หน่วยที่ 8 กฎหมายอุตสาหกรรมด้านการผลิตและการบริการ

พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554

พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554

ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน มีบัญญัติและอธิบายไว้แล้วใน พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 100 ถึง มาตรา 107 หลักส่วนใหญ่เป็นการคุ้มครอง แรงงานทั่วไป ได้ถูกยกเลิกไปแล้วตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2553 และเพื่อ ประโยชน์ในการวางมาตรการควบคุม กํากับดูแล และบริหารจัดการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเพื่อป้องกันและรักษาทรัพยากรบุคคลอันเป็นกําลังสําคัญของชาติ จึงได้มีการตราพระราชบัญญัติคุ้มครองความปลอดภัยฉบับใหม่ขึ้น คือ “พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน พ.ศ. 2554” ใช้บังคับในปัจจุบันขึ้นแทน

ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน หมายความว่า “การกระทําหรือ สภาพการทํางานซึ่งปลอดจากเหตุอันจะทําให้เกิดการประสบอันตรายต่อชีวิต ต่อร่างกาย จิตใจ หรือ สุขภาพอนามัยอันเนื่องจากการทํางาน หรือเกี่ยวกับการทํางาน

จากความหมาย และคําจํากัดความคําว่า ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ในการทํางาน จึงหมายถึง การป้องกันมิให้ผู้ใช้แรงงานซึ่งหมายถึงลูกจ้างที่เกี่ยวข้องในการประกอบอาชีพ ที่รับจ้าง และทํางานให้นายจ้าง สามารถทํางานอย่างมั่นคงปลอดภัยได้รับการป้องกันและส่งเสริมคุ้มครอง ด้านชีวิต ร่างกาย จิตใจ สุขภาพอนามัย และอารมณ์ในการทํางาน ดังคําขวัญขององค์การอนามัยโลก ที่กล่าวไว้ว่า อาชีวอนามัยเพื่อทุกคน (Health for all)

วิธีการที่จะให้ลูกจ้างหรือผู้ใช้แรงงานได้รับความปลอดภัยในอาชีวอนามัย ซึ่งหมายถึง ปลอดภัยจาก อันตรายที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพ และปลอดภัยจากอันตรายเกิดจากสภาพแวดล้อม ปลอดภัยจาก อันตรายที่เกิดจากเครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ในการทํางาน สารเคมีอันตรายต่างๆ ที่ใช้ในการผลิต การก่อสร้าง และบริการ นายจ้างควรมีความรับผิดชอบและยึดหลักการทํางานเพื่อให้เกิดความปลอดภัย ในอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทํางานของลูกจ้าง ดังนี้

1. การจัดการ เนื่องจากความแตกต่างและความสามารถของลูกจ้างแต่ละคน รวมทั้งด้านร่างกาย และจิตใจ อาจแตกต่าง เหมือน หรือใกล้เคียง การดูแลจัดการและควบคุม ย่อมมีความจําเป็นอย่างยิ่ง

ตามหลักที่ว่าใช้หนให้เหมาะสมกับงานและความรู้ความสามารถ

2. การคุ้มครอง ด้วยการปกป้องคุ้มครองป้องกันลูกจ้างที่ทํางานเสี่ยงอันตราย อันอาจเป็นเหตุ

ให้เกิดการบาดเจ็บ เป็นอันตรายแก่กายหรือเสียชีวิตจากการทํางานได้

3. การป้องกัน ด้วยการดูแลป้องกันมิให้ลูกจ้างทํางานในสภาพแวดล้อมที่อาจก่อให้เกิดเป็น อันตรายต่อร่างกาย ต่อสุขภาพ ได้แก่ การได้รับกลิ่น ฝุ่นละออง และเสียงขณะทํางานเกินเกณฑ์มาตรฐาน อันจะนํามาซึ่งการเจ็บป่วย และเสียชีวิตได้

4. การส่งเสริม คือ การทะนุบํารุงสุขภาพอนามัย รักษาไว้ซึ่งความแข็งแรง ความสมบูรณ์ ในร่างกายของลูกจ้าง และผู้ประกอบอาชีพในสถานประกอบการทุกคน เช่น ให้มีการตรวจร่างกาย เพื่อสุขภาพเป็นประจําทุก 6 เดือน หรือหนึ่งปี มีสถานที่ออกกําลังกายหลังเลิกงาน อันจะทําให้ลูกจ้าง คือผู้ใช้แรงงานอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นปกติและมีความสุข


การบังคับใช้กฎหมาย

การบังคับใช้กฎหมาย

พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน พ.ศ. 2554 นี้ ใช้บังคับแก่นายจ้างและลูกจ้างตามความหมายของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2540 สําหรับ คําว่านายจ้างตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ความหมายรวมถึงผู้ประกอบกิจการซึ่งยอมให้บุคคลหนึ่งบุคคลใด มาทํางาน หรือทําประโยชน์ในสถานประกอบกิจการ ไม่ว่าการทํางานหรือทําประโยชน์นั้นจะเป็นส่วนหนึ่ง ส่วนใดหรือทั้งหมดในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจในความรับผิดชอบของผู้ประกอบกิจการนั้นหรือไม่ก็ตาม


ดังนั้นคําว่านายจ้าง ตามพระราชบัญญัติความปลอดภัยนี้ จึงหมายรวมถึง

1. ผู้ซึ่งตกลงรับลูกจ้างเข้าทํางานโดยจ่ายค่าจ้างให้

2. ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทํางานแทนนายจ้าง

3. กรณีนายจ้างเป็นนิติบุคคล ให้หมายรวมถึงผู้มีอํานาจกระทําการแทนนิติบุคคลและผู้ซึ่ง ได้รับมอบหมายให้กระทําการแทนนิติบุคคลด้วย

4. ผู้ประกอบกิจการซึ่งประกอบธุรกิจ และยอมให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดมาทํางานหรือทํา ผลประโยชน์ให้แก่หรือสถานประกอบกิจการของตน ไม่ว่าการทํางานหรือการทําผลประโยชน์นั้นจะเป็น ส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมดในกระบวนการผลิตหรือธุรกิจในความรับผิดชอบของผู้ประกอบกิจการนั้นหรือไม่ก็ตาม


ตัวอย่าง

บริษัท ก ประกอบกิจการตัดเย็บเสื้อผ้าส่งออกนอก อนุญาตให้นางสมศรีมาขายก๋วยเตี๋ยวใน ลาหารของบริษัท ก กรณีเช่นนี้ถือว่าบริษัท ก

เป็นนายจ้างของนางสมศรีบริษัท ก นายจ้างมีหน้าที่ต้องดูแลด้านความปลอดภัยแก่นางสมศรี ตามพระราชบัญญัตินี้ แม้ว่าการทํางานของนางสมศรี

จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งส่วนใดในกระบวนการผลิตธุรกิจเสื้อผ้าก็ตาม


ข้อยกเว้นของพระราชบัญญัตินี้มีให้ใช้บังคับแก่

1. ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น

2. กิจการทั้งหมด หรือแต่บางส่วนตามที่กําหนดในกฎกระทรวง แต่ส่วนราชการดังกล่าวต้อง จัดให้มีมาตรฐานการบริหารจัดการด้านควาปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน ในหน่วยงานของตนไม่ต่ำกว่ามาตรฐานความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน ตามพระราชบัญญัตินี้




มาตรฐานในการบริหารจัดการเกี่ยวกับ การป้องกันและระงับอัคคีภัย

มาตรฐานในการบริหารจัดการเกี่ยวกับ การป้องกันและระงับอัคคีภัย

กฎหมายให้นายจ้างบริหารจัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและ สภาพแวดล้อมในการทํางานให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กําหนดในกฎกระทรวง “

การบริหารจัดการ และการดําเนินการของนายจ้าง ตามมาตรฐานที่กําหนดไว้ในกฎกระทรวง ได้แก่ กฎกระทรวงว่าด้วย “กําหนดมาตรฐานในการบริหารจัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย พ.ศ. 2555 ลงวันที่ 7 ธันวาคม 2555” ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 9 มกราคม 2556 สรุปสาระสําคัญที่ นายจ้างจะต้องบริหารจัดการและดําเนินการในเรื่องเกี่ยวกับ การป้องกันและระงับอัคคีภัย ตามกฎกระทรวงซึ่งเป็นกฎหมายบังคับไว้ โดยสรุปดังนี้

1. ในสถานประกอบกิจการทุกแห่ง ให้นายจ้างจัดทําป้ายข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการดับเพลิงและ การอพยพหนีไฟ และปิดประกาศให้เห็นได้อย่างชัดเจน

2. สถานประกอบกิจการมีลูกจ้างตั้งแต่สิบคนขึ้นไป นอกจากปฏิบัติตามข้อ 1 แล้วให้นายจ้าง จัดให้มีแผนป้องกันและระงับอัคคีภัยไว้ด้วย และพร้อมที่จะให้พนักงานตรวจความปลอดภัยทําการตรวจสอบได้

3. กรณีนายจ้างสั่งให้ลูกจ้างทํางานที่มีลักษณะเสี่ยงหรืออาจเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัย ให้นายจ้าง แจ้งข้อปฏิบัติเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทํางานให้ลูกจ้างทราบก่อนการปฏิบัติงาน

4. ให้นายจ้างจัดให้มีเส้นทางหนีไฟทุกชั้นของอาคารอย่างน้อยชั้นละสองเส้นทาง สามารถอพยพ ลูกจ้างที่ทํางานสู่จุดที่ปลอดภัยได้โดยปลอดภัย ภายในเวลาไม่เกินห้านาที

5. ประตูเส้นทางหนีไฟให้ติดอุปกรณ์แบบบังคับเปิดปิดได้เอง ห้ามใช้ประตูบานเลื่อน ประตูม้วน หรือประตูหมุน ห้ามปิดตายแบบใส่กลอน ใส่กุญแจ ผูกหรือล่ามโซ่ หรือทําให้เปิดออกไม่ได้ขณะที่ลูกจ้าง ทํางาน

6. สถานประกอบกิจการมีอาคารตั้งแต่สองชั้นขึ้นไป หรือมีพื้นที่ประกอบกิจการตั้งแต่สามร้อย ตารางเมตรขึ้นไป ให้นายจ้างจัดให้มีระบบสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้ในสถานประกอบกิจการทุกชั้น

7. นายจ้างต้องจัดให้มีแสงสว่างอย่างเพียงพอ สําหรับเส้นทางหนีไฟในการอพยพลูกจ้างออกจาก อาคารหนีไฟ และมีแหล่งจ่ายไฟฟ้าสํารอง ที่สามารถจ่ายไฟฟ้าเพื่อการหนีไฟ และใช้กับอุปกรณ์ ดับเพลิงขั้นต้น หรืออุปกรณ์อื่นที่เกี่ยวข้องเมื่อไฟฟ้าดับ

8. ให้นายจ้างจัดให้มีป้ายบอกทางหนีไฟ ขนาดตัวหนังสือต้องสูงไม่น้อยกว่าสิบห้าเซนติเมตร และเห็นได้อย่างชัดเจน มีแสงสว่างมองเห็นได้ชัดตลอดเวลา

9. ให้นายจ้างจัดให้มีระบบน้ำดับเพลิง และอุปกรณ์ประกอบเพื่อใช้ในการดับเพลิงขั้นต้นได้อย่าง เพียงพอ

10. ห้นายจ้างจัดป้องกันอัคคีภัยอันอาจเกิดจากแหล่งกระจายตัวความร้อน เช่น กระแสไฟฟ้า ลัดวงจร เครื่องยนต์หรือปล่องไฟที่เกิดลูกไฟกระเด็นถูกวัตถุติดไฟได้ การแผ่รังสีความร้อน การเสียดสี ทําให้เกิดความร้อน การเชื่อมโลหะ เป็นต้น

11. กรณีนายจ้างมีที่เก็บหรือขนถ่ายวัตถุไวไฟ หรือวัตถุระเบิด จะต้องดําเนินการอย่างปลอดภัย เพื่อป้องกันอัคคีภัย

12. ให้นายจ้างจัดให้มีการทําความสะอาดมิให้มีการสะสมของเสียที่ติดไฟง่าย อย่างน้อยวันละ หนึ่งครั้ง วัตถุติดไฟง่ายต้องใส่ในภาชนะที่เป็นโลหะ กําจัดของเสียติดไฟง่ายด้วยการเผาในเตาเผาที่ ออกแบบไว้โดยเฉพาะ

13. ให้นายจ้างจัดให้มีระบบป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า สําหรับอาคารที่มีวัตถุไวไฟ วัตถุระเบิด สิ่งก่อสร้างที่มีความสูงประเภทปล่องควัน เสาธง ถังเก็บน้ำหรือสารเคมี การติดตั้งระบบป้องกันอันตราย จากฟ้าผ่า ให้ปฏิบัติตามมาตรฐานของสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์

14. ให้นายจ้างจัดลูกจ้างไม่น้อยกว่าร้อยละสี่สิบของสถานประกอบกิจการรับการฝึกอบรมการ ดับเพลิงขั้นต้น โดยให้ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเป็นผู้ดําเนินการฝึกอบรม

15. ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างทุกคนฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟพร้อมกันอย่างน้อยปีละ หนึ่งครั้ง ในกรณีที่นายจ้างไม่สามารถดําเนินการฝึกซ้อมดับเพลิงและฝึกซ้อมอพยพหนีไฟได้เอง จะต้อง ให้ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเป็นผู้ดําเนินการฝึกซ้อมให้



ผู้ให้บริการตรวจวัด ตรวจสอบ ทดสอบ รับรองประเมินความเสี่ยงและฝึกอบรมการป้องกันและระงับอัคคีภัย

ผู้ให้บริการตรวจวัด ตรวจสอบ ทดสอบ รับรองประเมินความเสี่ยงและฝึกอบรม

การป้องกันและระงับอัคคีภัย

การบริหารจัดการและดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทํางาน เกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัย ตามกฎกระทรวงกําหนดไว้นั้นต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะ จากผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพื่อดําเนินการเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัยตามที่ กําหนดไว้โดยบุคคลหรือนิติบุคคล ผู้ให้บริการตรวจวัด ตรวจสอบ ทดสอบ รับรอง ประเมินความเสี่ยง รวมทั้งให้การฝึกอบรมหรือให้คําปรึกษาเพื่อความปลอดภัยในการป้องกันและระงับอัคคีภัยตามมาตรฐาน ที่กําหนด จะต้องได้รับการรับรองโดยการขึ้นทะเบียนหรือได้รับใบอนุญาต ดังนี้

1. กรณีผู้ให้บริการเป็นบุคคลธรรมดา จะต้องทําการขึ้นทะเบียนต่อสํานักงานความปลอดภัย แรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานโดยผ่านการทดสอบ และมีคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่กฎกระทรวงกําหนด

2. กรณีผู้ให้บริการเป็นนิติบุคคล จะต้องได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครอง แรงงาน โดยมีคุณสมบัติเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนดไว้ในกฎกระทรวง

3. ให้นายจ้างจัดให้มีเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางาน บุคลากร หน่วยงาน หรือคณะบุคคล เพื่อดําเนินการด้านความปลอดภัยในสถานประกอบกิจการตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนด ไว้ในกฎกระทรวง เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางาน และบุคลากรดังกล่าวข้างต้นจะต้องขึ้นทะเบียนกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน



หน้าที่ของนายจ้าง เพื่อให้เกิด ความปลอดภัย

หน้าที่ของนายจ้าง เพื่อให้เกิด ความปลอดภัย

โดยทั่วไป หน้าที่ของนายจ้างต้องบริหารจัดการสถานประกอบกิจการให้เกิดความปลอดภัยต่อ ลูกจ้าง และสถานที่ทํางาน ตามที่พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ในการทํางานกําหนดไว้ดังนี้

1. จัดดูแลสถานประกอบกิจการและสภาพแวดล้อมในที่ทํางาน ด้วยการให้ลูกจ้างมีสภาพ การทํางานและมีสภาพแวดล้อมในการทํางานที่ปลอดภัย และถูกสุขลักษณะ รวมทั้งส่งเสริมสนับสนุนการ ปฏิบัติงานของลูกจ้าง มีให้ลูกจ้างได้รับอันตรายต่อชีวิต จิตใจ และสุขอนามัย

2. ให้ลูกจ้างรู้สภาพของงานที่จะทําล่วงหน้า กรณีนายจ้างให้ลูกจ้างทํางานในสภาพการทํางานหรือ สภาพแวดล้อมการทํางานที่อาจทําให้ลูกจ้างได้รับอันตรายต่อชีวิต ต่อร่างกาย ต่อจิตใจ หรือสุขภาพอนามัย ให้นายจ้างแจ้งให้ลูกจ้างทราบถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นขณะการทํางาน และแจกคู่มือปฏิบัติงานให้ ลูกจ้างทุกคน ก่อนที่ลูกจ้างจะเข้าทํางาน เปลี่ยนงาน หรือเปลี่ยนสถานที่ทํางาน

3. ให้ความรู้แก่ผู้บริหารหัวหน้างานและลูกจ้างให้นายจ้างจัดให้ผู้บริหารหัวหน้างาน และลูกจ้าง ทุกคนได้รับการฝึกอบรมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเพื่อให้บริหารจัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานได้อย่างปลอดภัย

ในกรณีนายจ้างรับลูกจ้างเข้าทํางาน เปลี่ยนงาน เปลี่ยนสถานที่ทํางาน หรือเปลี่ยนแปลง เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ ซึ่งอาจทําให้ลูกจ้างได้รับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพอนามัย ให้นายจ้างจัดให้มีการฝึกอบรมลูกจ้างทุกคนก่อนเริ่มทํางาน

อนึ่งคําว่า ผู้บริหารในสถานประกอบกิจการ หมายถึง ลูกจ้างตั้งแต่ระดับผู้จัดการใน หน่วยงานขึ้นไป

4. ติดตั้งเครื่องหมายเกี่ยวกับความปลอดภัย ให้นายจ้างติดประกาศสัญลักษณ์เตือนอันตราย และเครื่องหมายเกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน และข้อปฏิบัติ ในการป้องกันระงับอัคคีภัย รวมทั้งข้อความแสดงสิทธิหน้าที่ของนายจ้าง และลูกจ้างตามที่อธิบดี กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานประกาศกําหนดในที่ซึ่งเห็นได้ง่าย ณ สถานประกอบกิจการ 1

5. ให้ลูกจ้างสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัย ให้นายจ้างจัดและดูแลลูกจ้างให้สวมใส่ อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลที่ได้มาตรฐานตามที่อธิบดีประกาศกําหนด ถ้าลูกจ้างไม่ยอม สวมใส่อุปกรณ์ดังกล่าวให้นายจ้างสั่งให้ลูกจ้างหยุดการทํางานนั้นจนกว่าลูกจ้างจะสวมใส่อุปกรณ์ดังกล่าว ที่จัดให้ 12

6. นายจ้างที่เป็นผู้รับเหมา กรณีนายจ้างเป็นผู้รับเหมาหรือรับเหมาช่วง มีหน้าที่ต้องจัดสถานที่ ทํางานที่ปลอดภัยให้มีสภาพแวดล้อมในการทํางานที่ถูกสุขลักษณะเพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ลูกจ้าง ทุกคน เช่นเดียวกับสถานประกอบกิจการ



การควบคุมกำกับดูแลของนายจ้าง

การควบคุมกำกับดูแลของนายจ้าง

1. เพื่อประโยชน์ในการควบคุม กํากับ ดูแล การดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน ให้นายจ้างดําเนินการดังต่อไปนี้

1.1 จัดให้มีการประเมินอันตราย

1.2 ศึกษาผลกระทบของสภาพแวดล้อมในการทํางานที่มีผลต่อลูกจ้าง

1.3 จัดทําแผนการดําเนินงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ในการทํางาน และจัดทําแผนการควบคุมดูแลลูกจ้างและสถานประกอบกิจการ

1.4 ส่งผลการประเมินอันตราย การศึกษาผลกระทบ แผนการดําเนินงาน และแผนการ ควบคุมข้อมูล 3 ข้อข้างต้น ให้อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย

ในการดําเนินการควบคุม กํากับดูแลของนายจ้างจะได้รับคําแนะนํา และได้รับการรับรองผล การประเมินจากผู้ชํานาญการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน

ผู้ชํานาญการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานคือบุคคลที่ได้รับ ใบอนุญาตให้เป็นผู้ชํานาญการจากอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานตามพระราชบัญญัตินี้

2. กรณีสถานประกอบกิจการใดเกิดอุบัติภัยร้ายแรง หรือลูกจ้างประสบอันตรายจากการทํางาน ให้นายจ้างดําเนินการดังนี้ 15

2.1 กรณีลูกจ้างเสียชีวิตจากการทํางาน ให้นายจ้างแจ้งต่อพนักงานตรวจความปลอดภัย ทันทีที่ทราบด้วยการโทรศัพท์ โทรสาร หรือวิธีอื่นใดที่มีรายละเอียดพอสมควรแล้วให้แจ้งรายละเอียด และสาเหตุเป็นหนังสือภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ลูกจ้างเสียชีวิต

2.2 กรณีสถานประกอบกิจการได้รับความเสียหายหรือต้องหยุดการผลิต หรือมีบุคคลใน สถานประกอบกิจการประสบอันตรายหรือได้รับความเสียหายอันเนื่องมาจากเพลิงไหม้ การระเบิด สารเคมีรั่วไหล หรืออุบัติภัยร้ายแรง ให้นายจ้างแจ้งต่อพนักงานตรวจความปลอดภัยในทันทีที่ทราบ ทางโทรศัพท์ โทรสาร หรือวิธีอื่นใดและให้แจ้งเป็นหนังสือระบุสาเหตุอันตรายที่เกิดขึ้น ความเสียหาย ภายในเจ็ดวัน

2.3 กรณีลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยตามกฎหมายว่าด้วยเงินทดแทน เมื่อนายจ้าง แจ้งการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยต่อสํานักงานประกันสังคมตามกฎหมายเงินทดแทนแล้วให้นายจ้างส่ง สําเนาหนังสือที่แจ้งนั้นต่อพนักงานตรวจความปลอดภัยภายในเจ็ดวันด้วย

การแจ้งเป็นหนังสือให้ทําตามแบบที่อธิบดีประกาศกําหนด และเมื่อพนักงานตรวจ ความปลอดภัยได้รับหนังสือแล้ว ให้ดําเนินการตรวจสอบและหามาตรการป้องกันอันตรายโดยเร็ว



พนักงานตรวจความปลอดภัย

พนักงานตรวจความปลอดภัย

การควบคุม กํากับ ดูแล นอกจากจะเป็นหน้าที่ของนายจ้างแล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ยังแต่งตั้งตัวแทนให้ปฏิบัติหน้าที่กํากับดูแลสถานประกอบกิจการและการปฏิบัติงานของนายจ้าง ลูกจ้าง ในสถานประกอบกิจการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน มีชื่อเรียกว่า “พนักงานตรวจความปลอดภัย” และให้มีอํานาจหน้าที่ ดังนี้

1. เข้าไปในสถานประกอบกิจการ หรือสํานักงานของนายจ้างในเวลาทําการหรือเมื่อเกิด อุบัติภัย

2. ตรวจสอบ บันทึกภาพและเสียงเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมในการทํางานที่เกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน

3. ใช้เครื่องมือในการตรวจวัดหรือตรวจสอบเครื่องจักร หรืออุปกรณ์ในสถานประกอบกิจการ

4. เก็บตัวอย่างของวัสดุหรือผลิตภัณฑ์ใดๆ ภายในขอบเขตอํานาจ และเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้อง มาชี้แจง รวมทั้งตรวจสอบหรือให้ส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง และเสนอแนะมาตรการป้องกันอันตราย ต่ออธิบดีโดยเร็ว

ในกรณีพนักงานตรวจความปลอดภัย พบว่า นายจ้าง ลูกจ้างหรือผู้ที่เกี่ยวข้อง ผู้ใดฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัตินี้ หรือกฎกระทรวงที่ออกตามพระราชบัญญัตินี้ หรือพบว่า สภาพแวดล้อมในการทํางาน อาคาร สถานที่ เครื่องจักร อุปกรณ์ที่ลูกจ้างใช้จะก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัย แก่ลูกจ้างให้พนักงานตรวจความปลอดภัยมีอํานาจสั่งให้ผู้นั้นหยุดการกระทําที่ฝ่าฝืน แก้ไข ปรับปรุง หรือ ปฏิบัติให้ถูกต้องหรือเหมาะสมภายในเวลาสามสิบวัน ถ้ามีเหตุจําเป็นไม่อาจดําเนินการให้แล้วเสร็จ อาจ ขยายระยะเวลาออกไปได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละสามสิบวันนับแต่วันที่ครบกําหนดเวลาดังกล่าวได้

ในกรณีนายจ้างไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของพนักงานตรวจความปลอดภัย ดังที่กล่าวมาแล้ว ถ้ามีเหตุ ก่อให้เกิดอันตรายอย่างร้ายแรงที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สมควรเข้าไปดําเนินการแทน ให้อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย มีอํานาจสั่งให้พนักงานตรวจความ ปลอดภัย หรือมอบหมายให้บุคคลใดหรือบุคคลภายนอกเข้าจัดการแก้ไขให้เป็นไปตามคําสั่งนั้นได้ ในกรณีเช่นนี้ นายจ้างต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย สําหรับการเข้าจัดการแก้ไขตามจํานวนที่จ่ายจริง




การคุ้มครองสิทธิของลูกจ้าง

การคุ้มครองสิทธิของลูกจ้าง

1. กรณีที่พนักงานตรวจความปลอดภัยสั่งให้นายจ้างหยุดการผลิต เพื่อทําการแก้ไข ปรับปรุง ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายว่าด้วยควาปลอดภัย อาชีวอนามัน และสภาพแวดล้อมในการทํางาน ระหว่างหยุดการทํางานหรือหยุดกระบวนการผลิตให้นายจ้างจ่ายเงินให้แก่ลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับการหยุด การทํางานหรือหยุดกระบวนการผลิตนั้นเท่ากับค่าจ้างหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดที่ลูกจ้างต้องได้รับ เว้นแต่ ลูกจ้างรายนั้นจงใจกระทําการอันเป็นเหตุให้มีการหยุดการทํางานหรือหยุดกระบวนการผลิต

2. ห้ามนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง หรือโยกย้ายหน้าที่การทํางานของลูกจ้างเพราะเหตุที่ ลูกจ้างดําเนินการฟ้องร้อง หรือเป็นพยาน หรือให้หลักฐาน หรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานต่อพนักงานตรวจความปลอดภัย หรือคณะกรรมการ ตามพระราชบัญญัตินี้หรือต่อศาล



กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน

กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน

ในพระราชบัญญัตินี้ให้มีการจัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่ง อยู่ในกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรียกว่า “กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน” เพื่อเป็นทุนใช้จ่าย ในการดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานตามพระราชบัญญัตินี้

เงินกองทุนให้ใช้จ่ายเพื่อการดังต่อไปนี้

1. เพื่อการรณรงค์ส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน และการพัฒนา

2. ช่วยเหลือและอุดหนุนงานของรัฐ สมาคม มูลนิธิ องค์กรเอกชนหรือบุคคลที่เสนอโครงการหรือ แผนงานในการดําเนินการส่งเสริม สนับสนุนการศึกษาวิจัย และการพัฒนาด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน

3. ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุน และการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการและอนุกรรมการ ตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนด

4. สนับสนุนการดําเนินงานของสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ในการทํางานตามความเหมาะสมเป็นรายปี

5. ให้นายจ้างกู้ยืมเพื่อแก้ไขสภาพความไม่ปลอดภัยหรือเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ

6. เป็นเงินทดรองจ่ายให้พนักงานตรวจความปลอดภัย แก้ไขปัญหาที่นายจ้างไม่ปฏิบัติตามคําสั่ง โดยให้บุคคลอื่นเข้าดําเนินการแทนไปก่อน




กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน

กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน

ในพระราชบัญญัตินี้ให้มีการจัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่ง อยู่ในกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรียกว่า “กองทุนความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน” เพื่อเป็นทุนใช้จ่าย ในการดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานตามพระราชบัญญัตินี้

เงินกองทุนให้ใช้จ่ายเพื่อการดังต่อไปนี้

1. เพื่อการรณรงค์ส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน และการพัฒนา

2. ช่วยเหลือและอุดหนุนงานของรัฐ สมาคม มูลนิธิ องค์กรเอกชนหรือบุคคลที่เสนอโครงการหรือ แผนงานในการดําเนินการส่งเสริม สนับสนุนการศึกษาวิจัย และการพัฒนาด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน

3. ค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุน และการปฏิบัติหน้าที่ของกรรมการและอนุกรรมการ ตามระเบียบที่รัฐมนตรีกําหนด

4. สนับสนุนการดําเนินงานของสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ในการทํางานตามความเหมาะสมเป็นรายปี

5. ให้นายจ้างกู้ยืมเพื่อแก้ไขสภาพความไม่ปลอดภัยหรือเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ

6. เป็นเงินทดรองจ่ายให้พนักงานตรวจความปลอดภัย แก้ไขปัญหาที่นายจ้างไม่ปฏิบัติตามคําสั่ง โดยให้บุคคลอื่นเข้าดําเนินการแทนไปก่อน




สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย

สถาบันส่งเสริมความปลอดภัย

ให้กระทรวงแรงงานจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของรัฐมนตรี ทั้งนี้เพื่อให้มีความคล่องตัวในการบริหารงาน วัตถุประสงค์ของสถาบันส่งเสริมก็เพื่อส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน ด้วยการให้มีอํานาจหน้าที่ดังนี้

1. ส่งเสริมและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ในการทํางาน

2. พัฒนาและสนับสนุนการจัดทํามาตฐานเพื่อส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ สภาพแวดล้อมในการทํางาน :

3. ดําเนินการส่งเสริม สนับสนุน และเร่งดําเนินงานกับหน่วยงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานของภาครัฐและเอกชน

4. จัดให้มีการศึกษาวิจัย เกี่ยวกับการส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อม ในการทํางาน ทั้งในด้านพัฒนาบุคลากรและด้านวิชาการ

5. อํานาจหน้าที่อื่นตามที่กําหนดในกฎหมาย