(รอการเพิ่มเติมจากประธานสภาองค์กรชุมชน : วันที่จดแจ้งสภาน)
ประวัติความเป็นมา
จากเอกสารหลักฐานและการบอกเล่าของชาวบ้านเท่าที่สืบค้นได้นั้น ทำให้พอทราบประวัติความเป็นมาของตำบลบางตะไนย์โดยสังเขป ดังนี้ เดิมตำบลบางตะไนย์เป็นบ้านเรือนคนไทยกลุ่มน้อยที่ตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ต่อมาชาวมอญหรือชาวรามัญ ได้อพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ซึ่งพระองค์ทรงให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตอำเภอปากเกร็ด และที่อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเรียกชาวมอญที่อพยพในรุ่นนี้ว่า”มอญเก่า”(ส่วนชาวมอญที่เรียกว่า”มอญใหม่”คือมอญที่อพยพในสมัยสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่2 ซึ่งตั้งถิ่นฐานที่เกาะเกร็ด และพระประแดง) ชาวมอญที่อพยพมาในสมัยนั้น อพยพมาจากเมืองเมาะตะมะ โดยการนำของพระยาเจ่ง (ต่อมารับราชการในสมัยรัชกาลที่1 ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยามหาโยธาธิบดี ซึ่งเป็นต้นตระกูล”คชเสนีย์”) ชาวมอญที่อพยพในตอนนั้นส่วนใหญ่เป็นระดับแม่ทัพนายกองที่พาครอบครัวหนีสงครามเข้ามา
สำหรับชื่อของตำบลบางตะไนย์นั้น มาจากภาษามอญ คือคำว่า”คะนาย”ซึ่งแปลว่า”ต้นข่อย”มีหลักฐาน ชื่อตำบลเป็นภาษาไทยว่า”บางกะไน”ดังปรากฏในนิราศเจ้าฟ้าของท่านสุนทรภู่
“ถึงบางกระไนได้เห็นหน้าบรรดาพี่ พวกนารีเรืออ้อยเที่ยวลอยขาย
ดูจริตติดจะงอนเป็นมอญกลาย ล้วนแต่งกายกันไรเหมือนไทยทำ
แต่ไม่มีกริยาด้วยผ้าห่ม กระพือลมแล้วไม่ป้องปิดของขำ
ฉันเตือนว่าผ้าแพรลงแช่น้ำ อ้อยสองลำนั้นจะเอาสักเท่าไหร่
เขารู้ตัวหัวร่อว่าพ่อน้อย มากินอ้อยแอบแฝงแถลงไข
รู้กระนี้มิอยากบอกมิออกไย น่าเจ็บใจจะต้องจำเป็นตำราฯ”
และต่อมาคงเรียกเพี้ยนไปจนกระทั่งเป็น”บางตะไนย์”ในปัจจุบันนี้มีการสร้างบ้านแปลงเมืองเรื่อยมา สภาพของหมู่บ้านเจริญขึ้นตามลำดับ มีกลุ่มชนหลายชนชาติเข้ามาตั้งถิ่นฐานอาศัยภายในตำบล จนมีการผสมผสานกันหลากหลายระหว่างชนชาติไทย ชนชาติมอญและชนชาติอื่นๆ สำหรับประชาชนที่สืบเชื้อสายมอญที่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวมอญเดิมยังคงพอมีอยู่บ้าง แต่จำนวนเริ่มลดน้อยลงไปเรื่อยๆ