วิธีที่ 1: การขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด (Sexual Propagation)
วิธีนี้เหมาะสำหรับ บัวหลวง และเป็นการสร้างบัวสายพันธุ์ลูกผสมใหม่ๆ ขึ้นมา ข้อดีคือได้บัวจำนวนมากในครั้งเดียว แต่ข้อเสียคือต้นใหม่อาจมีลักษณะไม่ตรงตามพันธุ์เดิม (เกิดการกลายพันธุ์) และใช้เวลานานกว่าจะให้ดอก
ขั้นตอนโดยละเอียด:
การเลือกและเตรียมเมล็ด:
เลือกใช้เมล็ดบัวที่แก่จัด ซึ่งจะมีเปลือกสีดำและแข็ง (เมล็ดอ่อนสีเขียวไม่สามารถงอกได้)
ขั้นตอนสำคัญที่สุด: ต้องทำการ "กะเทาะเปลือก" หรือ "ฝนหัวเมล็ด" เนื่องจากเปลือกเมล็ดบัวแข็งและกันน้ำมาก หากไม่เปิดทางให้น้ำเข้า เมล็ดจะเน่าก่อนงอก
วิธีทำ: สังเกตด้านหัวของเมล็ดจะมีรอยบุ๋มเล็กน้อย (ด้านท้ายจะมน) ให้นำส่วนหัวนี้ไปฝนกับพื้นซีเมนต์ กระดาษทรายหยาบ หรือใช้คีมตัดเล็บค่อยๆ กะเทาะเปลือกส่วนนั้นออกจนเห็นเนื้อในสีขาวอมเหลือง ระวังอย่าให้เนื้อในเสียหาย
การเพาะเมล็ด:
นำเมล็ดที่เตรียมไว้ใส่ลงในแก้วหรือภาชนะใสที่บรรจุน้ำสะอาด
วางภาชนะในที่ที่ได้รับแสงแดดรำไร และเปลี่ยนน้ำทุกวันเพื่อป้องกันน้ำเน่า
ภายใน 3-7 วัน เมล็ดจะเริ่มงอก โดยจะมีใบเลี้ยงสีเขียวเล็กๆ ยืดตัวออกมา
การอนุบาลต้นอ่อน:
เมื่อต้นอ่อนเริ่มมีใบแรกคลี่ออกและมีรากงอกออกมา (ประมาณ 2-3 สัปดาห์) ก็พร้อมที่จะย้ายลงปลูก
เตรียมดินเหนียวใส่ในกระถางขนาดเล็ก กดดินให้แน่น
ใช้นิ้วกดดินให้เป็นหลุมตื้นๆ แล้ววางต้นอ่อนลงไปอย่างเบามือ กลบดินทับราก แต่ ไม่ต้องฝังเมล็ด ให้เมล็ดลอยอยู่บนผิวดิน
ค่อยๆ เติมน้ำลงในกระถางจนท่วมต้นอ่อนเล็กน้อย วางในที่มีแดดส่องถึง เมื่อต้นแข็งแรงขึ้นจึงย้ายลงภาชนะที่ใหญ่ขึ้นต่อไป
วิธีที่ 2: การขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ/เหง้า/ไหล (Asexual Propagation)
เป็นวิธีที่ นิยม สะดวก และรวดเร็วที่สุด เพราะต้นที่ได้จะเหมือนต้นแม่ทุกประการและให้ดอกได้เร็วกว่าการเพาะเมล็ด เหมาะสำหรับบัวทุกประเภท
ขั้นตอนโดยละเอียด:
การเตรียมต้นแม่:
เลือกกอบัวที่แข็งแรงสมบูรณ์และเริ่มแตกกอแน่นกระถาง
ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือช่วงที่บัวเริ่มพักตัวหรือเจริญเติบโตช้า (ปลายฤดูฝนเข้าฤดูหนาว) แต่จริงๆ แล้วสามารถทำได้ตลอดทั้งปี
เทดินและเหง้าบัวทั้งหมดออกจากภาชนะปลูก ล้างดินออกเบาๆ เพื่อให้เห็นส่วนของเหง้าและไหลได้ชัดเจน
การแยกส่วนขยายพันธุ์:
สำหรับบัวหลวง (เหง้า): เหง้าบัวหลวงจะมีลักษณะเป็นท่อนยาวๆ มีข้อปล้องชัดเจน ให้ใช้มีดคมๆ ตัดแบ่งเหง้าออกเป็นท่อนๆ โดยแต่ละท่อนต้องมีตาหรือหน่ออ่อนติดอยู่อย่างน้อย 1-2 ตา และควรมีรากติดมาด้วย
สำหรับบัวอุบลชาติ (บัวสาย, บัวผัน, บัวฝรั่ง): บัวกลุ่มนี้จะมีหัวหรือเหง้าขนาดเล็กกว่า และจะแตกหน่อหรือ "ไหล" (Stolon) ซึ่งเป็นสายยาวๆ ที่ปลายสายจะเกิดเป็นต้นใหม่
การปลูก:
นำหน่อ เหง้า หรือไหลที่ตัดแยกออกมา ไปปลูกในภาชนะใหม่ที่เตรียมดินเหนียวไว้
วิธีปลูกเหง้าบัวหลวง: วางท่อนพันธุ์ในแนวนอน ฝังลงในดินประมาณ 2-3 นิ้ว โดยให้ส่วนปลายที่ติดตาหรือหน่ออ่อนโผล่พ้นดินเล็กน้อย
วิธีปลูกหน่อบัวอุบลชาติ: ฝังส่วนรากและโคนหน่อลงในดินให้แน่นพอที่จะไม่ลอยเมื่อเติมน้ำ
หลังจากจัดวางต้นพันธุ์เรียบร้อยแล้ว ให้ค่อยๆ เติมน้ำจนเต็มภาชนะ วางในที่แดดส่องถึง
วิธีที่ 3: การขยายพันธุ์จากใบ (Viviparous Propagation)
เป็นวิธีขยายพันธุ์เฉพาะของบัวบางชนิด (ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มบัวฝรั่งและลูกผสม) ซึ่งสามารถสร้างต้นอ่อนขึ้นมาใหม่ได้ที่กลางใบ
ขั้นตอนโดยละเอียด:
สังเกตใบ: เมื่อบัวเจริญเต็มที่ จะมีใบแก่บางใบที่บริเวณกึ่งกลางใบ (ตรงจุดที่ก้านใบเชื่อมต่อกับแผ่นใบ) จะมีตุ่มเล็กๆ งอกขึ้นมาและพัฒนาเป็นต้นอ่อนที่มีทั้งใบและรากเล็กๆ
การแยกต้นอ่อน:
การอนุบาล:
เคล็ดลับเพิ่มเติมเพื่อความสำเร็จ:
ดิน: ควรใช้ดินเหนียวล้วน หรือดินท้องนา จะช่วยให้ต้นยึดเกาะได้ดีและเก็บปุ๋ยได้นาน
ปุ๋ย: อย่าเพิ่งใส่ปุ๋ยทันทีหลังขยายพันธุ์ ควรรอให้ต้นใหม่ตั้งตัวได้และแข็งแรงก่อน (ประมาณ 1 เดือน) จากนั้นจึงเริ่มให้ปุ๋ยสำหรับบัว (สูตรเสมอ เช่น 16-16-16)
แสงแดด: บัวเป็นพืชชอบแดด หลังจากอนุบาลจนแข็งแรงแล้ว ควรวางในตำแหน่งที่ได้รับแสงแดดอย่างน้อย 5-6 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อการเจริญเติบโตและการออกดอกที่ดี