การคุ้มครองการใช้แรงงานหญิง
การคุ้มครองการใช้แรงงานหญิง
แรงงานที่เป็นลูกจ้างหญิง โดยสภาพสรีระทางร่างกายแล้วย่อมมีความอ่อนแอกว่าแรงงานที่เป็นชาย อย่างไรก็ตามความถนัดในการทํางานของแรงงานหญิง หรือลูกจ้างที่เป็นหญิง อาจมีความถนัดหรือความ ชํานาญที่แตกต่างหรือเหมาะสมกว่าแรงงานลูกจ้างที่เป็นชาย เกี่ยวกับงานประเภท งานพิมพ์ งานบัญชี งานด้านธุรการ และในทางตรงข้ามมีงานหลายประเภทหลายอย่างไม่เหมาะสมกับแรงงานที่เป็นหญิง เช่น งานขับรถ งานที่ต้องเดินทางไกลเพื่อติดต่อประสานงานต่างจังหวัด งานประเภทต้องใช้แรงยก แบกหาม เป็นต้น
นอกจากสภาพสรีระทางร่างกายแล้ว ความเป็นจริงในสภาพของสังคม หญิงอาจต้องมีครรภ์ และคลอดบุตร ทําให้ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นปัญหาในห้วงเวลาที่มี งานเร่งด่วนตามที่นายจ้างวางเป้าหมายไว้ การคุ้มครองแรงงานหญิงมีหลักใหญ่ๆ 2 ประการ
1. งานที่อาจเป็นอันตรายต่อแรงงานหญิง
ตามที่ทราบแล้วว่า แรงงานหญิง คือ เพศที่อ่อนแอกว่าแรงงานชาย งานบางประเภทที่ นายจ้างให้ลูกจ้างทําอาจไม่เหมาะกับแรงงานหญิง ดังนั้นเพื่อคุ้มครองแรงงานหญิง กฎหมายจึงได้ กําหนดลักษณะของงานประเภทที่ใช้แรงงานหญิงทําแล้วน่าจะเกิดอันตราย เกิดความไม่ปลอดภัย ต่อสุขภาพอนามัยของแรงงานหญิงได้ จึงได้บัญญัติกฎหมายห้ามไว้ว่า
ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงทํางานอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ :
1) งานเหมืองแร่หรืองานก่อสร้างที่ต้องทําใต้ดิน ใต้น้ำ ในถ้ำ ในอุโมงค์ หรือปล่องในภูเขา เว้นแต่ สภาพของการทํางานไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือร่างกายของลูกจ้าง
2) งานที่ต้องทําบนนั่งร้านที่สูงกว่าพื้นดินตั้งแต่ สิบเมตรขึ้นไป
3) งานผลิตหรือขนส่งวัตถุระเบิดหรือวัตถุไวไฟ เว้นแต่สภาพของการทํางานไม่เป็นอันตราย ต่อสุขภาพหรือร่างกายของลูกจ้าง
4) งานอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวงได้ออกมาใช้บังคับ
2. การคุ้มครองแรงงานหญิงมีครรภ์
2.1 ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างมีครรภ์ ทํางานอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่อาจเป็นอันตรายได้ ดังนี้
(1) งานเกี่ยวกับเครื่องจักรหรือเครื่องยนต์ที่มีความสั่นสะเทือน
(2) งานขับเคลื่อนหรือติดไปกับยานพาหนะ เช่น งานเก็บหรือตรวจตั๋วโดยสาร รถยนต์ประจําทาง
(3) งานยก แบก หาบ หาม ทูน ลาก หรือเป็นของหนักเกิน สิบห้ากิโลกรัม
(4) งานที่ทําในเรือ และอยู่ค้างแรมในเรือ ซึ่งห่างไกลโรงพยาบาล
(5) งานอื่นตามที่กฎกระทรวงกําหนดภายหลัง
2.2 ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างหญิงมีครรภ์ทํางานในเวลาควรพักผ่อน ได้แก่
(1) ห้ามทํางานล่วงเวลา หรือ ทํางานในวันหยุดหรือทํางานในระหว่างเวลา 22.00 นาฬิกา ถึงเวลา 06.00 นาฬิกา
(2) งานจําเป็นที่หญิงมีครรภ์ทําอยู่ เช่น ตําแหน่งผู้บริหาร งานวิชาการ งานธุรการ งานการเงิน งานบัญชี นายจ้างจะให้ทํางานล่วงเวลาในวันทํางานได้เท่าที่ไม่มีผลกระทบต่อลูกจ้าง และ ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างนั้นเป็นคราวๆ ไป
2.3 สิทธิของหญิงมีครรภ์
(1) มีสิทธิขอให้นายจ้างเปลี่ยนงานที่ทําอยู่ชั่วคราวก่อนหรือหลังคลอดได้ โดยมีใบรับรอง แพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งมาแสดงว่าไม่สามารถทํางานในหน้าที่เดิมต่อไปได้เพราะมีผลกระทบต่อบุตร ในครรภ์ตามใบความเห็นแพทย์ จึงขอเปลี่ยนงานหน้าที่เดิมเป็นหน้าที่อื่นที่เหมาะสมและไม่กระทบ ต่อบุตรในครรภ์ชั่วคราวได้จนกว่าจะคลอดหรือหลังคลอดจนทํางานได้ปกติ นายจ้างต้องพิจารณา เปลี่ยนงานที่เหมาะสมให้
(2) มีสิทธิตามกฎหมายมิให้นายจ้างเลิกจ้างเพราะเหตุมีครรภ์ได้
สิทธิของหญิงมีครรภ์ตามมาตรานี้ เป็นข้อห้ามนายจ้างนั่นเอง คือ ห้ามมิให้นายจ้าง เลิกจ้างลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงเพราะเหตุมีครรภ์
ตัวอย่าง
นางสาวหญิง เป็นพนักงานพิมพ์คอมพิวเตอร์ของบริษัท ต่อมาแต่งงานและมีครรภ์ใกล้ตลอด ทําให้มีปัญหาการทํางานไม่มีความคล่องตัว บางวันมาทํางานสาย เป็นสาเหตุหนึ่งทําให้งานเสร็จ ไม่ทันตามเวลาที่กําหนด
กรณีเช่นนี้ นายจ้างจะอ้างสาเหตุดังกล่าว เป็นข้อบกพร่อง และเลิกจ้างนางสาวหญิงมิได้ เพราะกฎหมายบัญญัติห้ามไว้ ทางปฏิบัติของนายจ้างจะต้องพิจารณางานหรือตําแหน่งงานที่เหมาะสม ให้กับนางสาวหญิงใหม่ จนกว่าจะคลอดบุตร และกลับมาทํางานได้ตามปกติ
(3) มีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตร กฎหมายกําหนดให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีสิทธิลา เพื่อคลอดบุตร ครรภ์หนึ่งไม่เกินเก้าสิบวัน ทั้งนี้ให้นับรวมวันหยุดที่มีในระหว่างวันลาด้วย
หมายความว่า หญิงมีครรภ์เมื่อใกล้คลอด หรือทราบกําหนดวันคลอดบุตรโดยประมาณ ล่วงหน้าแล้ว อาจลาพักงานก่อนวันคลอดก็ได้ สิทธิการลาเพื่อคลอดบุตรมีกําหนดให้ลาได้ไม่เกิน 90 วัน โดยให้นับรวมวันหยุดที่มีระหว่างวันลา เช่น วันเสาร์หรืออาทิตย์ หรือวันหยุดตามประเพณีรวมด้วย คําว่า 90 วัน เป็นสิทธิของลูกจ้างหญิงมีครรภ์ลาได้ไม่เกิน 90 วัน หรือจะลาไม่ถึง 90 วัน ก็ได้
(4) มีสิทธิได้รับค่าจ้างจากนายจ้างระหว่างลาเพื่อคลอดบุตร กฎหมายกําหนดให้นายจ้าจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงในวันลาเพื่อคลอดบุตรเท่ากับค่าจ้างในวันทํางานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ไม่เกินสี่สิบห้าวัน
หมายความว่า ลูกจ้างหญิงลาเพื่อคลอดบุตรกี่วันก็ได้แต่ไม่เกิน 90 วัน จะได้ค่าจ้าง จากนายจ้างเช่นเดิม 45 วัน คือได้รับค่าจ้างสูงสุดไม่เกิน 45 วัน แต่ถ้าลาเพียง 40 วันก็จะได้ค่าจ้างเพียง เท่าที่ลาคลอดบุตรคือได้ค่าจ้าง 40 วัน
อย่างไรก็ตามโดยทั่วไปลูกจ้างทุกคนจะต้องเป็นผู้ประกันตนตามกฎหมายประกันสังคม จึงมีสิทธิ ได้รับเงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรตามกฎหมายประกันสังคม จํานวนร้อยละห้าสิบของ ค่าจ้างเป็นเวลา 30 วัน ก็เท่ากับ 45 วัน (พ.ร.บ. ประกันสังคม มาตรา 67) ดังนั้น ลูกจ้างหญิงซึ่งลาคลอดบุตร 90 วัน จึงมีสิทธิได้รับเงินค่าจ้างระหว่างลาคลอดบุตรตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน 45 วัน และ เงินสงเคราะห์การหยุดงานเพื่อการคลอดบุตรตามกฎหมายประกันสังคม 45 วัน รวมรับค่าจ้าง 2 ทาง จึงเท่ากับ 1) วัน
การคุ้มครองการใช้แรงงานเด็ก
การคุ้มครองการใช้แรงงานเด็ก
คําว่า เด็ก ในความหมายของกฎหมายคุ้มครองแรงงานที่กําลังศึกษานี้แตกต่างกับพระราชบัญญัติ จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว เช่น คําว่า เด็ก หมายความว่า บุคคลที่มีอายุเกินเจ็ดปีบริบูรณ์ แต่ไม่เกินสิบสี่ปีบริบูรณ์ และคําว่า เยาวชน หมายความว่าบุคคลที่ มีอายุเกินสิบสี่ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์ กฎหมายฉบับนี้มุ่งที่บุคคลมีอายุระหว่างเจ็ดปี ถึงสิบแปดปีบริบูรณ์
ในกฎหมายคุ้มครองแรงงาน หรือ พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 คําว่า เด็ก ที่สามารถ ใช้แรงงานเป็นลูกจ้างได้ไม่ว่าจะเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิงต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี ดังนั้นเด็กที่มีอายุ 15 ปีพอดี หรือ 15 ปีบริบูรณ์ กฎหมายคุ้มครองแรงงานยอมรับให้ใช้แรงงานได้ และถ้าอายุยังไม่ถึง 18 ปีบริบูรณ์ คือต่ำกว่า 18 ปี กฎหมายคุ้มครองแรงงานยังถือว่าเป็นแรงงานเด็กอยู่ ด้วยเหตุผลที่ว่า เด็กมีอายุต่ำกว่า 15 ปี ยังอยู่ในภาวะไม่สามารถทํากิจการงานที่มอบหมายได้ โดยเฉพาะงานต้องใช้กําลัง และสมอง ต้องให้มีอายุครบ 15 ปี ก่อน และเมื่อมีอายุเพิ่มขึ้นใกล้ครบ 18 ปี กฎหมายถือว่าเริ่มมีวุฒิภาวะ รู้สึกผิดชอบชั่วดี สามารถใช้กําลังสมองตัดสินใจได้ หากอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์เมื่อใดกฎหมายถือว่า บุคคลนั้นมิใช่แรงงานเด็ก คือเป็นแรงงานทั่วไปแล้ว
ดังนั้น แรงงานเด็ก คือบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปี และยังไม่ถึง 18 ปี หรือสรุปว่าการ ใช้แรงงานบุคคลที่มีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปจนถึงบุคคลมีอายุไม่ถึง 18 ปี เรียกว่าแรงงานเด็ก ถ้ามีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ถือว่าเริ่มต้นเป็นแรงงานทั่วไปแล้ว นายจ้างสามารถจ้างให้ทํางานได้ทุกประเภทแม้ว่าจะยัง ไม่บรรลุนิติภาวะ ก็ไม่ถือว่าเป็นแรงงานเด็ก
การใช้แรงงานเด็ก มีข้อกฎหมายควรศึกษา ดังนี้
1. ข้อห้ามจ้างหรือใช้แรงงานเด็กโดยเด็ดขาด
2. ข้อจํากัดในการจ้างแรงงานเด็ก
3. สิทธิของแรงงานเด็ก
ข้อห้ามจ้างหรือใช้แรงงานเด็กโดยเด็ดขาด
ข้อห้ามจ้างหรือใช้แรงงานเด็กโดยเด็ดขาด
กฎหมายบัญญัติไว้ว่า “ห้ามมิให้นายจ้าง จ้างเด็กอายุต่ำกว่าสิบห้าปีเป็นลูกจ้าง”
ข้อห้ามตามกฎหมายนี้ถือว่าเป็นการห้ามโดยเด็ดขาด เพราะถ้านายจ้างใดฝ่าฝืนจ้างบุคคลอายุ น้อยกว่าหรือไม่ถึง 15 ปี มาเป็นแรงงานต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ ข้อห้ามนี้ไม่ว่าเด็กนั้นจะเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง กฎหมายถือว่ายังไม่พร้อมเป็น ผู้ใช้แรงงาน โดยไม่คํานึงว่าเด็กคนนั้นจะเป็นการใช้แรงงานเบาหรือแรงงานหนัก หากนายจ้างฝ่าฝืน ใช้บุคคลมีอายุไม่ถึง 15 ปี เป็นแรงงานก็จะได้ชื่อว่าใช้แรงงานบุคคลที่ยังไม่ถึงเกณฑ์ การใช้แรงงานเด็ก อายุที่ยังไม่ถึงเกณฑ์อาจได้รับโทษตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
ข้อจํากัดในการจ้างแรงงานเด็ก
ข้อจํากัดในการจ้างแรงงานเด็ก
การจ้างแรงงานเด็กหรือใช้แรงงานเด็ก หมายความว่า เด็กนั้นต้องมีอายุตั้งแต่ 15 ปี และยังไม่ถึง 18 ปี ถือว่าเป็นการจ้างหรือใช้แรงงานเด็ก
สิทธิแรงงานเด็ก
สิทธิแรงงานเด็ก
แรงงานเด็กไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย นอกจากมีสิทธิได้รับค่าจ้างจากนายจ้างแล้ว เด็กในฐานะ ผู้ใช้แรงงานมีอายุไม่ถึง 18 ปี ยังมีสิทธิตามที่กฎหมายกําหนดไว้ ได้แก่