ความเป็นมาจังหวัดนนทบุรีสมัยกรุงศรีอยุธยา
1.การตั้งถิ่นฐาน จากหลักฐานทางโบราณคดีพระปรางค์วัดปรางค์หลวง บ้านบางใหญ่ ตำบลบางมะม่วง อำเภอบางใหญ่ แสดงถึงการตั้งถิ่นฐานของชาวเมืองนนทบุรีได้เริ่มขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ลักษณะเป็นสังคมชาวสวนตามสองฟากฝั่งแม่น้ำอ้อม (แม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม) เนื่องจากเป็นเส้นทางติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ ปกครองหัวเมืองทางใต้ หัวเมืองทางตะวันตก และทำสงครามกับพม่า
การตั้งถิ่นฐานเป็นชุนชนแห่งแรก คือ บ้านบางใหญ่ ตำบลบางมะม่วง อำเภอบางใหญ่ ที่พบ พระปรางค์หลวง มีรูปแบบศิลปกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น มีความเก่าแก่มากที่สุดในจังหวัดนนทบุรี กรุงเทพมหานคร และปริมณทลและตำนานเกี่ยวกับพระเจ้าอู่ทองว่า พระเจ้าอู่ทอง (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1) นำผู้คนหนีโรคระบาดเข้ามาอาศัยอยู่ตั้งแต่ยังไม่ได้สร้างกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ประมาณปี พ.ศ. 1890 ได้สร้างวัดปรางค์หลวงขึ้นเป็นศูนย์กลางของชุนชน เมื่อโรคระบาดยุติลงมีกลุ่มคนบางส่วนอพยพกลับแต่บางส่วนก็ยังคงอาศัยอยู่ต่อไป
2.การตั้งเมืองนนทบุรี เมื่อปี พ.ศ.2092 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ กรุงศรีอยุธยาโปรดเกล้าฯให้ประกาศตั้ง บ้านตลาดขวัญ ขึ้นเป็นเมืองนนทบุรี (พร้อมกับบ้านท่าจีน เป็นเมืองสาครบุรี แบ่งแขวงเมืองราชบุรี แขวงเมืองสุพรรณบุรี ตั้งเป็นเมืองนครชัยศรี) มีฐานะเป็นเมืองจัตวา(เมืองชั้นใน) ปากใต้(เมืองที่อยู่ทางใต้กรุงศรีอยุธยาและใกล้ทะเลรอบอ่าวไทย)
สาเหตุการตั้งเมืองนนทบุรี มีอยู่ 2 ประการคือ
1) การสงครามระหว่างไทยกับพม่า เมื่อปี พ.ศ.2091 รัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เกิดสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับพม่า ครั้งที่สูญเสียสมเด็จพระศรีสุริโยทัย ชาวกรุงศรีอยุธยาได้หนีภัยสงครามเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่ตลาดขวัญเป็นอันมาก เมื่อสงครามยุติลงก็ไม่อพยพกลับ ดังนั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จึงโปรดเกล้าฯประกาศตั้งเป็นบ้านตลาดขวัญขึ้นเป็นเมืองนนทบุรี
2) ตั้งเป็นเมืองในจุดยุทธศาตร์ตามแผนการป้องกันเอกราช หลังจากเกิดสงครามกับพม่าครั้งที่ 1 พ.ศ. 2091 และสงครามครั้งที่ 2 พ.ศ.2106 เรียกว่า สงครามช้างเผือก แล้ว สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงเอาพระทัยใส่อย่างมากต่อการปรับปรุงและเตรียมพระนครเพื่อการรับศึกพม่า โดยเฉพาะด้านยุทธศาสตร์และยุทธวิธี บ้านตลาดขวัญ มีที่ตั้งอยู่ในเส้นทางการคมนาคมที่สำคัญ อีกทั้งมีอาหารอุดมสมบูรณ์และอยู่ไม่ไกลจากกรุงศรีอยุธยานัก จึงได้รับการประกาศยกฐานะขึ้นเป็นเมืองในจุดยุทธศาสตร์ สำหรับรวมกำลังพลและเสบียงอาหารเพื่อการสงครามตามแผนการป้องกันการรุกรานของข้าศึกศัตรูเช่นเดียวกับเมืองนครนายก และเมืองฉะเชิงเทรา
เมืองนนทบุรีจึงทำหน้าที่คล้ายกับเมืองหน้าด่าน ได้มีการสร้างป้อมปราการขึ้นพร้อมกับตั้งเมือง ได้แก่ป้อมแก้วและป้อมทับทิม ส่วนสถานที่ระดมพลหรือค่ายทหารอยู่ที่บริเวณวัดปราสาท วัดแคใน และวัดบางอ้อยช้าง ริมฝั่งแม่น้ำพระยาสายเดิม(ส่วนที่เรียกว่าคลองบางกอกน้อย)
เมืองนนทบุรี มีความหมายว่า เมืองแห่งความรื่นรมย์ เมืองแห่งความสนุก เมืองแห่งความยินดี
อาจเนื่องมาจากเป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์และการคมนาคมสะดวก ดังปรากฏในบันทึกจดหมายเหตุรายวันของบาทหลวง เดอ ชัวซีย์ เดินทางเข้ามากับคณะราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ประเทศฝรั่งเศส เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปี พ.ศ. 2228 ว่า...ทั้งสองฝั่งฟากแม่น้ำเต็มพรีดไปด้วยต้นหมากกับต้นมะพร้าว อันเป็นต้นไม้ใบเขียว มีผลดอก เต็มไปด้วยฝูงลิงและนก นกนั้นมีสีสันต่างๆ บ้างก็เป็นสีฟ้า บ้างก็แดง บ้างก็เหลืองอ๋อย ที่สวยที่สุดเห็นจะเป็นนกยางขาว ซึ่งขาวผ่องทั้งตัวราวกับหิมะ และบนหัวมีแผงจนเป็นช่อในประเทศนี้มีสัตว์มากหลายชนิด เพราะไม่มีใครกล้าฆ่ามัน ด้วยเกรงว่าจะไปฆ่าเอาบิดา ตนเองเข้า เป็นเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นความเชื่อมั่นอยู่ในหมู่ชนชาวสยาม...เราเห็นทุ่งนากว้างเป็นบางครั้งคราว มีต้นข้าวเขียวขจีอยู่กันไปดังนั้น จนกระทั่งถึงเดือนธันวาคม อันเป็นฤดูน้ำลด...
สถานที่ตั้งเมืองนนทบุรีเดิมบ้านตลาดขวัญ ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีวัดหัวเมืองหรือ วัดเทพอุรุมภังค์ (ร้าง-ที่ตั้งธรงพยาบาลพระนั่งเกล้าในปัจจุบัน) เป็นเขตเหนือ วัดท้ายเมืองเป็นเขตใต้ ตั้งศาลหลัก เมืองขึ้นระหว่างวัดทั้งสองนี้ ปัจจุบันศาลหลักเมืองก็ยังอยู่ที่เดิม ผู้เขียนสันนิษฐานว่า คือศาลเจ้าพ่อทรงเมือง มีวัดศูนย์กลางของชุนชน 3 วัน วัดหัวเมืองหรือวัดเทพอุรุมภังค์(ร้าง) วัดกลางบางซื่อ และวัดท้ายเมือง ปัจจุบันอยู่ในเขต ตำบลบางกระสอ อำเภอเมืองนนทบุรี ในเขตเทศบาลนครนนทบุรี มีถนนนนทบุรี 1 ตัดผ่านมีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น เป็นสถานที่ตั้งโรงเรียน โรงพยาบาลและหน่วยงานราชการที่สำคัญ
ชุมชนเมืองที่สำคัญ มี 2 แห่ง
1) บ้านตลาดขวัญ ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันออก เมือปี พ.ศ.2091 รัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเกิดสงครามกับพม่า ครั้งสูญเสียสมเด็จพระศรีสุริโยทัย ชายเมืองกรุงศรีอยุธยาอพยพหนีสงครามเข้ามาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากจึงมีผู้คนอาศัยอย่างหนาแน่นมีวัดสำคัญ 3 วัดคือ วัดเทพอุรุมภังค์ (วัดหัวเมือง) วัดกลางบางซื่อ วัดท้ายเมืองและมัสยิด (สุเหร่า)บ้านตลาดขวัญ ของศาสนาอิสลาม มีศาลหลักเมืองอยู่ระหว่างวัดเทพอุรุมภังค์ (วัดหัวเมือง) กับวัดกลางบางซื่อ (ปัจจุบันสันนิษฐานว่าคือศาลเจ้าพ่อทรงเมือง) ลักษณะเป็นชุมชนชาวสวนชาวนาและค้าขาย เป็นที่ตั้งป้อมทับทิม
2) บ้านตลาดแก้ว ตั้งอยู่ทางตอนใต้ชุนชนบ้านตลาดขวัญ ทั้งสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาช่วงระหว่างวัดปากน้ำสงคราม)ถึงวัดเขมาภิรตามรามราชวรวิหาร รวมถึงบางกรวย (คลองบางกรวย เดิมเรียกว่า คลองบ้านตลาดที่ตั้งป้อมแก้ว ดังปรากฏบันทึกในจดหมายเหตุ ลาลูแบร์ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ประเทศฝรั่งเศสเข้ามาสัมพันธไมตรีกับไทยในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในปี พ.ศ.2230 กล่าวถึงป้อมที่ปากน้ำอ้อมพร้อมแผนที่ประกอบเอาไว้ชัดเจน จึงทำให้รู้ว่า ป้อมแก้วอยู่ที่บ้านตลาดแก้ว ส่วนในพระราชพงศาวดารกล่าวว่า ปีพ.ศ.2307 เกิดสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับพม่าก่อนเสียเอกราชครั้งที่ 2 พ่อค้าชาวอังกฤษ(ขายผ้าสุหรัด)นำเรือกำปั่นช่วยรบกับพม่าที่ตั้งค่าย ณ วัดเขมา ตลาดแก้วทั้งสองฟากแม่น้ำเจ้าพระยาเมืองนนทบุรี
ในปี พ.ศ.2350 รัชสมัยรัชกาลที่ 1 กรุงรัตนโกสินทร์ สุนทรภู่ ได้แต่งคำประพันธ์ในนิราชพระบาทว่า “ชลสายที่ท้ายย่าน เขาเรียกบ้านวัดโบสถ์ตลาดแก้ว” เมื่อตรวจสอบพบว่าปัจจุบันวัดโบสถ์เป็นวัดร้าง อยู่ติดกับวัดลุ่มคลองราม บางกรวย กรมศาสนาให้เอกชนเช่าทำสวน
3. พัฒนาการของเมือง เมืองนนทบุรี ตั้งชุมชนตามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณที่มีแนวการไหลคดโค้งเป็นรูปเกือบม้า เส้นทางคมนาคมที่สำคัญของกรุงศรีอยุธยายังประโยชน์ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการสงครามการพัฒนาการด้านต่างๆ เป็นลำดับต่อไปนี้
1) การปรับปรุงเส้นทางคมนาคม แม่น้ำเจ้าพระยาระยะที่ไหลผ่านเมืองนนทบุรี กระแสน้ำมีแนวทางการไหลโค้งเป็นรูปเกือกม้า น้ำไหลช้าลงเกิดดินตะกอนทำให้แม่น้ำตื้นเขิน เกิดปัญหาสำคัญในการเดินเรือ ทำให้เสียเวลาเดินทางอ้อมแม่น้ำที่คดโค้งและเดินทางไม่สะดวก การแก้ไขปัญหานี้ได้แก่ การขุดคลองลัดแม่น้ำ (ขุดคลองเชื่อมแม่น้ำกับแม่น้ำน้ำสายเดียวกัน)เพื่อย่นระยะทางในการเดินทางให้สั้นลง ต่อมาเมื่อกระน้ำเปลี่ยนทางเดินไหลเข้าคลองลัดเป็นจำนวนมากขึ้น คลองลัดเหล่านี้ได้กลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา ส่วนแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิมมีน้ำน้อยลงได้เกิดการตื้นเขินและแคบลงในที่สุดได้กลายป็นคลองไป
การขุดคลองลัดในเมืองนนทบุรีสมัยกรุงศรีอยุธยา มี 3 คลอง
(1) คลองลัดบางกรวย ปี พ.ศ.2100 สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ โปรดเกล้า ฯให้ขุดคลองบางกรวยแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม) บริเวณใกล้วัดชลอไปทะลุแม่น้ำอ้อมบางกอกที่วัดขี้เหล็ก (วัดสุวรรณศีรี เขตลิ่นชัน กรุงเทพฯ)ปัจจุบันเรียกว่า คลองบางกอกน้อย ทำให้บริเวณที่ตั้งวัดชลอ เป็นชุนทางการคมนาคมที่สำคัญมีเรือผ่านไป-มาเป็นจำนวนมากกลายเป็นตลาดการค้าขายใหญ่
อีกทั้งโปรดเกล้า ฯให้ขุดคลองบางกรวยระยะจากปากคลองบางสีทองถึงบริเวณวัดเขมาภิรตารามวร วิหารที่มีความโค้งมากให้เป็นแนวตรง เพื่อความสะดวกในการคมนาคมต่อไป
(2) คลองลัดเมืองนนทบุรี ปี พ.ศ.2179 สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง โปรดเกล้าฯให้ขุดคลองลัดจากปรกคลองแม่น้ำอ้อม (แม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม) เหนือวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหารไปทะลุปากคลองบางกรวย (แม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม) ตรงข้ามวัดเขมาภิรตารามราชวรวิหาร (วัดสลัก,วัดเขรมา) เขตอำเภอเมืองนนทบุรี เพราะว่าแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิมในบริเวณนี้ไหลคดโค้งเป็นรูปเกือบม้า เรียกว่า แม่น้ำอ้อมนนท์ ทำให้เสียเวลาในการเดินทางมาก เมื่อขุดคลองลัดกระแสน้ำไหลเข้าทางคลองลัดมากกัดเซาะคลองลัดกว้างขึ้นจนกลายเป็นแม่น้ำเจ้า พระยาในปัจจุบัน ส่วนแม่น้ำอ้อม (แม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม) กระแสน้ำไหลเข้าน้อยทำให้เกิดการตื้นเขินและแคบลงจึงกลายเป็นคลอง เรียกว่าคลองอ้อม
การขุดคลองลัดเมืองนนท์ทำให้พื้นที่บ้านบางศรีเมือง บางกร่าง บางสีทอง บางไผ่ มีสภาพเป็นเกาะเมืองนนทบุรีทำให้การทำสวนผลไม้ได้น้ำอุมดสมบูรณ์ได้ผลผลิตดีขึ้น
(3) คลองลัดเกร็ดน้อย ปี พ.ศ.2265 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ โปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองลัดเกร็ดน้อยลัดแม่น้ำเจ้าพระยาที่บริเวณคุ้งน้ำบางบัวทองจากบ้านหัวแหลม (ที่ตั้งวัดปรมัยยิกาวาสวรวิหาร) ไปทะลุบ้านปากด่าน (เขตอำเภอปากเกร็ด ในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 เรียกชื่อคลองลัดเกร็ดน้อยว่า คลองลัดเกร็ดให้กว้างขึ้นจึงกลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาในปัจจุบัน ทำให้บ้านหัวแหลมกลายสภาพเป็นเกาะ ชาวบ้านเรียกกันว่า เกาะเกร็ด บริเวณวัดศาลากุน เป็นที่ตั้งด่านเก็บภาษีและตรวจเรือที่จะเดินทางไปกรุงศรีอยุธยา ครั้นกรุงศรีอยุธยาเสียเอกราชครั้งที่ 2 ให้แก่พม่า ทหารพม่าได้ยึดเกาะเกร็ดตั้งด่านตรวจจับคนไทยที่หนีมาจากกรุงศรีอยุธยา ในสมัยกรุงธนบุรี มีชาวมอญอพยพเข้ามา พระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดเกล้าฯ ให้มาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ปากเกร็ดตลอดทั้งเกาะเกร็ด เกาะเกร็ดจึงเริ่มมีชาวมอญตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาถึงปัจจุบัน
เกาะเกร็ดเรียกชื่อว่า เกาะศาลากุน มาตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด สันนิฐานว่าชาวบ้านเรียกหลังจากที่เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ (กุน) ที่สมุหนายกในรัชกาลที่ 2 สร้างศาลาริมน้ำสำหรับพักเรือสินค้าที่ท่านทำการค้าขายกับประเทศจีนไว้ ศาลานี้ตั้งอยู่ริมน้ำเป็นจุดเด่นเรียกว่า ศาลาจีนกุน เรียกชื่อชุนชนว่า บ้านศาลากุน ผู้คนที่เดินทางผ่านจึงเรียกว่าเกาะศาลากุน ตามไปด้วย ต่อมาได้ปรากฏชื่อในเอกสารของทางราชการประเภทโฉนดที่ดินในรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ว่าเกาะศาลากุน และรัชกาลที่5 ยังทรงมีพระราชดำริจะเปลี่ยนชื่อเกาะศาลากุนมาเป็น เกาะสำราญ อันเนื่องจากพระองค์ทรงเสด็จประพาสทางชลมารคมาที่เกาะเกร็ดเพื่อทรงทอดกฐินวัดรามัญเมืองนนทบุรี (อำเภอปากเกร็ด) 4 วัด ได้แก่ วัดปากอ่าว (มอญเรียกว่า วัดบ้านแหลม) วัดรามัญ (วัดเกาะพญาเจ่ง) วัดบางพัง (วัดศรีรัตนาราม) และวัดสนาม (วัดสนามเหนือ) เพื่อทรงก่อพระเจดีย์ในวันสงกรานต์ตลอดจนการทรงบูรณะวัดปากอ่าวเป็นต้น ซึ่งทรงมีพระเกษมสำราญอย่างยิ่ง
2) ย้ายที่ตั้งเมืองและสร้างป้อมปราการใหม่ที่ปากน้ำอ้อม (แม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม) เมื่อปี พ.ศ.2208 สมเด็จพระนารายณ์มหาราช โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายที่ตั้งเมืองนนทบุรีจากบ้านตลาดขวัญ ไปอยู่ที่บ้านบางศรีเมืองปากแม่น้ำอ้อม (แม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม) พร้อมตั้งป้อมปราการชื่อป้อมทับทิม และศาลหลักเมืองขึ้นบริเวณเดียวกัน เนื่องจากภายหลังขุดคลองลัดจากตอนใต้วัดท้ายเมืองมาทะลุปากคลองบางกรวย (แม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม) บริเวณวัดเขมาในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ทำให้กระแสน้ำเปลี่ยนทางเดิมไหลเข้าทางคลองลัดมากขึ้นกัดเซาะคลองลัดให้กว้างขวางออกไปจนกลายเป็นแม่น้ำ จะทำให้ข้าศึกเข้าประชิดพระนคร (กรุงศรีอยุธยา)ได้ง่ายการย้ายที่ตั้งเมืองเพื่อเป็นด่านป้องกันข้าศึก ต่อมาในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 กรุงรัตนโกสินทร์ โปรดเกล้าฯให้รื้อป้อมทับทิมและกำแพงบางส่วนนำอิฐมาสร้างวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร และอีกบางส่วนได้ถูกน้ำเซาะพังทลายไป สิ่งก่อสร้างที่ยังหลงเหลือถึงปัจจุบันนี้คือ ศาลหลักเมือง ที่ดินในบริเวณนี้ยังเป็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
3) ชาวมอญเมืองบางตะนาวศรีเข้ามาตั้งถิ่นฐานเป็นครั้งแรก เมื่อ ปีพ.ศ.2302 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าสุริยาสน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) ได้ข่าวพม่าเตรียมยกทัพเข้ามารุกรายกรุงศรีอยุธยาและโจมตีชาวมอญเมืองตะนาวศรี สมเด็จพระที่นั่งสุริยาสน์อมรินทร์ โปรดเกล้าฯให้ยกทัพไทยไปตั้งรวมพลอยู่ที่แก่งตูม บริเวณต้นน้ำตะนาวศรีนอกเขตไทย เมื่อสมควรแก่ เวลาแล้วจึงให้ยกทัพกลับ ชาวมอญเมืองตะนาวศรีได้ขออพยพติดตามมาด้วย จึงให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่เมืองนนทบุรี บริเวณฝั่งตะวันออกแม่น้ำเจ้าพระยามีวัดนครอินทร์เป็นศูนย์กลางของชุนชน เรียกชุนชนชาวมอญแห่งนี้ว่า “บางตะนาวศรี” นับเป็นชาวมอญกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในเมืองนนทบุรี
4. สถานที่และเหตุการณ์สำคัญ ที่เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยามีดังนี้
1) พระเจ้าอู่ทอง (สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1) ทรงหนีโรคระบาดมาประทับในเมืองนนทบุรี ตำนานการสร้างวัดปรางค์หลวง วัดอุทยาน กล่าวว่า “พระเจ้าอู่ทองได้นำไพร่พลหนีโรคระบาดเข้ามาประทับริมฝั่งแม่น้ำอ้อม (แม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม ปัจจุบันเป็นระยะที่เรียกว่า คลองบางกอกน้อย) ย่านบางกรวย-บางใหญ่ ก่อนที่จะตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี” ดังนี้
วัดปรางค์หลวง บ้านบางใหญ่ ตำบลบางม่วง อำเภอบางใหญ่ มีโบราณสถานสำคัญอยู่ 3 ประเภท คือ พระปรางค์ พระอุโบสถ และพระวิหาร ศิลปกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ตั้งเรียงกันในแนวเหนือใต้อันเป็นลักษณะสำคัญของสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น มีความเก่าแก่มากที่สุดในย่านกรุงเทพฯ และปริมณฑล และที่หน้าพระอุโบสถหลังเก่ามีป้ายเขียนว่า “สร้างขึ้นใน พ.ศ.1890 สมัยพระเจ้าอู่ทองทรงอพยพหนีโรคอหิวาห์ จากเมือง อู่ทอง ก่อนจะไปสร้างกรุงศรีอยุธยา มีอายุ 733 ปี” แต่ป้ายดังกล่าวได้สูญหายไปตั้งแต่ ปลายปี พ.ศ.2535 เมื่อทางวัดปรางค์หลวงได้ทุบพระอุโบสถหลังเก่าทิ้งไป ซึ่งผู้สร้างวัดอายเป็นเจ้านายสมัยนั้น
วัดอุทยาน บ้านบางขุนกอง ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย ตำนานกล่าวว่า “ได้สร้างขึ้นในบริเวณที่เป็นอุทยาน องพระเจ้าอู่ทองในขณะที่หนีโรคอหิวาตกโรคมาประทับอยู่บริเวณนี้ เมื่อโรคร้ายระงับไปแล้วพระองค์เสด็จกลับไป จึงถือเป็นสถานที่ ที่สูงและเป็นสิริมงคลจึงได้สร้างวัดขึ้น เรียกชื่อว่า วัดอุทยาน
2) เป็นที่พักพิงยามสงครามของชาวกรุงศรีอยุธยา การเกิดสงครามระหว่างไทยกับพม่าทุกครั้ง ชาวกรุงศรีอยุธยาซึ่งชาวเมืองนนทบุรีเรียกว่า เมืองบนได้พากันอพยพหลบหนีภัยสงครามมาพักพิงอาศัยอยู่ที่เมืองนนทบุรี เพราะเมืองนนทบุรี ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลัก ทำให้มีความสะดวกในการเดินทาง มีระยะทางไม่ห่างไกลจากกรุงศรีอยุธยา และพื้นที่เป็นที่สวน นาที่มีความอุดมสมบูรณ์ การอพยพครั้งที่มากที่สุดคือ การสงครามระหว่างไทยกับพม่า เมื่อ พ.ศ.2091 ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ตั้งเป็นชุนชนบ้านตลาดขวัญจนเป็นสาเหตุสำคัญทำให้มีการประกาศตั้งขึ้นเป็นเมืองนนทบุรี
3) เป็นยุทธภูมิระหว่างไทยกับพม่าเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เมื่อปีพ.ศ.2307 รัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งสุริยาสน์รินทร์ (พระเจ้าเอกทัศน์) มังมหานรธาแม่ทัพพม่านำทัพมาจากทางใต้ มุ่งเข้าโจมตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อมาถึงเมืองนนทบุรีได้เข้าโจมตียึดเมืองนนทบุรีได้เช่นเดียวกับเมืองรายทางอื่นๆ ตั้งค่ายทหารอยู่บริเวณวัดเขมาภิรตารามราชวรวิหารตลอดสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อตัดเส้นทางลำเลียงกำลังพล (การระดมพล) จากเมืองนนทบุรีและป้องกันไม่ให้เรือรบของชาวตะวันตกให้ความช่วยเหลือด้านอาวุธแก่กรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ ทรงให้พระยายมราชเป็นแม่ทัพไทยเข้ามาป้องกันเมืองนนทบุรี แต่ได้ถอนกำลังกลับกรุงศรีอยุธยามีเรือกำปั่นอังกฤษที่เข้ามาค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาในขณะนั้นได้อาสาช่วยรบกับพม่าที่เมืองนนทบุรี เมืองนนทบุรีจึงเป็นยุทธภูมิระหว่างเรือกำปั่นของอังกฤษ กับกองกำลังทหารพม่าแต่สู้พม่าไม่ได้ จึงได้หนีออกทะเลไป ดังปรากฏในพงศา วดารว่า “...ฝ่ายทัพพระยายมราชซึ่งตั้งอยู่เมืองนนท์ได้เลิกหนีไป มิได้สู้รบกับพม่า เมื่อพม่าเข้าตั้งอยู่ในเมืองธนบุรีได้แล้ว จึงแบ่งทัพขึ้นมาตั้งค่าย ณ วัดเขมา ตำบลตลาดแก้วทั้งสองฟาก ครั้นเพลากลางคืนนายกำปั่นจึงขอเรือกาบมาชักสลุบช่วงล่องลงไปห้ามมิให้ส่งเสียงดังพอพม่าถึงค่ายพม่าที่วัดเขมาก็ให้จดปืนรายแคมพร้อมกันทั้งสองข้างยิงค่ายพม่าทั้งสองฟากแม่น้ำ พม่าต้องปืนล้มตายลงเป็นอันมาก ทั้งลำบากแตกหนีออกทางหลังค่ายไป ครั้นเพลาเช้าขึ้น สลุบช่วงก็ถอยหนีขึ้นมาหาเรือกำปั่นใหญ่ ซึ่งทอดสมออยู่ ณ ตลาดขวัญ ฝ่ายพม่าก็รุกขึ้นมายึดค่ายเมืองนนทบุรี เอาไว้ได้อีก ครั้นเพลาค่ำลงก็ให้ชักสลุบช่วงล่องลงไปเช่นเดิม จุดปืนรายแรมยิงพม่าที่ค่ายวัดเขมาอีก คราวนี้พม่ารู้จึงหนีออกไปซุ่มอยู่ข้างหลังค่าย ฝ่ายอังกฤษและไทยเมื่อยิงปืนใส่ค่ายแล้ว ก็ลงกำปั่นขึ้นไปจะเก็บเอาข้าวของในค่าย ก็ถูกทหารพม่ากันกรูเข้ามาไล่ฟังแทง แตกหนีกระเจิงลงกำปั่นไป พม่าได้ตัดศีรษะล้าต้าของอังกฤษได้หนึ่งคน นำไปเสียบประจานไว้ที่หน้าค่าย ครั้นเพลาบ่ายของวันรุ่งขึ้น เรือกำปั่นของอังกฤษก็หนีออกท้องทะเลไปเสีย ไม่ยอมกลับมาสู้รบอีก และยอมทิ้งผ้าสุหรัดเอาไว้ถึง 40 มัด...”
และมีกล่าวในประวัติวัดอมฤตว่า สมัยอยุธยาพม่าได้ยกทัพมาถึงที่นี่ และเข้าปล้นสะดมภ์ชาวบ้านใน ชุนชนใกล้วัดและได้เข้ามาเก็บทรัพย์สินในวัดหมดแล้วยังเผาวัด เผากุฏิ ศาลาการเปรียญและอุโบสถ เก็บทรัพย์ สินไปจนพอใจแล้วจึงกลับไป วัดจึงมีชื่อเรียกว่า วัดไฟไหม้
หลักฐานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่าทหารพม่าได้มาตั้งค่ายทหารอยู่ที่วัดเขมา คือ การพบวัดร้างเป็นจำนวนมากอันเนื่องจากผู้คนอพยพทิ้งถิ่นฐานหนีทหารพม่าเข้าไปอยู่ในสวนลึกย่านบางกรวย บางใหญ่ ปัจจุบันวัดร้างบางวัดได้บูรณะให้มีสภาพเป็นวัดขึ้นมาใหม่ เช่น วัดกระโจมทอง วัดเชิงกระบือ วัดสังฆทาน วัดแดงประชาราษฏร์ วัดโบสถ์ดอนพรหม ฯ ส่วนวัดที่ยังมีสภาพเป็นวัดร้างอยู่ เช่น วัดโบสถ์ตลาดแก้ว วัดเพลง วัดสักน้อย เป็นต้น
4) ทหารพม่าตั้งด่านตรวจเรือแพที่เกาะเกร็ด ในปี พ.ศ.2310 ภายหลังจากกรุงศรีอยุธยาเสียเอกราชครั้งที่ 2 ทหารพม่าได้เข้ายึดหมู่บ้านเกาะเกร็ด ตั้งด่านบริเวณคลองลัดเกร็ดเพื่อตรวจจับเรือแพของคนไทยที่หนีมาจากกรุงศรีอยุธยา ปรากฏหลักฐานในหนังสืออภินิหารบรรพบุรุษว่า “...นายสุดจินดา (สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทพระอนุชาของรัชกาลที่ 1) เมื่อเดินทางหลบหนีออกจากกรุงศรีอยุธยาภายหลังกรุงแตกพร้อมเพื่อน 3 คนเพื่อไปพบหลวงยกกระบัตร (รัชกาลที่ 1) ที่เมืองราชบุรี ใช้เรือโกลนหนีพม่ามาทางบางไทรสีกุก เมืองสามโคก (ปทุมธานี) เข้าเขตเมืองนนทบุรี บันทึกว่า “...ภอมาถึงบางบัวทองในอ้อมเกร็จ ก็ภอสว่างในที่นั้น จึงได้ซ่อนนอนอยู่ในที่ลับๆ ครั้นค่ำลงก็ลงเรือโกลนล่องมาถึงเมืองธนบุรีที่วัดแจ้ง...” ที่ท่านไม่ล่องผ่านคลองลัดเกร็ด แต่กลับอ้อมไปทางคลองบางบัวทอง ซึ่งเป็นทางที่ไกลกว่า เนื่องจากบริเวณคลองลัดเกร็ดทหารพม่าได้เข้ายึดและตั้งด่านตรวจไว้อย่างแน่นหนา
5) พระเจ้าตากสินตั้งทัพระดมพลไปรบกอบกู้เอกราชที่กรุงศรีอยุธยา ในปี พ.ศ.2310 (เดือน 11 ปีกุน) ขณะที่กรุงศรีอยุธยาสูญเสียเอกราชแก่พม่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงนำทัพเรือ 100 ลำ ทหาร 5000 คนมาจากเมืองจันทบุรีเพื่อไปรบกอบกู้เอกราชกับทหารพม่า ที่กรุงศรีอยุธยาโดยเดินทางมาตามแม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม (คลองบางกอกน้อย – คลองอ้อม) ผ่านมาทางบางกรวย บางใหญ่ของเมืองนนทบุรี และได้แวะพักระดมพลที่วัดสัก (ริมคลองอ้อมและคลองเสาธงหิน บางใหญ่) เพราะเป็นทำเลที่เหมาะสมและเมืองนนทบุรีก็เป็นเมืองสำหรับระดมพลเพื่อการสงครามของกรุงศรีอยุธยามาแต่เดิม อีกทั้งยังมีผู้คนหลบหนีภัยทหารพม่าอยู่ตามสวนบางใหญ่บางกรวยเป็นจำนวนมากได้นำธงประจำทัพไปปักไว้เอาหินทับเสาธงไม่ให้ล้มให้ทหารมองเห็นธงเองจะเคลื่อนทัพออกเดินทาง การรบกอบกู้เอกราชครั้งนั้นประสพชัยชนะ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ของกรุงศรีอยุธยาได้ระยะหนึ่งจึงได้ทรงย้ายที่ตั้งราชธานีใหม่มาอยู่กรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงกลับมาบูรณ์วัดสัก และทรงเรียกนามวัดใหม่ว่า วัดเสาธงหิน