ตั้งเมืองนนทบุรีอยู่บริเวณปากคลองอ้อม บ้างบางศรีเมือง ฝั่งตะวันตก (ฝั่งขวา) แม่น้ำเจ้าพระยา เป็นประธานหัวเมืองปักษ์ใต้ (หรือปากใต้- หมายถึงหัวเมืองใกล้ทะเลหรือชายทะเล ได้แก่ นนทบุรี ธนบุรี นครชัยศรี สาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี ราชบุรีและสมุทรปราการ) ขึ้นกับกรมท่า มีชื่อว่า เมืองนนทบุรีศรีมหาสมุทร รัชกาลที่ 4 เปลี่ยนชื่อเมืองใหม่ว่า เมืองนนทบุรีศรีมหาอุทยาน และ เมืองนนทบุรีศรีเกษตราราม ตามลำดับ และรัชกาลที่ 5 ย้ายที่ตั้งเมืองมาอยู่ที่ด้านใต้ปากคลองบางซื่อ บ้านตลาดขวัญ ฝั่งตะวันออก (ฝั่งซ้าย) แม่น้ำเจ้าพระยา ดังเดิมขึ้นตรงกับมณฑลกรุงเทพ และเริ่มมีที่ทำการศาลากลางจังหวัดเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก รัชสมัยรัชกาลที่ 8 เริ่มมีถนนเส้นคมนาคมทางบกเป็นครั้งแรก คือ ถนนประชาราษฏร์ ได้รับการประกาศตั้งเป็นจังหวัดนนทบุรีครั้งสุดท้าย เมื่อวัน พฤษภาคม พ.ศ.2489 ตราประจำจังหวัด คือรูปหม้อน้ำลายวิจิตร
1.พัฒนาการของเมือง ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์มีรายละเอียดต่อไปนี้
1)พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1
(1) วัดชมภูเวกทำเครื่องรางของขลังนมยามสงคราม วัดชมภูเวก ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรีเป็นวัดของชาวไทยรามัญมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย ได้รับพระอุปถัมภ์จากรัชกาลที่ 1 รัตนโกสินทร์ มีความเจริญรุ่งเรืองมากเป็นศูนย์กลางชาวไทยรามัญ เมื่อถึงเทศกาลต่างๆชาวไทยรามัญจากหัวเมืองต่างๆ พากันเดินทางทำบุญและได้พักอาศัยอยู่เป็นเวลานานๆ หลวงพ่อฟ้า (ชื่อจริงไม่ปรากฎ) มีเชื้อเจ้ารามัญเป็นเจ้าอาวาสเคร่งครัดในด้านวิปัสสนา เป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่รัชกาลที่ 1 ทรงให้ความนับถือเป็นอย่างมาก มีบทบาทดังนี้ การทำพิธีปลุกเสกเครื่องรางของขลังให้ทหารในยามสงคราม เมื่อมรณภาพลง ก็ได้รับพระราชทานไฟหลวงในการพระราชทานเพลิงศพด้วย
(2) ชาวมุสลิมเมืองปัตตานีเข้ามาตั้งถิ่นฐาน พ.ศ 2332 รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้า ฯ ให้ยกกองทัพไทยปราบปรามหัวเมืองปักษ์ใต้ที่เป็นกบฏ ตีเมืองปัตตานีจึงกวาดต้อนชาวมุสลิม เมืองปัตตานีเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่ บ้านท่าอิฐ อำเภอปากเกร็ด
2) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2
(1) ชาวมอญอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ปี พ.ศ.2357 ชาวมอญเมืองเมาะตะมะเป็นกบฏ ต่อพม่า พม่าปราบปราม ชาวมอญสู้ไม่ได้ มีสมิงสอดเบา สมิงมะโด๊ด สมิงมะทอ และสมิงมะกาว เป็นหัวหน้า พาครัวมอญมาพึ่งไทยเป็นจำนวนมากไทยจัดทัพไปรับ 3 ทางคือ
1 เมืองตาก ให้เจ้าพระยาอภัยภูธร (น้อย) สมุหนายกเป็นแม่ทัพออกไปรบ
2 เมืองอุทัยธานีให้เจ้าเมืองอุทัยธานีเป็นแม่ทัพออกไปรับ
3 เมืองกาญจนบุรี ให้เจ้าฟ้ามงกุฎ (รัชกาลที่ 4 ) ขณะทรงมีพระชนมพรรษา 13 พรรษา เป็นแม่ทัพออกไปรับ มีกรมหลวงพิทักษ์มนตรี (จุ้ย) เป็นพระพี่เลี้ยง
ทัพทั้งสามได้พาชาวมอญเดินทางเข้ามาถึงกรุงเทพ ฯ ในปี พ.ศ.2358 สำรวจจำนวนได้ 30000 คนเศษ นับเป็นการอพยพครั้งที่มากที่สุดของชาวมอญ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เข้ามาตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ที่ ปากเกร็ด(เมืองนนทบุรี) เมืองปทุมธานี เมืองนครเขื่อนขันธ์ และเมืองสมุทรสาคร (มหาชัย บางปลา บางกระดี่ บ้านแพ้ว) สมิงสอดเบา ได้เป็นพระยารัตนจักร เจ้าเมืองปทุมธานี สมิงมะโด๊ด สมิงมะทอและสมิงมะกาว (เป็นพี่น้องกันทั้ง 3 คน) ให้นำชาวมอญไปตั้งบ้านเรือนอาศัยอยู่ที่เมืองนครเขื่อนขันธ์และเมืองสมุทรสาคร เรียกว่ามอญใหม่
(2) การบูรณะวัดเขมา ปี พ.ศ.2371 สมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 2 (เรียกขานนามเป็นสามัญว่า สมเด็จพระพันวสา) ทรงบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ สร้างเจดีย์ทิศวัดเขมาภิรตาราม อีกทั้งขอวัดเขมาภิรตารามเข้ามาอยู่ในพระบรมรชินูปถัมภ์ด้วย
3) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาเจษฏาราชเจ้า รัชกาลที่ 3 ครองราชสมษัติระหว่าง ปี พ.ศ.2367-2394 เมืองนนทบุรีมีความผูกพันและใกล้ชิดกับพระองค์มาก อันเนื่องจากสมเด็จพระศรีสุลาลัย พระบรมราชชนนีในพระองค์ ทรงเป็นพระธิดาของพระนนทบุรี(จัน-บุญจัน) ผู้ว่าราชการเมืองนนทบุรี ตั้งบ้านเรือนอยู่บริเวณวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหารในปัจจุบัน พระราชทรัพย์แห่งนี้จึงเป็นมรดกตกทอดของพระองค์
1. ชาวมอญอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ปี พ.ศ. 2367 เป็นปีที่ 1 ในรัชกาลที่3 พระยารามัญเป็นหัวหน้าอพยพชาวมอญ จำนวน 3000 คนเศษ หนีพม่าเข้ามาขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารที่ทุ่งหลุม แขวงเมือง
2. สร้างวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร ปี พ.ศ. 2390 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นในบริเวณบ้านเดิมของพระอัยกา พระอัยกี อันเป็นสถานที่ประสูติของพระบรมราชชนนี ที่บริเวณป้อมทับทิม ปากคลองอ้อม ฝั่งตะวันตก (ฝั่งขวา) แม่น้ำเจ้าพระยา ที่ตั้งเมืองนนทบุรี เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ พระอัยกา พระอัยกี และพระราชชนนีในพระองค์ อีกทั้งตามหลักพระพุทธศาสนาการยกบ้านของตนให้เป็นวัดด้วยความศรัทธาถือว่าได้มหากุศลอย่างยิ่ง ใหญ่ (ได้ทรงมีพระจริยวัตรเช่นเดียวกับสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง กรุงศรีอยุธยาที่ทรงสร้างวัดไชยวัฒนารามในบริเวณที่เป็นบ้านเดิมของพระราชชนนี) พระราชทานนามวัดนี้ว่า วัดเฉลิมพระเกียรติ ลักษณะเด่นของวัดคือมีกำแพงใหญ่รอบวัดมีลักษณะเช่นเดียวกับกำแพงพระบรมมหาราชวังซึ่งพบที่วัดนี้แห่งเดียวในประเทศไทย ศิลป กรรมของศาสนสถานได้แก่ พระอุโบสถ พระวิหาร การเปรียญหลวง เป็นศิลปะไทยปนจีน หน้าบันมีความงดงามมากที่สุดในบรรดาวัดที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น และยังเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมส่งทัพขึ้นไปรบทางเหนือของพระมหากษัตริย์ ในรัชสมัยต่อมา
3. ชาวไทยมุสลิมเมืองไทรบุรีเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ครั้งรัชกาลที่ 3 ทรงยกทัพไปปราบกบฎหัวเมืองปักษ์ใต้ตีเมืองไทรบุรีได้ มีชาวมุสลิมเมืองไทรบุรีขอร่วมเดินทางมาพร้อมกับกองทัพ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งบ้านเรือนที่ บ้านท่าอิฐ บ้านบางบัวทอง เมืองนนทบุรี
4) พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4
1.) เปลี่ยนชื่อเมืองนนทบุรี เดิมเมืองนนทบุรีมีชื่อเป็นทางราชการว่า เมืองนนทบุรีศรีมหาสมุทร รัชการที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อมาเป็น เมืองนนทบุรีศรีมหาอุทยาน ตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองคือ พระนนทบุรีศรีมหาอุทยาน ต่อมาเปลี่ยนชื่อมาเป็น เมืองนนทบุรีศรีเกษตราราม ตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองคือ พระนนทบุรีศรีเกษตราราม
2.) การบูรณะวัดเขมา ปี พ.ศ. 2394 รัชการที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้บูรณปฏิสังขรณ์ สร้างพระมหาเจดีย์ อัญเชิญพระพุทธรูปโลหะจากพระราชวังจันทร์เกษม พระนครศรีอยุธยา มาประดิษฐานหลังพระประธานในพระอุโบสถ และพระราชทานนามต่อท้ายชื่อวัด ว่า เขมาภิรตาราม
3.) สร้างวัดยุคันธราวาส ปี พ.ศ. 2410 รัชการที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระสังฆราช (สาปุสสเทว) นำวัสดุที่เหลือจากการสร้างวัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม กรุงเทพฯ มาสร้าง วัดยุคานธร ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น วัดยุคันธราวาส ในบริเวณสวนผลไม้ตำบลบางเลน อำเภอ บางใหญ่ เพื่อให้เป็นวัดทำพิธีปริวาสกรรมของพระสงฆ์ ฝ่ายธรรมยุติ (ปริวาสกรรม คือ พระสงฆ์ที่ต้อาอาบัติสังฆทิเสสทำตนให้บริสุทธิ์)
4.) ขุดคลองขึ้นใหม่ รัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองขึ้นใหม่ผ่านทางตอนใต้เมืองนนทบุรีในเขตอำเภอบางกรวย ชื่อว่า คลองมหาสวัสดิ์ เพื่อเป็นเส้นทางเดินทางไปนมัสการพระปฐมเจดีย์ เมืองนครปฐม
5) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชการที่ 5
เมืองนนทบุรีขึ้นอยู่กับมณฑลกรุงเทพฯ แบ่งการปกครองออกเป็น 4 อำเภอ ได้แก่ อำเภอตลาดขวัญ บางใหญ่ บางบัวทอง และปากเกร็ด
1.) ย้ายที่ตั้งเมืองมาอยู่ที่บ้านตลาดขวัญดังเดิม รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายที่ตั้งเมืองนนทบุรีจากฝั่งตะวันตก (ฝั่งขวา) แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณปากคลองอ้อม บ้านบางศรีเมือง กลับมาอยู่ที่ฝั่งตะวันออก(ฝั่งซ้าย) แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณปากคลองบางซื่อใต้ บ้านตลาดขวัญ ดังเดิม ได้ตั้งศาลากลางจังหวัดขึ้นเป็นครั้งแรก ภายในบริเวณที่ตั้งศาลากลางจังหวัด ได้ตั้งโรงศาล หอทะเบียนที่ดิน ปัจจุบันได้ดัดแปลงหอทะเบียนเป็นโรงเรียนเทศบาล 1 วัดท้ายเมือง และเป็นที่ตั้งสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตนนทบุรี
2.) ขุดคลองขึ้นใหม่ 2 คลอง รัชการที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองขึ้นใหม่ในพื้นที่เมืองนนทบุรีเขตอำเภอไทรน้อย อำเภอบางใหญ่และอำเภอบางกรวย ได้แก่ คลองนราภิรมย์ คลองทวีวัฒนา เพื่อเป็นเส้นทางคมนาคม ระหว่างเมืองนนทบุรีกับเมืองนครไชยศรี และเพิ่ม แหล่งน้ำทางการเกษตร
3.) การบูรณะวัดปากอ่าว ปี พ.ศ. 2418 รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะวัดปากอ่าว เกาะเกร็ด อำเภอปากเกร็ด ซึ่งเป็นวัดมอญ และเป็นวัดเก่าสร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา เพื่ออุทิศถวายแด่พระเจ้าบรมมหัยยิกาเธอ กรมสมเด็จพรสุดารัตนราชประยูร (สมเด็จยาย) พระราชทานนามให้ใหม่ว่า วัดปรมัยิกาวาส
4.) การสร้างมัสยิดบ้านตลาดขวัญ ปี พ.ศ.2423 ย่าหยา ปัจจุบันเรียกว่า คุณยายหยา (อัลมัรฮูมะฮ์คุณยายหยา)พระนาและพระพี่เลี้ยงในรัชกาลที่ 5 เชื้อสายไทยมุสลิมบ้านตลาดขวัญ เป็นภริยาพระสยามิธิการภักดี (มูฮำหมัดอะลี) ชาวเมืองชาม ประเทศซีเรีย (เข้ามาอยู่ประเทศไทยมีส่วนช่วยเหลือราชการทางการค้า) ได้สร้างมัสยิดขึ้นที่บ้านตลาดขวัญ ลักษณะคล้ายใบตุ้ลเลาะฮ์ นครเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ลวดลายทั้งภายในภายนอกเป็นความนิยมของชาวเมืองชาม เมื่อแรกสร้างเรียกชื่อว่า มัสยิดบ้านตลาดขวัญ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อใหม่ว่า มัสยิดบางกระสอ และปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นภาษาอาหรับว่า มัสยิดฮิตาย่าตุ้ลอุมามะฮ์
5.) การซื้อที่ดินเตรียมสร้างเรือนจำมหันตโทษ ปี พ.ศ.2445 รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯให้กระทรวงยุติธรรมและกระทรวงนครบาลจัดซื้อที่ดิน 550 ไร่ ที่บ้านบางขวาง ตำบลบางตะนาวศรี (ปัจจุบันคือ ตำบลสวนใหญ่) อำเภอเมืองนนทบุรีเพื่อสร้างเรือนจำมหานตโทษกลาง แต่ยังไม่ทันสร้างสำเร็จ
6.) การเสด็จประพาสต้นเมืองนนทบุรี ปี พ.ศ.2447 รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสต้นเมืองนนทบุรี ประพาสสวนสะท้อนนายบุตรที่คลองอ้อม (แม่น้ำเจ้าพระยาสายเดิม) ตำบลบางกร่าง อำเภอเมืองนนทบุรี ซึ่งสะท้อนกำลังออกลูกสุกพอดีจึงเป็นที่พอพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง และประทับแรมคืนที่หน้าวัดเขมาภิรตารามราชวรวิหาร ให้ศาลาท่าน้ำวัดเขมาภิรตารามราชวรวิหารเป็นท้องพระโรง
7.) การเสด็จฯ มาประทับแรมคืนวัดบ้านใหม่ อำเภอบางใหญ่ ปี พ.ศ. 2450 รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จฯ มาประทับแรมที่วัดบ้านใหม่ ริมคลองบางใหญ่ ตำบลบางใหญ่ อำเภอบางใหญ่ ด้วยทรงโปรดอัธยาศัยของพระอาจารย์ ฮวนเจ้าอาวาส (รูปที่ 10) และพระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดเอนกดิษฐาราม” มีความหมายว่า วัดสร้างขึ้นมาด้วยกำลังของสาธุชนหลายคน
6) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6
เมืองนนทบุรี แบ่งการปกครองออกเป็น 4 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ ได้แก่ อำเภอตลาดขวัญ บางใหญ่ บางบังทอง ปากเกร็ด และกิ่งอำเภอบางแม่นาง
1.) ตั้งโรงเรียนราชวิทยาลัย กระทรวงยุติธรรม ปี พ.ศ.2454 รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯให้แบ่งที่ดินที่รัชกาลที่ 5 ทรวงจัดชื้อไว้ที่บ้านบางขวาง ตำบล ตะนาวศรี (ปัจจุบันคือ ตำบลสวนใหญ่) อำเภอเมืองนนทบุรี มาประมาณ 1 ใน 3 ของที่ดินที่จัดชื้อไว้ เพื่อสร้างโรงเรียนราชวิทยาลัย ของกระทรวงยุติธรรมเป็นโรงเรียน กินนอน (โรงเรียนประจำ) เน้นการสอนด้านภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นการเตรียมให้เรียนวิชากฎหมาย และจะได้ผู้พิพากษาที่มีความรู้ดีด้านภาษาอังกฤษ ซึ่งกำลังขาดแคลนมากในขณะนั้น
2.) การสร้างทางรถไฟ ของเอกชน ปี พ.ศ. 2458 เจ้าพระยาวรพงษ์พิพัฒน์ (ม.ร.ว. เยาน อิศรเสนา) ได้สร้างทางรถไฟสายแรกของเอกชน ชาวบ้านเรียกว่า ทางรถไฟเจ้าพระยาวรพงษ์ แล่นระหว่างธนบุรี จังหวัด นนทบุรี จังหวัดปทุมธานี และบ้านเจ้าเจ็ด อำเภอเสนาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่สร้างได้ถึงอำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานีเท่านั้น โดยต้นทางเริ่มจาบริเวณวัดบวรมงคล (วัดลิงขบ) บางยี่ขัน ธนบุรี ผ่านสวนข้ามคลองบางกรวย ไปท่าน้ำนนทบุรีฝั่งตะวันตก แม่น้ำเจ้ากรพยาที่บ้านวัดตึก ไปบางใหญ่ บางบัวทอง ลาดหลุมแก้ว เพื่อประโยชน์ทั้งการโดยสารและการบรรทุกสินค้าข้าว
รูปอาคารโรงเรียนราชวิทยาลัย ของพระทรวงยุติธรรม เน้นการสอนภาษาอังกฤษเพื่อเตรียมให้เป็นนักกฎหมายที่มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษ ปัจจุบันคืน อาคารศาลากลางจังหวัดนนทบุรีหลังเก่า
3.) ระงับการก่อสร้างเรือนจำมหันตโทษกลางที่บ้านบางขวาง ปี พ.ศ. 2462 รัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้ระงับการก่อสร้างเรือนจำมหันตโทษกลางที่บ้านบางขวาง เนื่องมาจากประสบปัญหาทางการเงิน
4.) สร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรกของประเทศไทย “สะพานพระราม 6” สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2465 แล้วเสร็จใน ปี พ.ศ.2469 เป็นสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแห่งแรกของประเทศไทย มีทั้งทางรถไฟและรถยนต์ เชื่อมระหว่างอำเภอบางกรวยกับกรุงเทพฯ และอำเภอเมืองนนทบุรี (ปัจจุบันคือ สะพานพระราม 7)
7) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7
เมืองนนทบุรี แบ่งการปกครองออกเป็น 5 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองนนทบุรี บางกรวย (เดิมชื่อ บางใหญ่) บางบัวทอง ปากเกร็ด และบางใหญ่ (เดิมชื่อ กิ่งอำเภอบางแม่นาง)
1.) ยุบโรงเรียนราชวิทยาลัย กระทรวงยุติธรรม ปี พ.ศ. 2469 รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้ยุบโรงเรียนราชวิทยาลัย และโอนนักเรียนไปรวมกับโรงเรียนวชิราวุธที่กรุงเทพฯ เนื่องจากเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
2.) ย้ายที่ทำการศาลากลางจังหวัดนนทบุรีมาอยู่ที่อาคารโรงเรียนราชวิทยาลัย ปี พ.ศ. 2471 รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายที่ทำการศาลากลางจังหวัดนนทบุรีจากบ้านตลาดขวัญ ปากคลองบางซื่อใต้ มาอยู่ที่อาคารโรงเรียนราชวิทยาลัย บริเวณท่าน้ำนนทบุรี
3.) สร้างเรือนจำมหันตโทษกลางที่บ้านบางขวาง ปี พ.ศ.2474 รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯให้สร้างเรือนจำมหันตโทษกลางจนแล้วเสร็จเป็นที่เรียบร้อย ปัจจุบันมีชื่อเรียกว่า เรือนจำกลางบางขวาง
8) พระบางสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอนันทมหิดล รัชกาลที่ 8
เมืองนนทบุรีแบ่งการปกครองออกเป็น 5 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองนนทบุรี บางกรวย บางบัวทอง ปากเกร็ด บางใหญ่ และกิ่งอำเภอไทรน้อย
1.) เลิกกิจการทางรถไฟสายเอกชน (ทางรถไฟเจ้าพระยาวรพงษ์) ภายหลังน้ำท่วมใหญ่ ปี พ.ศ
2485 ทางรถไฟสายเอกชนของเจ้าพระยาวรพงษ์พิพัฒน์ (ม.ร.ว. เย็น อิศรเสนา) ที่ชาวบ้านเรียกว่า ทางรถไฟ เจ้าพระยาวรพงษ์ ได้หยุดการเดินรถไฟ เพราะทางรถไฟได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมใหญ่
2.) ชาวกรุงเทพฯ และธนบุรีอพยพหนีภัยสงครามเข้ามาอยู่พื้นที่จังหวัดนนทบุรี ปี พ.ศ. 2486 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกในประเทศไทย ได้เข้ามาตั้งกองบัญชาการทหารที่กรุงเทพฯ ดังนั้นกรุงเทพฯ จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของการเข้าโจมตีทางอากาศของทหารฝ่ายสัมพันธมิตรประชาชนชาวกรุงเทพฯ และธนบุรีได้พากันอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ตามสวนผลไม้นาเขตตำบลบางเขน อำเภอเมืองนนทบุรี และตำบลบางกรวย ตำบลมหาสวัสดิ์ ตำบลบางขุนกอง อำเภอบางกรวย เป็นจำนวนมากนอกจากนี้ยังมีกรมชลประทานและโรงพยาบาลศิริราชอพยพผู้ป่วยเข้ามาตั้งเต็นท์อยู่ที่ศาลากลางจังหวัดหลังเก่า กรมศาสนาอพยพมาอยู่ที่วัดชลอ อำเภอ บางกรวย ทำให้ชาวเมืองนนทบุรีได้เรียนรู้วัฒนธรรม และสังคมเมืองมากขึ้น
3.) ตัดถนนสายแรก ปี พ.ศ. 2486 รัฐบาลสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี (ชาวจังหวัดนนทบุรี) ได้ตัดถนนรถยนต์ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา เชื่อมระหว่างจังหวัดนนทบุรีกับกรุงเทพฯ ขึ้นเป็นสายแรกมีชื่อเรียกว่า“ถนนประชาราษฎร์” และตัดถนนเลียบฝวั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเชื่อมระหว่างจังหวัดนนทบุรีกับกรุงเทพฯ ขึ้นเป็นสายที่ 2 มี ชื่อว่า“ถนนพิบูลสงคราม” แต่มาสำเร็จใช้เดินรถยนต์ ได้ในรัชสมัยรัชกาลที่ 9
4.) ประกาศยุบการปกครองจังหวัดนนทบุรี เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2486 ได้มีพระราชบัญญัติยุบการปกครองจังหวัดนนทบุรี ให้อำเภอนนทบุรี ปากเกร็ดไปรวมกับจังหวัดพระนคร (ปัจจุบันคืน กทม.) ให้อำเภอบางกรวย บางใหญ่ บางบัวทอง (กิ่งอำเภอ ไทรน้อย อยู่ในเขตการปกครองอำเภอบางบัวทอง) ไปรวมกับจังหวัดธนบุรี (ปัจจุบัน คือ กทม.)
5.) ประกาศตั้งจังหวัดนนทบุรีขึ้นใหม่ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489 ได้มีพระราชบัญญัติตั้งจังหวัดนนทบุรีขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง แบ่งการปกครองออกเป็น 5 อำเภอ 1 กิ่งอำเภอ (ต่อมาในวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2499 ได้มีพระราชกฤษฎีกา ยกฐานะกิ่งอำเภอไทรน้อยขึ้นเป็น อำเภอไทรน้อย การปกครองจึงแบ่งออกเป็น 6 อำเภอ)ตราประจำจังหวัดเป็นภาพหม้อน้ำลายวิจิตร มีความหมายว่า ชาวจังหวัดนนทบุรีมีอาชีพทำเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งยึดถือเป็นอาชีพและมีชื่อเสียงมาช้านาน
9) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9
เมืองนนทบุรี แบ่งการปกครองออกเป็น 6 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองนนทบุรี บางกรวย บางบัวทอง ปากเกร็ด บางใหญ่ และไทรน้อย เป็นจังหวัดในเขตปริมณฑลกรุงเทพมหานคร ได้มีการพัฒนาบ้านเมืองมากที่สุดในสมัยที่จอมพลประภาส จารุเสถียร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสอาด ปายะนันทน์ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ได้แก่ การขจัดแหล่งเสื่อมโทรม สร้างเมืองใหม่ในอำเภอเมืองนนทบุรี บางบัวทอง ปากเกร็ด ตัดถนนบางกรวย ไทรน้อย (ถนนสายแรกทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา) ถนนอีกหลายสิบสายในแหล่งชุมชน สร้างพิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติ สร้างห้องสมุดประชาชน สร้างค่ายลูกเสือ สร้างสนามกีฬา สร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กหน้าศาลากลางจังหวัดหลังเก่า ติดตั้งไฟฟ้าสาธารณะ ขุดลอกคลอง ปรับปรุงการเดินรถประจำทางฯลฯ
1.) สร้างพระตำหนังนนทบุรี สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทองสร้างพระตำหนักนนทบุรีเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ที่ถนนสนามบินน้ำ (ถนนนนทบุรี 1) ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี
2.) ย้ายที่ตั้งศาลากลางจังหวัดนนทบุรีมาอยู่ที่ถนนรัตนาธิเบศร์ วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2535 ย้ายที่ทำการศาลากลางจังหวัดนนทบุรีมาตั้งที่ถนนรัตนาธิเบศร์ ตำบลบางกระสอ อำเภอเมืองนนทบุรี จัดให้เป็นศูนย์ราชการ (ให้หน่วยงานราชการทุกหน่วยงานมาตั้งอยู่รวมกันภายในบริเวณที่ทำการศาลากลางจังหวัด)เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ติดต่อราชการและเป็นศาลากลางจังหวัดแห่งเดียวในประเทศไทยที่ได้จัดห้องทรงงานสำหรับสมเด็จพระบรมโอรสาธราชฯสยามมกุฎราชกุมาร จึงทำให้ได้รับรางวัล “ศาลากลางจังหวัดตัวอย่าง ประจำปี 2535” ของกระทรวงมหาดไทย
3.) ตั้งสถานีควบคุมดาวเทียมไทยคม ปี พ.ศ. 2537 บริษัทชินวัตรแซทเทลไลท์ จำกัด ได้รับการสัมปทานดำเนินกิจการดาวเทียม (สื่อสาร) เชิงพาณิชย์จากกระทรวงคมนาคม ตั้งสถานีควบคุมภาพื้นดินบังคับการใช้งานดาวเทียมไทยคม (ชื่อพระราชทาน) ดาวเทียมสื่อสารดวงแรกของประเทศไทยภายหลังจากที่ส่งดาวเทียมเข้าสู่ตำแหน่งวงโครจร เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ที่ประเทศเฟรนซ์กิอานา ทวีปอเมริกาใต้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จฯเปิดสถานีเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2537 ตั้งอยู่เลขที่ 41/103 ถนนรัตนาธิเบศร์ ตำบลบางกระสอ อำเภอเมืองนนทบุรี ฝั่งตรวกันข้ามกับศูนย์ราชการจังหวัดนนทบุรี
4.) ตั้งหน่วยราชการของการบริหารราชการส่วนกลาง ระดับกระทรวง 2กระทรวง ได้แก่
(1) กระทรวงสาธารณสุข ย้ายมาจาก กทม. ตั้งอยู่ที่ทุ่งศรีธัญญา ถนนติวานนท์ ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมืองนนทบุรี
(2) กระทรวงพาณิชย์ ย้ายมาจาก กทม. ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกแม่น้ำเจ้ากระยา ถนนสนามบินน้ำ (ถนนนนทบุรี 1) ตำบลบางกระสอ อำเภอเมืองนนทบุรี
(3) สะพานพระราม 7 สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2535 เป็นสะพานคู่ขนานกับสะพานพระราม 6 เนื่องจากสะพานพระราม 6 วัสดุการก่อสร้างได้หมดอายุการใช้งาน เชื่อมระหว่างอำเภอบางกรวยกับกรุงเทพฯ และอำเภอเมืองนนทบุรี
5.) สร้างอุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก อุทยานทางน้ำแห่งแรกของประเทศไทยปีพ.ศ.2539
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เป็นพระมหากษัตริย์ ไทยพระองค์แรงที่ทรงครองสิริราชสมบัติยาวนานมากที่สุด นายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรี (คนที่ 21) นายสุจริต ปัจฉิมนันท์ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี ได้จัดสร้างอุทยานเฉลิมกาญจนาภิเษก อุทยานทางน้ำแห่งแรกของประเทศไทยขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้ากพระยาฝั่งตะตัวตก ใกล้เคียงกับวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร บ้านบางศรีเมือง ตำบลบางศรีเมือง อำเภอเมืองนนทบุรี ขนาดเนื้อที่ 102-3-51 ไร่ (ที่ดินราชพัสดุ 15-0-17 ไร ที่ดินวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหาร 12-1-95 ไร และที่ดินจัดชื้อ 75-1-39 ไร่) งบประมาณ การก่อสร้าง 938 ล้านบาท เพื่อสนองแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีพระราชประสงค์ให้จัดสวนสาธารณะสำหรับประชาชนใช้พักผ่อนลักษณะเป็นสวนน้ำ สวนรูปแบบไทยแห่งแรก เป็นศูนย์รวบรวมพันธุ์ไม้น้ำ ไม้ชายน้ำ เช่นมะเดื่อ มะดัน มะปริง กุ่มน้ำ หว้า อินทนิลน้ำ ทองหลางสนุน มะกอกน้ำ เตย ชุมเห็ดเทศ เต่าร้าง ชบา ขิง พุทธรักษา ธรรมรักษา โมก บัว กระจับ กก โสน เผือก บอน บุก ผักบุ้ง ผักกะเฉด และอนุรักษ์พืชสวนเดิมของชาวนนทบุรี เช่น ทุเรียน กระท้อน มังคุด มะปราง มะไฟ มะม่วง ชมพู่ ส้มโอ ส่วนสิ่งก่อสร้างอื่น ๆ ได้แก่ ท่าเทียบเรือพระที่นั่ง ท่าเทียบเรือสำหรับประชาชน อาคารเฉลิมพระเกียรติ อาคารหมู่เรือนไทย (เพื่อเป็นที่ประทับพักผ่อนพระอิริยาบทในกรณีที่เสด็จพระราชดำเนินมาวัดเฉลิมพระเกียรติวรวิหารในพระราชพิธีต่าง ๆ และในวโรกาสอื่นตามอัธยาศัย) เวทีกลางแจ้ง อัฒจันทร์ชมทัศนีย์ภาพริมน้ำหรือกิจกรรมทางน้ำ สระน้ำขนาดใหญ่ เกาะริมน้ำเจ้าพระยา สวนไม้ดอกไม้ประดับ แนวคลองภายใน อาคารสำนักงานส่วนบริการและลานจอดรถ การก่อสร้างแล้วเสร็จและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์พระประธานในพิธีเปิดเมื่อเดือนธันวาคม 2542
6.) สร้างศูนย์เยาวชนเฉลิมพระเกียรติ ปี พ.ศ. 2539 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เทศบาลนครนนทบุรีได้น้อมเกล้าฯ เฉลิมฉลองปีมหามงคลด้วยการสร้างศูนย์เยาชนเฉลิมพระเกียรติขึ้นเนื้อที่ขนาด 16-2-97 ไร่ ของการเคหะแห่งชาติ หมู่บ้านประชานิเวศน์ 2 ส่วนที่ 1 ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี เพื่อสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตแก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป จากเงินงบประมาณ ปี 2539 สร้างอาคารอเนกประสงค์ทั้งสิ้น 12,400,000.- บาท (กรมการปกครอง 4,096,0010.- บาทเทศบาลนครนนทบุรี 8,304,000.-บาท) และงบประมาณปี 2540 สร้างสนามฟุตบอลพร้อมลู่วิ่ง อัฒจันทร์ และโรงยิมมาตรฐาน ของกรมพลศึกษา
7.) สร้างสนามแข่งขันกีฬาเอเซี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 ระหว่างวันที่ 6-20 ธันวาคม พ.ศ.2541 จังหวัดนนทบุรีได้รับมอบหมายให้สร้างสนามกีฬาจัดการแข่งขันกีฬาเอเซี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 ที่หมู่บ้านเมืองทองธานี ตำบลบางพูด อำเภอปากเกร็ด แข่งขันกีฬาหลายประเภท ได้แก่ มวยสากลสมัครเล่น เทนนิส สนุกเกอร์ แบดมินตัน และยิมนาสติก