ้นจากปกติ อย่างน้อยชั่วโมงละ 1.5 เท่า เท่ากับ 75 บาท จํานวน 4 ชั่วโมง จึงเป็นค่าล่วงเวลาเท่ากับ 300 บาท
2. ค่าล่วงเวลาในวันหยุด การทํางานในวันธรรมดา เราเรียกว่าวันเวลาทํางานปกติ แต่ถ้าวันใด ตรงกับวันหยุดประจําสัปดาห์ (โดยทั่วไปจะกําหนดวันอาทิตย์ เว้นบางอาชีพอาจกําหนดเป็นวันอื่น) วันหยุดตามประเพณี และวันหยุดพักผ่อนประจําปี เราเรียกวันเหล่านี้ว่า วันหยุด ตามที่ศึกษามาแล้ว เมื่อนายจ้างมีงานเร่งด่วนหรืองานต้องทําต่อเนื่อง นายจ้างต้องทําความตกลงกับลูกจ้างว่า ขอให้มาทํางาน ในวันหยุด เวลาการทํางานในวันหยุดก็คือเวลาทํางานปกติระหว่างเวลา 08.00 ถึง 17.00 นาฬิกา นั่นเอง ลูกจ้างจะได้รับค่าจ้างตามอัตราการทํางานวันหยุดตามที่ศึกษามาแล้ว เมื่อทํางานวันหยุดจนหมดเวลาถึง 17.00 นาฬิกาแล้ว งานก็ยังไม่เสร็จ นายจ้างและลูกจ้างต้องตกลงกันหรือตกลงไว้ล่วงหน้าแล้วว่า ให้ทําต่อไปอีก เวลาที่เกินจากเวลาปกติในวันหยุดนี้เรียกว่า “ทํางานล่วงเวลาในวันหยุด” นายจ้างต้องจ่าย ค่าล่วงเวลาในวันหยุด ให้ลูกจ้างในอัตราไม่น้อยกว่าสามเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงวันทํางานตาม ชั่วโมงที่ทํา หรือตามจํานวนผลงานที่ทําได้สําหรับลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้าง ตามผลงานที่ทํา
ตัวอย่าง
จากตัวอย่างเดิม นางสาวสมศรีมีค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท หรือวันละ 400 บาท หรือชั่วโมงละ 50 บาท ค่าล่วงเวลาวันหยุดมีอัตราไม่น้อยกว่า 3 เท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง จึงเท่ากับ ค่าล่วงเวลา ชั่วโมงละ 150 บาท ทํางาน 4 ชั่วโมงจึงเป็นค่าล่วงเวลาที่นางสาวสมศรีจะได้เงินเพิ่มขึ้นอีก 600 บาท
ค่าชดเชย
ค่าชดเชย
ค่าชดเชย ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 นี้หมายความว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง นอกเหนือจากเงินประเภทอื่นซึ่งนายจ้างตกลงจ่ายให้แก่ลูกจ้าง
การเลิกจ้าง หมายความว่า การกระทําใดที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทํางานต่อไป และไม่จ่ายค่าจ้างให้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุสิ้นสุดสัญญาจ้างหรือเหตุอื่นใด และหมายความรวมถึง กรณีที่ลูกจ้างไม่ได้ทํางาน และไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุที่นายจ้างไม่สามารถดําเนินกิจการต่อไป
การเลิกจ้างข้างต้นมิให้ใช้บังคับแก่ลูกจ้างที่จะได้รับค่าชดเชยเพราะเหตุได้จ้างให้ทํางานโครงการ เฉพาะที่มิใช่งานปกติอันเป็นธุรกิจหรือการค้าของนายจ้างที่มีระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดแน่นอน เป็นงาน อันมีลักษณะครั้งคราวโดยถือเอาผลสําเร็จของงานเป็นตัวกําหนด เป็นงานตามฤดูกาลที่จ้างไว้เฉพาะ ฤดูกาลนั้นและมีกฏเกณฑ์ว่างานดังกล่าวมีระยะเวลาแล้วเสร็จภายในเวลาไม่เกินสองปีซึ่งนายจ้างและ ลูกจ้างได้ทําสัญญาเป็นหนังสือไว้ตั้งแต่เมื่อเริ่มจ้างแล้ว
จากความหมายและหลักกฎหมายข้างต้น สรุปได้ 2 ประการ
1. ค่าชดเชย หมายถึง
1.1 เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้าง
1.2 การเลิกจ้าง มีสาเหตุมาจากนายจ้าง อันมิใช่สาเหตุมาจากลูกจ้าง ดังนั้น ลูกจ้างจึงมีสิทธิ ได้รับค่าชดเชย
1.3 สาเหตุจากนายจ้าง เช่น งานหรือสัญญาของนายจ้างสิ้นสุดลงปิดโครงการเพื่อไปเริ่ม กิจการใหม่ เหตุอื่นที่นายจ้างต้องการเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่ใช่ความผิดของลูกจ้าง หรือกรณีนายจ้าง ไม่สามารถดําเนินกิจการต่อไปได้ต้องปิดกิจการ ปิดโรงงาน
2. การเลิกจ้าง ตามข้อที่ 1 มิให้ใช้บังคับหรือไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ในกรณีที่นายจ้างและลูกจ้าง ตกลงทํางานที่มีระยะเวลานานไม่เกิน 2 ปี ได้กําหนดเวลาเริ่มงานสิ้นสุดของงานไว้แล้ว และเลิกจ้าง ตามกําหนดระยะเวลานั้นโดยทั้งนายจ้างและลูกจ้างได้ทําสัญญาเป็นหนังสือต่อกันไว้ตั้งแต่เมื่อเริ่มจ้างแล้ว งานดังกล่าวได้แก่
2.1 เป็นโครงการเฉพาะที่มิใช่งานปกติของธุรกิจหรือการค้าของนายจ้าง เช่น ธุรกิจการค้า ของนายจ้างคือรับซ่อมเครื่องรถยนต์แต่ได้มอบงานให้ลูกจ้างมีหน้าที่ขับรถส่งลูกหลานไปโรงเรียน มีระยะเวลา 1 ปี ครบ 1 ปี ก็เลิกกัน
2.2 งานอันมีลักษณะดูผลของความสําเร็จของงานเป็นหลัก เช่น ก่อสร้างและต่อเติมอาคาร เมื่องานเสร็จก็เลิกกัน
2.3 งานที่เป็นไปตามฤดูกาล และได้จ้างช่วงเวลาของฤดูกาลนั้น เช่น จ้างมาเก็บผลทุเรียน ในสวนช่วงฤดูกาลออกผล เมื่อหมดฤดูกาลก็เลิกกัน
2.4 การเลิกจ้างมีสาเหตุมาจากตัวลูกจ้างเอง เช่น ลูกจ้างขอลาออกจากงาน นายจ้างไม่ต้อง จ่ายค่าชดเชย
การจ่ายค่าชดเชย
กฎหมายกําหนดให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างดังนี้ 11
1. ลูกจ้างซึ่งทํางานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี ให้จ่ายค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้าง อัตราสุดท้าย 30 วัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างการทํางาน 30 วัน สุดท้าย สําหรับลูกจ้างได้รับค่าจ้างตาม ผลงานโดยคํานวณเป็นหน่วย (คําว่าตามผลงาน หมายถึงไม่ได้จ้างเป็นรายวันหรือเดือน แต่ให้ค่าจ้าง ที่ผลงาน) ส่วนลูกจ้างทํางานยังไม่ครบ 120 วัน จึงไม่มีสิทธิพิจารณาค่าชดเชย
2. ลูกจ้างซึ่งทํางานติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี ให้จ่ายค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตรา สุดท้าย 90 วัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างการทํางาน 90 วันสุดท้าย สําหรับลูกจ้างได้รับค่าจ้างตามผลงาน
3. ลูกจ้างซึ่งทํางานติดต่อกันครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 6 ปี ให้จ่ายค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตรา สุดท้าย 180 วัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างการทํางาน 180 วันสุดท้าย สําหรับลูกจ้างได้รับค่าจ้างตาม ผลงาน
4. ลูกจ้างซึ่งทํางานติดต่อกันครบ 6 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี ให้จ่ายค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตรา สุดท้าย 240 วัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างการทํางาน 240 วันสุดท้าย สําหรับลูกจ้างได้รับค่าจ้างตามผลงาน
5. ลูกจ้างซึ่งทํางานติดต่อกันครบ 10 ปีขึ้นไป ให้จ่ายค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทํางาน 300 วันสุดท้าย สําหรับลูกจ้างได้รับค่าจ้างตามผลงาน
โดยสรุปเงินชดเชยให้ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างอัตราต่ําสุดคือเท่ากับอัตราค่าจ้างไม่น้อยกว่า 30 วัน หรือ ประมาณ 1 เดือน และสูงสุดเท่ากับอัตราค่าจ้างไม่น้อยกว่า 300 วัน หรือประมาณ 10 เดือน
กรณีที่เคยจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
การจ้างลูกจ้างมาทํางานในกิจการธุรกิจการค้าของนายจ้างแม้จะมีการเลิกจ้าง นายจ้างมีสิทธิไม่ต้อง จ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างหากการเลิกจ้างนั้นมีสาเหตุมาจากตัวลูกจ้างในกรณีดังต่อไปนี้
1. ลูกจ้างทุจริตต่อหน้าที่หรือการกระทําความผิดอาญาโดยเจตนาต่อนายจ้าง เช่น ลักทรัพย์ ของนายจ้าง ยักยอกเบียดบังทรัพย์สินของนายจ้างหรือทําร้ายร่างกายนายจ้าง เป็นต้น
2. จงใจทําให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ปล่อยปละละเลยไม่รักษาทรัพย์สินของนายจ้าง เช่น จงใจให้ยานพาหนะของโรงงานชํารุดเสียหายจงใจนัดหยุดงานทําให้งานของนายจ้างเสียหาย เมื่อบอกเลิกจ้าง นายจ้างมีสิทธิไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
3. ประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ข้อนี้ความเสียหายต้อง มีความร้ายแรงด้วย เช่น เป็นช่างรับผิดชอบต้นกําลังไฟฟ้าของโรงงานนายจ้าง ไม่ตรวจปรนนิบัติบํารุงรักษา เป็นเหตุให้น้ํามันเครื่องในเครื่องยนต์ของเครื่องกําเนิดไฟฟ้าแห้ง เครื่องกําเนิดไฟฟ้าเสียหายใช้การไม่ได้ ต้องหยุดปฏิบัติงานของโรงงาน ถือว่าเป็นความประมาทเลินเล่อทําให้นายจ้างได้รับความเสียหายอย่าง ร้ายแรง เมื่อบอกเลิกจ้าง นายจ้างมีสิทธิไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
4. ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทํางาน ฝ่าฝืนระเบียบหรือคําสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย และเป็นธรรม และนายจ้างได้ตักเตือนเป็นหนังสือแล้ว เว้นแต่กรณีร้ายแรง เช่น ข้อ 3 นายจ้างไม่จําเป็น ต้องตักเตือน สําหรับหนังสือเตือนของนายจ้างให้มีผลบังคับได้ไม่เกิน 1 ปี นับแต่วันที่ลูกจ้างกระทําความผิด เมื่อบอกเลิกจ้างนายจ้างมีสิทธิไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
ความผิดเกี่ยวกับข้อบังคับ ระเบียบปฏิบัติในการทํางานของนายจ้างที่วางไว้ในข้อนี้ เช่น การมาทํางานสาย การขาดงานบ่อยครั้ง เล่นการพนันในที่ทํางาน ก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่คณะ หรือการลักทรัพย์ในที่ทํางานเหล่านี้นายจ้างอาจตักเตือนด้วยวาจาก่อน หากไม่เชื่อฟังก็อาจให้ทําทัณฑ์บน มีหลักฐานเป็นหนังสือซึ่งมีผลบังคับ 1 ปี นับแต่วันกระทําความผิด แต่ลูกจ้างก็ยังปฏิบัติเช่นเดิมไม่เชื่อฟัง นายจ้าง กรณีเช่นนี้นายจ้างสามารถบอกเลิกจ้างได้เพราะได้ให้โอกาสและเตือนแล้ว
5. ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทํางานติดต่อกันขึ้นไป ไม่ว่าจะมีวันหยุดคั่นหรือไม่ก็ตาม โดยไม่มีเหตุอันสมควร
ความผิดข้อนี้เป็นความผิดฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับการทํางานของนายจ้าง เห็นได้ว่าลูกจ้างไม่มี ความรับผิดชอบต่องานในหน้าที่ไม่เห็นความเสียหายอันจะเกิดขึ้นแก่ส่วนรวม ถือได้ว่าเป็นความผิดร้ายแรง และละทิ้งหน้าที่เกิน 3 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควรนายจ้างสามารถบอกเลิกจ้างได้และไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย (คําว่ามีเหตุอันควรเป็นดุลยพินิจของนายจ้างควรพิจารณาให้รอบคอบ)
6. ได้รับโทษจําคุกตามคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุก เว้นแต่เป็นโทษสําหรับความผิดที่ได้กระทํา โดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ ความผิดใน 2 กรณีหลังนี้ นายจ้างจะบอกเลิกจ้างได้ต้องเป็นกรณี เป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหาย
โทษของอาญาที่ลูกจ้างจะได้รับถึงจําคุกจะเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ เช่น ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ หรือความผิดเกี่ยวกับร่างกายและชีวิตเช่นทําร้ายร่างกายผู้อื่นฆ่าผู้อื่นอันถือว่าเป็นความผิดอาญา ต่อแผ่นดิน เมื่อถูกศาลพิพากษาลงโทษถึงที่สุดให้จําคุกแล้ว นายจ้างเลิกจ้างได้ เว้นโทษที่กระทํา โดยประมาท เพราะเป็นความผิดเกิดขึ้นโดยผู้กระทํามิได้มีเจตนา เพียงแต่กระทําโดยปราศจากความ ระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นและผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นนั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ และความผิดลหุโทษ คือความผิดซึ่งต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ถือว่าเป็นโทษเล็กน้อย 2 กรณีหลังนี้ แม้ลูกจ้างได้รับโทษถึงที่สุดให้จําคุกแล้ว นายจ้างก็ยังไม่สมควรบอกเลิกจ้าง เว้นแต่เหตุที่เกิดนั้นเป็นสาเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหาย จึงสมควรบอกเลิกจ้างได้
อนึ่งการเลิกจ้างลูกจ้างโดยนายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยจํานวน 6 ข้อ ดังกล่าวมาแล้วนี้ นายจ้าง จะต้องทําเป็นหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง ระบุข้อเท็จจริง สาเหตุที่ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างทราบ ในขณะที่เลิกจ้างด้วย มิฉะนั้นนายจ้างจะยกเหตุขึ้นอ้างภายหลังไม่ได้
ลูกจ้างยักยอกเงินบริษัทนายจ้างบอกเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
ค่าชดเชยพิเศษ
ค่าชดเชยพิเศษ หมายความว่า เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อสัญญาจ้างสิ้นสุดลง เพราะ มีเหตุกรณีพิเศษที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้
ค่าชดเชยพิเศษ เป็นเงินที่ลูกจ้างมีสิทธิที่จะได้รับจากนายจ้างเมื่อลูกจ้างลาออกจากงานที่ทํากับ นายจ้าง หรือ ลูกจ้างบอกเลิกสัญญากับนายจ้าง ทั้งสองกรณี เป็นสิทธิของลูกจ้าง เพราะมีสาเหตพิเศษ เกิดจากนายจ้าง ที่นายจ้างประสงค์ 2 ประการ คือ นายจ้างจะย้ายสถานที่ประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่น ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่ง นายจ้างจะปรับปรุงกระบวนการผลิต การจําหน่าย การประกอบกิจการ ใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคน นายจ้างจึงมีหน้าที่จะต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษให้กับลูกจ้างที่ทํางาน อยู่กับตน
สาระสําคัญของหลักกฎหมาย สรุปได้ดังนี้
1. กรณีนายจ้างจะย้ายสถานที่ประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่น
ในกรณีนายจ้างจะย้ายสถานที่ประกอบกิจการไปตั้ง ณ สถานที่อื่น การย้ายโรงงานหรือ สถานประกอบกิจการไปยังสถานที่แห่งใหม่ย่อมมีผลกระทบต่อการดํารงชีวิตตามปกติของลูกจ้าง และครอบครัว นายจ้างจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อลูกจ้างดังนี้
1.1 นายจ้างต้องแจ้งให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน ก่อนวันย้ายสถานที่ ประกอบกิจการ
1.2 ถ้าลูกจ้างไม่ประสงค์จะไปทํางานด้วย ให้ลูกจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากนายจ้าง หรือวันที่นายจ้างย้ายสถานประกอบกิจการแล้วแต่กรณี และให้ลูกจ้าง มีสิทธิได้รับค่าชดเชยพิเศษในอัตราค่าชดเชยที่ลูกจ้างพึงมีสิทธิได้รับในเรื่องค่าชดเชยดังกล่าวมาแล้ว ตามระยะเวลาที่ตนทํางาน
1.3 ถ้านายจ้างไม่แจ้งให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้า ตามข้อ 1.1 ให้นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่าย ค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายของลูกจ้าง 30 วัน
1.4 ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยพิเศษตามข้อ 1.2 หรือค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า (ถ้ามี) ให้แก่ลูกจ้างภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ลูกจ้างบอกเลิกสัญญา
1.5 ในกรณีนายจ้างไม่จ่ายค่าชดเชยพิเศษหรือค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ดังกล่าวมาแล้วในข้อ 1.2 และ 1.3 ให้ลูกจ้างมีสิทธิยื่นคําร้องต่อคณะกรรมการสวัสดิการแรงงานภายใน 30 วัน นับแต่วันครบกําหนดการจ่ายค่าชดเชยพิเศษหรือค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วหน้า
ตัวอย่าง
นายสมพรเป็นลูกจ้างเพาะเลี้ยงกล้วยไม้เพื่อส่งออกต่างประเทศ สถานที่ประกอบกิจการ ของบริษัทอยู่ที่อําเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ทํางานมาแล้วกว่า 7 ปีได้ค่าจ้างเป็นรายเดือน เดือนละ 9,000 บาท บริษัทจะย้ายสถานที่เพาะเลี้ยงกล้วยไม้ ไปตั้งที่อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เพื่อ สะดวกต่อการติดต่อลูกค้าและการส่งออกต่างประเทศ กําหนดย้ายบริษัทและสถานที่เพาะเลี้ยง กล้วยไม้ วันที่ 29 มกราคม 2556 และได้แจ้งให้นายสมพรลูกจ้างรับทราบเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2556 หลังจากจัดงานฉลองวันปีใหม่แล้ว
นายสมพรทราบการแจ้งย้ายสถานที่ของบริษัทจึงปรึกษากับครอบครัวมีความเห็นว่าการ ไปอยู่ต่างจังหวัดที่จังหวัดนนทบุรีไม่สะดวกกับครอบครัวหลายประการ จึงทําเรื่องขอลาออกจาก การเป็นลูกจ้างของบริษัทเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2556
กรณีเช่นนี้บริษัทแจ้งกําหนดการย้ายบริษัทให้นายสมพรทราบไม่เกิน 30 วัน ดังนั้นบริษัท จะต้องจ่ายเงินค่าชดเชยพิเศษให้กับนายสมพรเป็น 2 ยอดเงิน คือ
1. ได้รับค่าชดเชยพิเศษ ทํางานมาแล้วกว่า 7 ปี มีสิทธิได้รับเงินค่าชดเชยไม่น้อยกว่า ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน ปัจจุบันมีเงินเดือน 9,000 บาท
30
2. ได้รับค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า เท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายของ ลูกจ้าง 30 วัน ปัจจุบันนายสมพรรับเงินอัตราสุดท้ายเดือนละ 9,000 บาท จํานวน 30 วัน จึงเป็น ยอดเงินค่าชดเชยพิเศษแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า = 9,000 บาท รวมเป็นเงินได้รับค่าชดเชยพิเศษ 72,000+9,000 = 81,000 บาท
9,000 x 240 - 72,000 บาท
2. กรณีนายจ้างจะปรับปรุงกระบวนการผลิตและใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคน
กรณีนี้เป็นกรณีที่นายจ้างคือผู้ประกอบกิจการมีแนวคิดปรับปรุงสถานประกอบกิจการ ในเรื่องกระบวนการผลิต การจําหน่ายหรือบริการด้วยการนําเอาเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้แทนแรงงานคน ทําให้ต้องลดแรงงานคนลงผู้ประกอบกิจการคือนายจ้างจึงต้องลดจํานวนลูกจ้างลง เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายแต่ได้ผลผลิตมากขึ้น กรณีเช่นนี้นายจ้างจะต้องบอกเลิกสัญญาจ้างต่อลูกจ้าง โดยกฎหมายกําหนดให้นายจ้างต้องแจ้งวันที่จะเลิกจ้าง เหตุผลของการเลิกจ้างและรายชื่อลูกจ้างต่อ พนักงานตรวจแรงงานและลูกจ้างที่จะเลิกจ้างทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วัน ก่อนวันที่จะเลิกจ้าง เพื่อให้ลูกจ้างมีเวลาเตรียมตัวจัดแจงตนเองในการหางานใหม่ทํา
ถ้านายจ้างแจ้งล่วงหน้าให้ลูกจ้างทราบน้อยกว่า 60 วัน ก่อนที่จะเลิกจ้าง นอกจากลูกจ้างจะได้รับ เงินชดเชยพิเศษในอัตราเงินชดเชยที่กล่าวมาแล้ว นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเซยพิเศษทดแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้าเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 60 วัน และถ้าลูกจ้างนั้นทํางานติดต่อกันมาเกิน 6 ปี ให้นายจ้างจ่าย ค่าชดเชยพิเศษเพิ่มขึ้นจากค่าชดเชยตามมาตรา 118 ไม่น้อยกว่าอัตราค่าจ้างสุดท้าย 15 วัน ต่อการทํางาน ครบ 1 ปี แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 360 วัน
การคํานวณนับอายุการทํางานของลูกจ้างเพื่อคํานวณค่าชดเชยพิเศษ ถ้าเศษระยะเวลาการทํางาน ของปีเหลือมากกว่า 180 วัน ให้นับการทํางานครบ 1 ปี
จากหลักกฎหมายนี้ การคิดค่าชดเชยพิเศษให้ลูกจ้างกรณีนายจ้างจะปรับปรุงกระบวนการผลิตและ ใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคน จึงมี 3 ขั้นตอน คือ ค่าชดเชยพิเศษ ค่าชดเชยพิเศษทดแทนการบอกกล่าว ล่วงหน้า (ถ้ามี) และถ้าลูกจ้างทํางานมาเกิน 6 ปีให้จ่ายค่าชดเชยพิเศษเพิ่มขึ้น 15 วัน ต่อปีของอัตราค่าจ้าง สุดท้าย
ตัวอย่าง
นายสมพร ลูกจ้างบริษัท แมชชั่น จํากัด มีอายุการทํางาน 8 ปี 7 เดือน รับเงินเดือน 10,000 บาท ต่อเดือน ได้รับแจ้งจากบริษัท เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2556 ว่าบริษัทได้จัดหาเครื่องจักรเข้ามา จํานวนมาก จําเป็นต้องลดจํานวนแรงงานคน คือ ลูกจ้างลง และขอเลิกจ้างนายสมพร ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2556 เป็นต้นไป