ประเพณีพื้นบ้านจังหวัดนนทบุรี คือ แนวทางที่คนในจังหวัดนนทบุรี ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นแบบแผนในการดำเนินชีวิตด้วยเห็นว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงามทำให้อยู่ร่วมกันเป็นปกติสุขเกิดประโยชน์ ทั้งต่อตนเองและส่วนรวมลักษณะเป็นแบบประเพณีของภาคกลางและตามลักษณะของกลุ่มชาติพันธุ์ 3 กลุ่ม ได้แก่ ไทยแท้ ไทยรามัญ และไทยมุสลิม แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. ประเพณีเกี่ยวกับชีวิต เป็นประเพณีเกี่ยวกับชีวิตบุคคลในครอบครัวตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายที่สำคัญ ได้แก่ การเกิด การบวช การแต่งงาน การตาย
กลุ่มไทยแท้
1) ประเพณีการเกิด มีความเชื่อว่า ผีเป็นผู้ปั้นมนุษย์ส่งเข้าสู่ครรภ์มารดา เมื่อเด็กเกิดใหม่ ให้นอนในกระด้งแกว่ง ถามว่า สามวันลูกผี สี่วันวันลูกคน ลูกของใครมารับไปเน้อ แล้วให้หญิงมีอายุเอาเงินไปซื้อเด็กจากผี เรียกว่า แม่ซื้อ
ส่วนการทำบุญอายุ มีทั้งทำกันทุกปีในวันคล้ายวันเกิด และทำเมื่ออายุครบรอบปีนักษัตร (ครบรอบ 12 ปี ) โดยเฉพาะวันที่มีอายุครบ 5 รอบนักษัตร คือ 60 ปีบริบูรณ์
2) ประเพณีการบวช การบวชในสมัยก่อน คือการส่งบุตรหลานเข้าโรงเรียน การบวช
มี 2 แบบ คือ บวชสามเณรเมื่อเด็กชายมีอายุ 7 ขึ้นไป ฝึกการเขียนอ่าน และบวชพระสงฆ์ เมื่อผู้ชายมีอายุครบ 20 ปี นิยมบวช 1 พรรษา ในระหว่างบวชจะศึกษาธรรมวินัยและฝึกฝนตนเองให้มีความอดทน
3) ประเพณีแต่งงาน เป็นพิธีสำหรับชายหญิงที่จะครอบคู่เป็นสามีภรรยากันเป็น
ครอบครัวใหม่ ในสมัยก่อนผู้ใหญ่มักหาคู่ครองให้แก่บุตรหลานเริ่มจากผู้ใหญ่ฝ่ายชายเรียกว่า เฒ่าแก่ ไปสู่ขอกับผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง เมื่อฝ่ายหญิงยินยอม กำหนดนัดหมายให้ฝ่ายชายจัดขัดหมากหมั้นนำสินสอดของหมั้น ไปมอบให้ฝ่ายหญิง เป็นสัญญาว่าจะแต่งงานกัน เมื่อถึงวันแต่งงานตามฤกษ์ยามที่หาไว้ ถ้าจัดพิธีที่บ้านฝ่ายชายเรียกว่า อาวาหมงคล และที่บ้านฝ่ายหญิง เรียกว่า วิวาหมงคล เช้าทำบุญเลี้ยงพระ เจ้าบ่าวเจ้าสาวตักบาตรร่วมกัน เย็นเป็นพิธีรดน้ำอวยพร ส่งตัวเจ้าสาว เจ้าบ่าวนำดอกไม้ธูปเทียนแพใส่พานไปไหว้บิดา-มารดาของเจ้าสาวจากนั้นเจ้าสาวขอให้ผู้ใหญ่ซึ่งเป็นคู่สามีภรรยาที่อยู่ร่วมกันด้วยดีมาตลอดเป็นผู้ปูที่นอนเอาฤกษ์ เรียกว่า ฤกษ์เรียงหมอน และให้ศีลให้พรแก่คู่บ่าวสาวเป็นเสร็จพิธี
4) ประเพณีงานศพ การจัดงานศพตามประเพณีลำดับพิธีการไว้ดังนี้
(1) การอาบน้ำศพ ในกรณีที่ตายแบบเจ็บป่วย แต่ถ้าตายอย่างไม่บริสุทธิ์ที่
เรียกว่า ตายโหง จะไม่อาบน้ำศพ การอาบน้ำศพจะอาบทั้งน้ำร้อน และน้ำเย็น ตำขมิ้นชันสดกับผิวมะกรูดคั้นเอาน้ำทาตามตัว เพื่อให้ศพสะอาด นำผ้าขาว 5 ผืนมาซับรอยที่หน้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า เพื่อเป็นที่ระลึกให้ลูกหลานกราบไหว้บูชา
(2) การแต่งตัวศพ หวีผม หักหวีทิ้ง นุ่งผ้าใส่สีขาวเอาชายผ้าพกไว้ด้านหลัง เย็บเนาตั้งแต่แขนไปถึงเอว แล้วใส่เสื้อผ้าชุดที่ผู้ตายชอบตามปกติ
(3) การรดน้ำศพ แต่งตัวศพเสร็จยกศพตั้งบนเตียง กันศีรษะไปทางใดก็ได้คลุมผ้าแพรจากอกไปตลอดเท้าแบมือข้าวขวาของศพออกไปนอกเตียงมีหมอนรอง จัดภาชนะรองรับน้ำ ผู้มารดน้ำศพรดที่ฝ่ามือ พร้อมอธิฐานขออโหสิกรรมต่อศพ
(4) ของใส่ปากศพ เป็นแหวน หรือเงิน 1 บาท ห่อผ้าขาวผูกเชือกไว้หาง
หล่อนลงไปในปาก เพื่อเป็นการบอกให้รู้ว่าถึงมีทรัพย์มากเพียงใดตายก็ไม่สามารถนำไปได้ และเพื่อให้เป็นค่าจ้างสัปเหร่อที่จะนำไปเผา
(5) ตราสังศพ นำด้ายดิบมาจับเป็นเส้นรวมกันขนาดโต 3 หุน ทำเป็นห่วงคล้องคอ เดินคาถา ปุตโต คีเว (ห่วงลูก ผูกคอ) โยงมากลางลำตัวผูกหัวแม่มือมัดมือทั้งสองมารวมกันในท่าไหว้ตรงหน้าอก เดินคาถา ภรินาหตต (ห่วงเมียผูกมือ) โยงมาที่เท้าทำเป็นห่วงผูกหัวแม่รัดข้อเท้าทั้งสองให้ติดกัน เดินคาถา ธนํ ปาเท (ห่วงทรัพย์ผูกเท้า) นำดอกไม้ธูปเทียนใส่มือผู้ตาย
(6) ปิดหน้าศพ เอาขี้ผึ้งแผ่ปะที่หน้าศพ เพื่อป้องกันความอุจาด
(7) การห่อศพ นำผ้าขาวห่อตั้งแต่เท้าตลอดศีรษะ นำด้ายดิบทบกันให้หนามัด 5 เปลาะ เปรียบ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ทั้ง 5 เป็นของไม่เที่ยง ห่อเสร็จแล้วนำใส่โลง
(8) ตั้งศพ และการสวดพระอภิธรรม เมื่อบรรจุศพในโลงเรียบร้อยแล้วจะตั้งศพไว้ที่บ้าน หรือวัดก็ได้ ให้หันศีรษะไปทางทิศตะวันตก ตั้งเครื่องบูชาและอาหารคาวหวานให้แก่ศพวันละ 2 เวลา เช้ากับเย็น ตั้งเสร็จให้เคาะโลงบอกให้รับประทานอาหาร ตั้งไว้ราวหนึ่งชั่วโมงจึงยกออกไป ในเวลากลาง คืนนิมนต์พระสงฆ์จะเริ่มสวดพระอภิธรรมเจ้าภาพเคาะข้างโลงเพื่อบอกให้ศพรับศีล (เป็นความเชื่อของศาสนา พราหมณ์ว่า สัตว์ตายไปแต่ร่างกาย ส่วนวิญญาณนั้นไม่ดับ) พระสงฆ์ผู้ที่มีอาวุโสเป็นผู้ให้ศีล เมื่อจบแล้วจึงสวดพระอภิธรรมต่อไป
(9) การทำบุญหน้าศพ ตอนเช้าจะทำบุญทุกเช้า หรือทำเมื่อครบ 7 วันก็ได้ การทำเมื่อตายครบ 7 วันถือเป็นวันสำคัญของการทำบุญครบรอบแรกเพื่อระลึกถึงผู้ตาย ด้วยเชื่อว่าวิญญาณของผู้ตาย จะกลับมาเยือนร่างของตนอาหารที่จัดถวายพระสงฆ์ เรียกว่า มตกภัต แปลว่าอาหารเพื่อผู้ตาย เมื่อพระสงฆ์ฉันเสร็จแล้วจึงทำการบังสุกุลเพื่อให้พระสงฆ์ได้ปลงสังขารเป็นของไม่เที่ยง
(10) การเผาศพ นำศพไปเผา หรืออาจทำการเก็บศพไว้ 50วันหรือ 100 วันแล้วจึงทำการเผาศพก็ได้ การกำหนดวันเผา ให้เผาวันเลขคี่ คือ 1 3 5 7 9 11 13 15 17 19 21 23 25 27 29 เพื่อความสะดวกในการจดจำจึงกำหนอดไว้ว่า ข้าขึ้นเผาคี่ ข้างแรมเผาคู่ โดยให้ตั้งเลขข้างขึ้น 15 ค่ำไว้แล้วบอกด้วยเลขข้างแรมที่เป็นเลขคู่ ผลบวกที่ได้จะเป็นเลขคี่ เช่น เช่น 15+2 =17 15+4=19 เป็นต้น เป็นปริศนาธรรมว่า ความตายเป็นของเฉพาะคนผู้เดียว จะให้ผู้อื่นตายแทนไม่ได้ ดังใช้สำนวนพูดที่ว่า มาคนเดียวไปคนเดียว
(11) การเก็บอัฐิ เมื่อเผาศพแล้ว วันรุ่งขึ้นเวลาเช้า ญาติของผู้ตายจัดเครื่องประกอบพิธีใส่หายสามหาบพร้อมน้ำอบ น้ำหอม ดอกไม้ ธูป เทียน ประกอบพิธี ปะพรมน้ำหอมที่ อัฐิ นิมนต์พระสงฆ์บังสุกุล เสร็จแล้วเก็บอัฐิ เลือกอัฐิ ,ส่วนแขน ขา ตัว ศีรษะอย่างละน้อยใส่โกฐไว้บูชา ส่วนที่เหลือนำ ไปบรรจุไว้ในเจดีย์ตามแต่ความประสงค์ เพื่อบุตรธิดาหรือญาติระลึกถึงจะได้ไปยังที่นั้น ได้ทำบุญอุทิศส่วนกุศลส่งไปให้ตามความกตัญญูกตเวทีที่นิยมกระทำกันสืบๆมา
(12) การทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ตายภายหลังการเผาศพ จะทำในโอกาสพิเศษ เช่น วันครบรอบวันตาย วันสารท วันสงกรานต์ เรียกว่าทำทักษิณานุประทาน ถือเป็นงานมงคล ผู้ไปร่วมงานไม่ต้องแต่งกายไว้ทุกข์
5) ประเพณีการทำบุญต่างๆ เป็นการทำบุญเพื่อความเป็นสิริมงคล ได้แก่ ทำบุญขึ้นปีใหม่ทำบุญบ้าน ทำบุญขึ้นบ้านใหม่ ทำบุญอายุ (นิยมทำเมื่อมีอายุ 25 ปี และ 50 ปี) ทำบุญต่ออายุ (ขณะป่วยหนัก) กลุ่มไทยรามัญ (มอญ)
1) ประเพณีการเกิด หญิงตั้งครรภ์ให้ปฏิบัติต่อไปนี้คือ ให้วางมะพร้าวไว้หัวนอน ใส่ผลขมิ้นผสมน้ำดื่ม อาบ เพื่อให้คลอดง่าย ห้ามไปอาศัยอยู่ในตำแหน่งที่ผีอาศัยอยู่ เช่น นั่งพิงเสา นั่งกลางระเบียงบ้าน นั่งห้อยเท้าที่หัวบันได เก็บผักไปส่งศพ เดินข้ามน้ำ ห้ามอาบน้ำเวลากลางคืน และ ทำพิธีเสียกบาลเป็นรายเดือนจนกว่าจะคลอด เพื่อไม่ให้ผีมาทำอันตรายแก่ครรภ์
2) การอยู่ไฟ ให้อยู่ 7 วัน ขณะอยู่ไฟให้นำหวดนึ่งข้าวเหนียวมาวางไว้ที่หัวนอน เพื่อป้องกันไม่ให้มารดาและเด็กตกใจ เมื่ออยู่ครบกำหนดแล้วทำพิธีบอกกว่าเทวดา ผู้รักษาไฟให้กลับไปได้
3) พิธีให้พระพรหมลิขิตดวงชะตาเด็กเกิดใหม่ จัดเตรียมเครื่องแต่งตัวเครื่อง ใช้เด็ก เหล็กจารหนังสือ น้ำหมึก น้ำกระแจะจันทน์ ผู้ที่ทำพิธีไปที่หัวบันไดบ้านแล้วร้องประกศว่า บัดนี้เด็กเกิดแล้วพร้อมกับพรมน้ำกระแจะจันทน์จากหัวบันไดเรื่อยมาจนถึงตัวเด็ก การกระทำเช่นนี้เชื่อว่าพระพรหมได้เอาเหล็กจารจุ่มน้ำหมึกลิขิตดวงชะตาลงบนหน้าผากเด็กแล้ว
4) พิธีไหว้ผีเรือน นำเครื่องไหว้มีกล้วยน้ำว้า มะพร้าว สมุด ดินสอ ปากกา เข็ม ด้าย วางไว้ที่หัวนอนผู้คลอดจุดธูปเทียนบอกกล่าวผีเรือนให้ทราบว่ามีเด็กเกิดใหม่ เมื่อกล้วยสุกนำไปทำกล้วยบวชชีถวายพระสงฆ์
6) ประเพณีการตาย ความหมายของสิ่งของที่ใช้ในการทำบุญ พระพุทธรูปเปรียบ เสมือนพระพุทธเจ้าเกิดใหม่อีก 1 องค์ ถาดเปรียบเหมือนกับถาดใส่ข้าวมธุปายาสที่นางสุชาดาถวายแด่พระพุทธองค์และพระพุทธองค์นำไปลอย ณ แม่น้ำเนรัญชรา เมื่อถาดจมลงใต้แม่น้ำได้ ไปกระทบกับถาดที่พระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ลอยอธิษฐานไว้ทำให้เกิดเสียงดังอย่างที่เจ้าภาพทิ้งของลงในถาด หญ้าแพรกเปรียบเสมือนหญ้าที่นายโสตถิยะ ถวายแด่พระพุทธองค์เพื่อปูเป็นที่นั่งก่อนที่จะตรัสรู้ และจำนวนหญ้าแพรก 49 ต้นนั้นเท่ากับจำนวนก้อนข้าวมธุปายาสของนางสุชาดา ที่ถวายแด่พระพุทธองค์
(2) ประเพณีศพแบบตายไม่ปกติหรือตายไม่ดี เป็นการตายกระทันหัน มีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุ ฆาตกรรม ฆ่าตัวตาย เป็นบ้า ตายโดยไม่มีผู้รู้เห็น ตายก่อน อายุ 12 ปี และเป็นโรคระบาดร้ายแรง เช่น อหิวาตกโรค (โรคห่า) ไข้ทรพิษ กาฬโรค การตายลักษณะนี้ต้องรีบฝังอย่างรีบด่วนไม่มีการทำบุญเลี้ยงพระสงฆ์ที่บ้าน จะทำทานด้วยอาหารดิบ เช่น ข้าวสาร เกลือพริก น้ำมัน หากจะทำบุญต้องทำหลังการตายไปแล้ว 7 วันหรือในเดือน/ปี ถัดไป
(3) ประเพณีการตายของพระสงฆ์ และประเพณีการจุดลูกหนู ชาวไทยรามัญถือว่าพระสงฆ์เป็นผู้บริสุทธิ์เป็นหูชนียบุคคลอันสูงสุดเมื่อพระสงฆ์มรณภาพ ตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่วัดมีพิธีกรรมเช่นเดียวกับศพของฆราวาส คือ เวลาค่ำผู้รู้มาอ่านหนังสือคติธรรมต่างๆ มีการรำมอญ เวลาดึกมีการ้องไห้ ที่พิเศษออกไปคือ การจัดแต่งโลง เรียกว่า เหมประดับอย่างงดงาม จัดแต่งที่เผาศพให้สวยงาม ถ้าเป็นพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่จะสร้างเป็นปราสาทตั้งแต่ 1-9 ยอด ไม่เผาปะปนกับฆราวาสทั่วไป การจุดไฟเผาศพก็ไม่จุดด้วยมือแต่จุดด้วยไฟจากลูกหนูแทน มีพระสงฆ์เป็นผู้จุดชนวน ลูกหนูวิ่งไปตามสายที่โยงไปยังโลงศพ เนื่องจากแรงวิ่งของลูกหนูบางครั้งทำให้ศพแตกกระจายเป็นที่อุจาดแก่ผผู้พบเห็น ใน เวลาต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงจุดลูกหนูเผาเฉพาะโลงเปล่าที่ไม่มีศพ เพื่อเป็นพิธีตามประเพณีเท่านั้น
กลุ่มไทยแท้ ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ มีวันสำคัญทางศาสนา คือ วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา วันออกพรรษา ประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกันคือ การไปวัดที่อยู่ในชุมชนเพื่อทำบุญตักบาตร ฝังเทศน์ ปฏิบัติธรรม ถวายจตุปัจจัยตามโอกาส และเวียนเทียนถวายเป็นพุทธบูชา นอกจากนี้ยังมีประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติกันเพิ่มขึ้นอีกดังนี้
1) ประเพณีนมัสการพระบรมสารีริกธาตุวัดเขมาภิรามราชวรวิหาร ในระยะต้นปีพุทธศักราช ตรงกับวันมาฆบูชา (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3) เวลาจัดงาน 7 วัน 7 คืน จัดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ 2497 สืบเนื่องมาจาการบูรณปฏิสังขรณ์พระมหาเจดีย์ครั้งใหญ่ ในเดือนตุลาคม 2495 มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี (ชาวจังหวัดนนทบุรี) เป็นประธาน พบพระบรมสารีริกธาตุ 3 องค์ ขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว สีคล้ายดอกพิกุลแห้ง อธิบดีกรมศาสนาในขณะนั้นทำการพิสูจน์ตามตำราพบว่า เป็นพระธาตุแท้ ได้ประกอบพิธีอัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ในพระมหาเจดีย์ภายหลังการบูรณปฏิกรณ์แล้วเสร็จเมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2496 ประชาชนให้ความสนใจเดินทางไปนมัสการกันเป็นจำนวนมาก วัดเขมาภิรตารามราชวรวิหารกับจังหวัดจึงได้ร่วมกันกำหนดจัดงานนมัสการพระบรมสารีริกธาตุเป็นประจำทุกปี
2) ประเพณีตักบาตรเทโว (เทโวโรหณะ) และพิธีรับพระ วันแรม 1 ค่ำเดื่อน 11 เป็นพิธีตักบาตรในวันออกพรรษา ทำข้าวต้มลูกโยน ห่อด้วยใบตอง ใบมะพร้าว ทำเป็นหางยาวสำหรับถือแล้วโยนใส่บาตร ตามความเชื่อว่าในสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จขึ้นไปจำพรรษาและเทศนาโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ครั้นวันออกพรรษาแล้วพระองค์ก็เสด็จกลับสู่โลกมนุษย์ ประชาชนต่างพากันไปเฝ้ารับเสด็จและทำอาหารไปถวาย แต่ด้วยมีประชาชนจำนวนมากไปตักบาตร ไม่สามารถถวายลงในบาตรได้จึงปั้นข้าวแล้วโยนใส่ลงในบาตร ต่อมาจึงได้เกิดเป็นประเพณีทำข้าวต้มลูกโยนมีหางสำหรับถือโยนใส่บาตร วัดในจังหวัดนนทบุรีที่มีประเพณีตักบาตรเทโว ได้แก่ วัดในเขตอำเภอบางกรวย เช่น วัดโพธิ์บางโอ วัดบางขนุน วัดแก้วฟ้า เป็นต้น
3) ประเพณีการทำบุญตักบาตรพระ 108 วันแรม 8 ค่ำ เดือน 12 (พฤศจิกายน) ทุกปี วัดที่ตั้งอยู่ริมคลองบางกอกน้อย และคลองซอยต่อเชื่อกับคลองบางกอกน้อย (แม่น้ำเจ้าพระยาสายเก่า) อำเภอบางกรวย ได้แก่ วัดโบสถ์บน วัดอุทยาน วัดบางไกรใน วัดบางไกรนอก วัดไทยเจริญ ร่วมกันจัดงานทำบุญตักบาตรทางน้ำขึ้นในคลองบางกอกน้อย เรียกว่าการทำบุญตักบาตรพระ 108 งานเริ่มขึ้นตั้งแต่บ่ายวันแรม 7 ค่ำ เดือน 12 ทุกวัดจัดขบวนแห่พระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงของวัด เช่น หลวงพ่อโตวัดอุทยาน หลวงพ่ออาคมวัดไทยเจริญ ต้น เพื่อเป็นการประกาศเชิญชวนให้ประชาชนได้รู้วันกำหนดการทำบุญตักบาตรพระ 108 ประจำปี และมีพิธีการทำบุญตักบาตร ตั้งแต่เวลา 05.00 น. ของวันแรม 8 ค่ำเดือน 12 ประชาชนนำสิ่งของออกมาตักบาตรที่ริมฝั่งคลองบางกอกน้อย พระสงฆ์จากวัดต่างๆ พายเรือเป็นขบวนออกรับบิณฑบาทอย่างเป็นระเบียบ โดยรับจากฝั่งขวาจนหมดแล้ววกกลับรับฝั่งซ้าย ขณะที่กำลังตักบาตร เพื่อความสนุกสนานได้มีประชาชนบางกลุ่มแต่งตัวเป็นฤาษี พระสงฆ์ ห่มผ้าสีเหลือง ใช้ขันน้ำครอบศีรษะออกร่วมบิณฑบาตหลังทำบุญตักบาตรเสร็จจัดให้มีการแข่งขันเรือเพื่อความสนุกสนาน เรือที่เข้าแข่งขันเป็นเรือที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นเรือบด เรือสำปั้น เรืออีแปะ ไม่จัดประเภทการแข่งขันตายตัว ทุกคนทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ชาย หญิง เข้าร่วมแข่งจันได้ตามความสมัครใจ ระยะทางแข่งขันกำหนดจากวัดหนึ่งถึงวัดหนึ่งระหว่างวัดไทยเจริญ วัดอุทยาน และวัดบางไกรนอก งานทำบุญตักบาตรพระ 108 จึงเป็นทั้งงานทำบุญและว่านสนุกสนาน
(ขาดข้อมูลกลุ่มไทยรามัญ)