อะไรก็ไม่แน่

ความไม่แน่นอนปรากฏชัดกับชีวิตของเราทุกคน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ จะร่ำรวยหรือยากจน ล้วนต้องเผชิญกับความแปรปรวนของชีวิตที่ไม่สามารถควบคุมให้เป็นดังใจของเราได้

พระพุทธศาสนากล่าวถึงความไม่แน่นอน หรือ ความไม่เที่ยง หรือ อนิจจัง ว่าเป็นคุณลักษณะหนึ่งของกฎธรรมชาติ ที่จะดำเนินไปในแนวทางนี้ และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป แม้จักรวาลนี้จะแตกดับ กำเนิดใหม่กี่ครั้งก็ตาม สรรพสิ่งหมายรวมถึงรูปธรรมและนามธรรม ที่อาศัยเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา ก็จะดำเนินไปภายใต้กฎเกณฑ์ธรรมชาตินี้

พลังอำนาจของความไม่แน่นอนนั้น ทำให้สรรพสิ่งเกิดและดับ แปรปรวน คาดเดาได้ยาก ไม่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของใครๆ ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์ เทวดา ภูต ผี หรือแม้กระทั่งตัวธรรมชาติเอง ก็ไร้อำนาจในการควบคุมความไม่แน่นอนนี้

ความไม่แน่นอนจึงส่งผลต่อจิตใจมนุษย์ทั้งในแง่ที่ดีและไม่ดี ในแง่ดีคือมนุษย์ไม่ต้องทนกับสภาพร่างกายและสภาพจิตใจที่ทุกข์ทรมานอย่างถาวร เช่น อกหักก็ไม่นานเพราะมันไม่เที่ยง เป็นแผลไม่นานก็หายไป เป็นต้น แต่ในขณะเดียวกัน หากมีใครเผลอเข้าไปยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งต่างๆ เมื่อสิ่งนั้นแปรปรวนไปตามกฎความไม่แน่นอน ความทุกข์จะเกิดขึ้นกับใจผู้นั้นทันที เช่น นายแดงซื้อรถคันใหม่ด้วยน้ำพักน้ำแรง ต่อมารถนายแดงถูกชนท้าย วินาทีที่รับทราบเหตุการณ์ จิตใจนายแดงเกิดทุกข์ขึ้นในทันที และจะเกิดทุกข์แบบนี้ซ้ำอีก เมื่อรถนายแดงแปรปรวนด้วยเหตุปัจจัยอื่น เป็นต้น ทั้งๆ ที่หลายคนมองความไม่แน่นอนเป็นเรื่องกฎธรรมชาติที่แสนจะธรรมดา แต่ท้ายที่สุดก็พลาดโดนความธรรมดานี้ทำร้ายใจให้ทุกข์ได้เสมอ

สุดท้ายนี้ การเห็นสภาพของความไม่แน่นอนของสรรพสิ่ง โดยน้อมพิจารณาให้จิตตั้งอยู่ในความไม่ประมาทในกฎธรรมชาตินี้ เป็นสิ่งที่พวกเราควรฝึกฝนให้มีขึ้นในใจ เมื่อใดที่จิตสามารถมองเห็นความไม่สวยในความสวย การแตกสลายในสิ่งที่สมบรูณ์ได้ เมื่อนั้นความไม่แน่นอนก็จะทำได้แค่พิสูจน์ความจริงของธรรมชาติว่า สิ่งนี้มีอยู่ ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ไม่สามารถทำให้จิตนั้นทุกข์เพราะความแปรปรวนได้เลย

นำเสนอโดยทีมงานบ้านธรรมทาน