จังหวัดนนทบุรี มีการขับเคลื่อนงานพัฒนาขององค์กรชุมชนด้านต่าง ๆทั้งในเชิงพื้นที่ และเชิงประเด็น (ระดับจังหวัด) เริ่มตั้งแต่มีกองทุนเพื่อสังคมและหลังกองทุนเพื่อสังคมได้ปิดองค์กรลง ได้มีการเตรียมการจัดตั้งองค์กรใหม่เริ่มมาตั้งแต่เดือนตุลาคม 2537 เมื่อหน่วยงานพัฒนาหลายฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ประชุมระดมความคิดเห็นหาแนวทางที่เหมาะสมในการจัดตั้งองค์กรเพื่อทำหน้าที่สนับสนุนการพัฒนาชุมชนให้เข้มแข็ง เพื่อเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ ต่อมาเมื่อเดือนฤศจิกาย 2538 กระทรวงการคลังและภาคีที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมจัดทำแผนการเงินและการคลังเพื่อสังคมขึ้นภายใต้มาตรการสนับสนุนการพัฒนาองค์กรชุมชนให้ครอบคลุมทั้งภาคเมืองและภาคชนบททั้งนี้ มาตรการสำคัญประการหนึ่งที่เห็นชอบร่วมกันคือ “การจัดตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาองค์กรชุมชน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นสถาบันกลางทาง การเงินและการพัฒนาที่มีบทบาทในการสนับสนุนการจัดตั้งและพัฒนาองค์กรชุมชน โดยมีข้อเสนอให้รวม 2 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาชุมชนเมือง การเคหะเเห่งชาติ และสำนักงานกองทุนพัฒนาชนบท สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ เเละสังคมเเห่งชาติ เข้าด้วยกันซึ่งเป็นวิธีการที่สะดวกเพราะมีทุน กลไกการดำเนินงานและบุคลากรอยู่แล้ว
การดำเนินการเพื่อจัดตั้งองค์กรใหม่เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ช่วงปี 2538-2543 ได้มีการประชุม สัมมนาผู้เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ องค์กรชุมชนเมืองและชนบท องค์กรพัฒนาเอกชน ผู้ทรงคุณวุฒิ รวมถึง 8 เวที มีหน่วยงานร่วมระดมความคิดเห็นถึง 101 องค์กร จนได้ข้อสรุปให้มีการจัดตั้งองค์กรเพื่อสนับสนุนกระบวน การพัฒนาและสนับสนุนการเงินให้เเก่องค์กรชุมชนในรูปแบบองค์การมหาชน โดยใช้ชื่อ "สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.)" ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง พอช.ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีสมัยนายกรัฐมนตรีบรรหาร ศิลปอาชา ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2539 และได้นำทูลเกล้ารอลงพระปรมาภิไธย แต่ต้องสะดุดหยุดลงเนื่องจากการปรับเปลี่ยนรัฐบาลช่วงกลางปี 2540 คณะรัฐมนตรีรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง พอช.และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาอีกครั้งเมื่อเดือนกันยายน 2540 จากการจัดประชุมผู้ที่เกี่ยวข้องเห็นว่าวัตถุประสงค์การจัดตั้งควรมุ่งเน้นการพัฒนาองค์กรชุมชนเป็นหลัก การให้บริการสินเชื่อควรเป็นวัตถุประสงค์รอง พอช.ควรเป็นองค์กรประสานงานด้านการพัฒนาชุมชนกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วให้เข้าถึงชุมชนอย่างแท้จริง ซึ่งขอบเขตงานดังกล่าวไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานใด อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากได้ข้อสรุปดังกล่าวก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลอีกครั้งจึงไม่ได้เสนอกลับไปยังคณะรัฐมนตรี
จนกระทั่งถึงรัฐบาลนายกรัฐมนตรีชวน หลีกภัย คณะทำงานร่วมองค์กรชุมชนและองค์กรพัฒนาเอกชนที่ได้ติดตามการจัดตั้งพอช.มาโดยตลอดเห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งให้มีการจัดตั้งหน่วยงานเพื่อช่วยส่งเสริมความเข้มแข็งขององค์กรชุมชน จึงได้เข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งกระทรวงการคลังเห็นด้วยในหลักการและส่งหนังสือยืนยันการจัดตั้ง พอช.ไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) สคก.ได้พิจารณาตรวจร่างพระราชกฤษฎีกาฯแล้วเสร็จในและส่งไปให้สำนักเลขาธิการ ครม. เมื่อเดือนเมษายน 2542 สำนักเลขาธิการ ครม. ได้ส่งเรื่องกลับไปให้กระทรวงการคลังยืนยันการจัดตั้งอีกครั้ง และสอบถามความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในที่สุดกระทรวงการคลังสรุปว่ามีความจำเป็นที่ต้องจัดตั้ง พอช. และควรใช้ พ.ร.บ.องค์การมหาชนเป็นกฎหมายในการจัดตั้ง สำนักงานเลขาธิการ ครม.ได้ส่งเรื่องไปให้คณะกรรมการปฏิรูประบบราชการ (ปรร.) พิจารณาอีกครั้ง เมื่อ ปรร.เห็นชอบจึงได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2543 และเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา จัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2543 ต่อมาในวันที่ 27 กรกฎาคม 2543 จึงได้ประกาศพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 117 ตอนที่ 71 ก โดยให้ยุบรวมสำนักงานพัฒนาชุมชนเมือง โครงการพิเศษในสังกัดการเคหะแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนพัฒนาชนบท ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเข้าด้วยกันและในเบื้องต้นได้มีการโอนงบประมาณและทรัพย์สินจากทั้งสองหน่วยงานมารวมกันทั้งสิ้น3,274.35 ล้านบาทเพื่อสนับสนุนและให้การช่วยเหลือแก่องค์กรชุมชนและเครือข่ายองค์กรชุมชนเกี่ยวกับการประกอบอาชีพ การพัฒนาอาชีพ การเพิ่มรายได้ การพัฒนาที่อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของสมาชิกในชุมชน ทั้งในเมืองและชนบท และเพื่อให้มีการสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่องค์กรชุมชนและเครือข่ายองค์กรชุมชนให้มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น อันจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้เศรษฐกิจและสังคมไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพและมีการกระจายความเจริญทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างทั่วถึงและยั่งยืน" นับได้ว่าเป็นองค์กรแห่งการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
เมื่อได้จัดตั้ง สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2543 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้มีคณะทำงานองค์กรชุมชนและองค์กรพัฒนาเอกชน ไปร่วมจัดเวทีให้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดตั้ง พอช. และระดมความเห็นจากองค์กรชุมชนและผู้ที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงาน พอช. โดยได้จัดเวทีในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ 8 พื้นที่ มีเครือข่ายองค์กรชุมชนรวมกว่า 100 เครือข่าย ภายหลังจากที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาการจัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2543) ก็ได้มีการสัมมนารวม “การมีส่วนร่วมขององค์กรชุมชนและผู้ที่เกี่ยวข้องในการจัดตั้งสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน” ขึ้นอีกครั้งหนึ่งโดยได้สรุปภาพรวมความเห็นจากเวทีต่าง ๆ ทั่วประเทศว่า อยากให้ พอช. เป็นองค์กรแบบใด ทำงานอย่างไร การมีส่วนร่วมขององค์กรชุมชนใน พอช. ควรมีวิธีการ/ช่องทางอย่างไร เป้าหมายและวิธีการของชาวบ้านที่จะไปสู่การเป็นองค์กรชุมชนเข้มแข็งเป็นอย่างไรและพอช.จะสนับสนุนองค์กรชุมชนอย่างไรประชาชนและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ให้ข้อเสนอแนะและความคาดหวังต่อการทำงานของพอช.ไว้อย่างหลากหลายทั้งในะยะ 1 ปี 5 ปี และ 20 ปี ซึ่งคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้งสถาบันและผู้บริหารของสถาบันได้นำไปใช้เป็นแนวทางในการบริหารองค์กรเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชน
การขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของประชาชนภายในจังหวัดนนทบุรี เริ่มต้นเมื่อเครือข่ายพี่น้อง แผนแม่บทชุมชนพึ่งตนเอง 4 ภาคได้ ตระหนักถึงความสำคัญของการจัดทำแผนพัฒนาขององค์กรชุมชนสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากมีหลักคิดที่สำคัญ ว่าการแก้ไขปัญหา และสนองตอบความต้องการของประชาชน
จากหลักคิดที่ว่า “ชุมชน” เป็นสังคมฐานรากที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์การพัฒนาประเทศที่ผ่านมา ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ชุมชนอ่อนแอ ประสบความยากจน เกิดปัญหาสังคม กระนั้นก็ดี ชุมชนมีการใช้ทุนทางสังคม วัฒนธรรม ภูมิปัญญา เพื่อการดำรงอยู่ ตลอดจนมีการร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาชุมชนและท้องถิ่นไปสู่ชุมชนเข้มแข็ง สามารถจัดการตนเองได้อย่างยั่งยืน มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ
นอกจากนี้ยังจะนำไปสู่การสร้างระบบประชาธิปไตยและธรรมาภิบาลให้ชุมชนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่น ตามความหลากหลายของวิถีชีวิต วัฒนธรรม ภูมิปัญญาที่มีอยู่ในชุมชนท้องถิ่น เพื่อการมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงนำไปสู่ความคิดของการมีกฎหมายเพื่อรองรับการเกิดเวทีปรึกษาหารือของชุมชนที่มีสถานะที่ชัดเจนเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เป็นกฎหมายส่งเสริมไม่บังคับชุมชน สามารถดำเนินการเมื่อเกิดความพร้อมและเห็นพ้องต้องกัน รวมทั้งการคงความเป็นอิสระและความร่วมมือต่อกันของการทำงานในท้องถิ่น โดยลำดับความเป็นมาของพระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชนตำบล พ.ศ.2551 มีดังนี้
1. ปัจจุบัน มีพื้นที่ตำบลที่มีองค์กรชุมชน แกนนำธรรมชาติ ปราชญ์ชาวบ้าน แกนนำที่เป็นทางการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. และสถาบันในท้องถิ่น (วัด โรงเรียน สถานีอนามัย) ได้มีการทำงานพัฒนาด้านต่างๆ เช่น การทำแผนชุมชน การจัดสวัสดิการ การจัดการทรัพยากรสิ่งแวดล้อม การจัดการทุนของชุมชน จัดให้มีสภาผู้นำชุมชน ฯลฯ มีเวทีแลกเปลี่ยนร่วมกันคิด ร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาด้านต่าง ๆ นำไปสู่การสร้างเป้าหมายร่วมกันของพัฒนาชุมชนท้องถิ่น ซึ่งจากการทำงานในแนวทางดังกล่าว ได้ช่วยให้เกิดการจัดการตนเองร่วมกันของชุมชนท้องถิ่น โดยที่ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม เกิดความสัมพันธ์อันดีภายในชุมชนท้องถิ่น
จากการที่ชุมชนท้องถิ่นได้ร่วมกันจัดการตนเองตามแนวทางดังกล่าวและทำให้เกิดความเข้มแข็งส่งผลดีต่อชุมชนท้องถิ่นโดยรวมแกนนำชุมชนที่มีประสบการณ์ และคนทำงานพัฒนา จึงได้ร่วมกันยกร่าง พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน ขึ้นมาเพื่อให้มี พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน ที่จะช่วยหนุนเสริม สร้างการยอมรับการทำงานร่วมกันแบบสภาองค์กรชุมชน ทำให้กรณีตัวอย่างดี ๆ ที่ทำมาแล้วขยายออกไปพื้นที่อื่น พื้นที่ที่สนใจ และพร้อมจะร่วมกันสร้างสภาองค์กรชุมชน ที่ถือเป็นระบบประชาธิปไตยทางตรงจากฐานรากได้ร่วมกันทำเรื่องนี้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
2. กระบวนการร่าง พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน ในปี 2549 เครือข่ายองค์กรชุมชนร่วมกับวิทยาลัยการจัดการทางสังคม จัดสรุปบทเรียน "ประชาธิปไตยชุมชน...การเมืองสมานฉันท์" และจัดเวทีสังคมสนทนา "การเมืองสมานฉันท์ สร้างสรรค์ชุมชนท้องถิ่น" ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นได้มีการจัดเวทีระดมความคิดเห็นในระดับภูมิภาคทั้ง 8 ภาคเพื่อพัฒนาข้อเสนอของภาคประชาชนต่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง โดยสาระหลักเป็นการปรับเปลี่ยนกลไกการบริหารโดยกระจายอำนาจไปที่ชุมชนท้องถิ่น ให้มีอิสระในการจัดการตนเอง พร้อมกับพัฒนาคนให้มีคุณภาพ มีคุณธรรมจริยธรรม เพื่อนำพาชุมชนและท้องถิ่นไปสู่การพึ่งตนเองได้อย่างแท้จริง จากนั้นในเดือน พฤศจิกายน 2549 ผู้แทนองค์กรชุมชนทั่วประเทศจำนวน 200 คน ได้เข้าพบและนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับสภาองค์กรชุมชนต่อนายกรัฐมนตรี (พลเอกสุรยุทธ์ จุลลานนท์) ณ ทำเนียบรัฐบาล ต่อด้วยการยกร่างหลักคิดและเนื้อหาสาระ พ.ร.บ. สภาองค์กรชุมชน และได้จัดเวทีระดมความเห็นผู้นำชุมชนสี่ภาค และเกิดคณะทำงานเครือข่ายองค์กรชุมชนที่จะร่วมกันขับเคลื่อนเรื่องนี้ ซึ่งภายหลังได้จัดตั้งเป็นสมัชชาองค์กรชุมชนแห่งประเทศไทย (สอท.)
ต่อมาได้มีการจัดเวทีระดมความเห็นเกี่ยวกับร่างทั้งส่วนกลางและภูมิภาค 10 เวที สรุปเป็นร่าง พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชนท้องถิ่นเสนอต่อกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในเดือนมีนาคม 2550 และในเดือนเมษายน ได้เสนอต่อคณะอนุกรรมาธิการความมั่นคงของมนุษย์ (ครูชบ ยอดแก้วเป็นประธาน และครูมุกดา อินต๊ะสารเป็นรองประธาน) ในคณะกรรมาธิการกิจการเด็กฯ สภานิติบัญญัติ (สนช.) ซึ่งครูหยุย (วัลลภ ตังคณานุรักษ์) เป็นประธาน ในช่วงเดือนเดียวกันก็ได้มีการสัมมนาเปิดภาพการขับเคลื่อนสภาองค์กรชุมชนท้องถิ่น ซึ่งมีเครือข่ายชุมชนจากทั่วประเทศเข้าร่วมกว่า 1,800 คน โดยรองนายกรัฐมนตรีไพบูลย์ วัฒนศิริธรรมและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ (นพ.พลเดช ปิ่นประทีป) เข้าร่วมเวที ซึ่งสรุปผลการสัมมนาเครือข่ายจะปฏิบัติการนำร่องสภาองค์กรชุมชน 200 ตำบล และจะผลักดันให้ พ.ร.บ. ผ่านในรัฐบาลชุดนี้ แต่หลังจากที่กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เสนอร่าง พ.ร.บ. เข้าพิจารณาในคณะรัฐมนตรี (5 มิถุนายน 2550) ปรากฎว่าในคณะรัฐมนตรีมีความเห็นที่แตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่สนับสนุนแต่บางส่วนคัดค้าน คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติส่งเรื่องให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา จากความเห็นที่มีทั้งการสนับสนุนและการคัดค้าน ทำให้สื่อมวลชนทำข่าวเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง
ในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม2550 สถาบันวิชาการทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคมีการจัดเวทีระดมความเห็นเรื่องนี้อย่างกว้างขวางในส่วนของเครือข่ายชุมชนจึงได้ไปทำงานร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการความมั่นคงของมนุษย์ ในคณะกรรมาธิการกิจการเด็กฯ สภานิติบัญญัติ ซึ่งประธานสภานิติบัญญัติ (นายมีชัย ฤชุพันธ์) ได้มาช่วยซักถามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และปรับร่าง พ.ร.บ. จนสามารถเสนอ สนช. ได้เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2550 โดยรองนายกไพบูลย์ฯ ไปรับร่างจาก สนช. จากนั้นกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ ได้จัดระดมความเห็นหน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับร่างที่จะเสนอโดยรัฐบาล (23 สิงหาคม 2550) แต่เมื่อยังมีผู้คัดค้านนายกรัฐมนตรีจึงเห็นสมควรให้ออกเป็นระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีไปก่อน โดยรัฐบาลไม่ได้ส่งร่างพ.ร.บ.ประกบร่างพ.ร.บ.ฉบับที่เสนอโดย สนช.เหมือนกฎหมายฉบับอื่น ๆ
ในส่วนของคณะกรรมาธิการกิจการเด็กฯ สนช. ก็ได้จัดสัมมนารับฟังความเห็นผู้เกี่ยวข้อง (27 สิงหาคม 2550) จากนั้นครูมุกดา อินต๊ะสาร ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน ให้ที่ประชุม สนช.พิจารณารับหลักการเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2550 ซึ่งได้มีผู้อภิปรายสนับสนุนสิบท่านคัดค้าน 1 ท่าน ที่ประชุมมีมติเห็นด้วย 61 เสียง ไม่เห็นด้วย 31 เสียง และมีมติให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ 22 ท่าน ไปพิจารณารายละเอียด ซึ่งในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2550คณะกรรมาธิการวิสามัญโดยนายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ เป็นประธาน ได้พิจารณาเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง 11 ครั้ง และนำเสนอ สนช. พิจารณาวาระที่สองและลงมติวาระที่สามในวันที่ 28 พ.ย. 50 ซึ่งที่ประชุม สนช. มีมติเห็นสมควรให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายอย่างเอกฉันท์ 83 เสียง
ดังนั้นพระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. 2551 จึงได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2551 โดยมีเจตนารมณ์สำคัญในการส่งเสริมให้ชุมชน ซึ่งเป็นสังคมฐานราก มีความเข้มแข็งสามารถจัดการตนเองได้อย่างยั่งยืน มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นตามความหลากหลายของวิถีชีวิต วัฒนธรรมและภูมิปัญญาของท้องถิ่น และเข้ามีมาส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ตามพระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 ฉบับนี้ ได้บัญญัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ซึ่งเป็นหน่วยงานในการกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ มีหน้าที่ในการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดตั้ง และพัฒนากิจการของสภาองค์กรชุมชน
ในช่วงที่ผ่านมาสถาบันองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ได้กำหนดแนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนงานโดยมุ่งเน้นให้เครือข่ายองค์กรชุมชนในทุกระดับ ได้มีบทบาทสำคัญสำคัญในการส่งเสริมการจดแจ้งจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนสนับสนุนให้สภาองค์กรชุมชนที่จัดตั้งแล้ว เป็นเวทีกลางในการเชื่อมโยงงานพัฒนาด้านต่างๆ ของชุมชนในระดับตำบล และจังหวัดส่งเสริมให้สภาองค์กรชุมชนมีการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหนุนเสริมการขับเคลื่อนงานพัฒนาชุมชนท้องถิ่น รวมถึงพัฒนาพื้นที่เรียนรู้สภาองค์กรชุมชนเพื่อการขยายผลการจัดตั้งและดำเนินงานของสภาองค์กรชุมชนให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และได้สนับสนุนงบประมาณเพื่อส่งเสริมจัดตั้งและพัฒนาสภาองค์กรชุมชนตำบล ที่ประชุมระดับจังหวัด ที่ประชุมระดับชาติ การจัดทำฐานข้อมูล การศึกษา วิจัย การสื่อสารประชาสัมพันธ์ เป็นต้น
ผลการส่งเสริมการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนภาพรวมระดับประเทศนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 จนถึงปัจจุบัน (เดือนมีนาคม ปีพ.ศ. 2557) มีการส่งเสริมการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลทั่วประเทศรวม 4,205 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 53 ของพื้นที่ตำบล/เทศบาลทั่วประเทศ มีจำนวนองค์กรที่เป็นสมาชิก 104,766 องค์กร มีสมาชิกรวม 139,730 คน ยังคงเป็นองค์กรประเภทกลุ่มอาชีพ/วิสาหกิจ/ธุรกิจชุมชน ผลการดำเนินงานตามบทบาทภารกิจของสภาองค์กรชุมชนตำบล ตามมาตรา 21 ส่วนใหญ่สามารถดำเนินการในด้านการส่งเสริมและสนับสนุนให้สมาชิกองค์กรชุมชนการอนุรักษ์หรือฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะหรือวัฒนธรรมอันดีของชุมชน และของชาติได้มากที่สุด ในขณะที่การรายงานปัญหาและผลที่เกิดขึ้นในตำบล อันเนื่องจากการดำเนินงานใดๆขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานของรัฐ โดยรายงานต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง ยังคงเป็นภารกิจที่สภาองค์กรชุมชนตำบลจำนวนน้อยที่สามารถดำเนินการได้ด้านผลการดำเนินงานของที่ประชุมในระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบล ปรากฏว่าส่วนใหญ่สามารถดำเนินการตามบทบาทในการส่งเสริม และสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างสภาองค์กรชุมชนตำบล เพื่อให้ประชาชนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ในขณะที่บทบาทในการเสนอข้อคิดเห็นในเรื่องที่ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือองค์การบริหารส่วนจังหวัดปรึกษา เป็นภารกิจที่ที่ประชุมในระดับจังหวัดเพียงส่วนน้อยที่สามารถดำเนินการได้รูปธรรมการดำเนินงานของสภาองค์กรชุมชนในช่วงที่ผ่านมาหลายพื้นที่ ได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทของสภาองค์กรชุมชนที่เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนงานพัฒนาชุมชนท้องถิ่น สร้างเวทีกลางในการปรึกษาหารือเพื่อแก้ไขปัญหาและขับเคลื่อนงานพัฒนาในชุมชนท้องถิ่น การตั้ง เป้าหมายตัวชี้วัดการพัฒนาในการขับเคลื่อน การปกป้องทรัพยากรสิ่งแวดล้อมของชุมชนให้หน่วยงานยุติดำเนินโครงการที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน การผนึกพลังร่วมระหว่างชุมชน ท้องที่ ท้องถิ่นในการขับเคลื่อนงานพัฒนาประสานเชื่อมโยงการทำงานร่วมกันระหว่างชุมชน ท้องถิ่น ท้องที่ การวางเป้าหมายการพัฒนาพื้นที่ร่วมกัน ฯลฯอย่างไรก็ตาม ยังมีสภาองค์กรชุมชนอีกหลายแห่งที่ยังไม่สามารถดำเนินการตามบทบาทภารกิจในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นได้ตามเจตนารมณ์พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551
ความเป็นมาของขบวนองค์กรภายในจังหวัดนนทบุรี
จากหลักคิดที่ว่า พี่น้องชุมชน และประชาชนซึ่งเป็นฐานรากของประเทศ ได้เกิดกระบวนการพัฒนาการจัดทำแผนแม่บทชุมชน 4 ภาคขึ้นโดยในจังหวัดนนทบุรี ได้มีการดำเนินการจำนวน 18 พื้นที่ตำบล
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2549 ทางกลุ่ม องค์กรเครือข่ายพี่น้องชุมชน ได้หารือร่วมกับทางสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ให้มีการขับเคลื่อนงานพัฒนาเชิงประเด็นระดับจังหวัด ได้แก่
1) ประเด็นงานพัฒนาด้านเกษตรธรรมชาติ
2) ประเด็นงานพัฒนาด้านสวัสดิการชุมชน
3) ประเด็นงานพัฒนาด้านบ้านมั่นคง
4) ประเด็นงานพัฒนาด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
5) ประเด็นงานพัฒนาด้านแผนชุมชน
6) ประเด็นงานพัฒนาด้านองค์กรการเงินและเศรษฐกิจชุมชน
และได้มีการดำเนินงานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน มีประเด็นงานพัฒนาระดับจังหวัด ได้แก่
1) ประเด็นงานพัฒนาสวัสดิการชุมชน
2) ประเด็นงานเกษตรธรรมชาติ และที่ดินทำกิน
3) ประเด็นงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
4) ประเด็นงานเศรษฐกิจและทุนชุมชน
5) ประเด็นงานบ้านมั่นคง
โดยมีเครื่องมือที่สำคัญที่ใช้ในการขับเคลื่อนงานในเชิงพื้นที่ตำบล คือ สภาองค์กรชุมชนตำบล และมีสื่อประชาสัมพันธ์ เป็นสารที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์