แนวทางปฏิบัติธรรมของพระอาจารย์นวลจันทร์

การดูจิต ไม่ควรดูจิต

การดูจิต อย่าดูจิต

การดูจิต ห้ามดูจิต

การดูจิต เลยไม่เห็นจิต

เพราะจะดูจิต จิตเลยไม่เห็น

เพราะจะต้องดูจิต จึงไม่เห็นจิต

เพราะมัวแต่จะดูจิต ก็เลยไม่เห็นจิต

เพราะอยากเห็นจิต เลยดูจิตไม่ได้

เพราะจงใจดูจิต แล้วจะไปเห็นจิตได้อย่างไร

เพราะตั้งใจที่จะดูจิต แล้วจะไปเห็นจิตได้อย่างไร

เพราะจ้องที่จะดูจิต จิตเลยไม่ถูกเห็น

เพราะ.......ฯลฯ จึงไม่มีทางเห็นจิตเห็นใจ

มา ทำความเข้าใจกันหน่อยดีไหม! จิตไม่ได้มีไว้เพื่อให้ดู จิตไม่ได้มีไว้เพื่อให้รู้ แต่จิตมีไว้เพื่อให้”ปัญญา” ประจักษ์แจ้งว่า “จิตไม่ใช่เรา” นักปฎิบัติ”ดูจิต” บางท่านมักจะมี “ตัวเรา”ในการดูจิต เลยกลายเป็นว่า “เราเป็นผู้ดูจิต-เรากำลังดูจิต” หรือว่าฉันเป็นนักดูจิต แล้วเกิดความภาคภูมิใจ ทะนงถือดี ในที่สุดอาจถึงขั้นยึดมั่นถือมั่นได้ เลยกลายเป็น “สีลัพพตปรามาสไป” กลายเป็นเครื่องปิดกั้นไม่ให้บรรลุธรรมได้ อย่าลืมว่า “กุศลเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลได้” ก็ได้ “ตัณหา-มานะ-ทิฎฐิ “ พร้อมที่จะเข้าอิงอาศัยได้ตลอดเวลา ขอให้ “มนสิการ” กันไว้บ้าง

นัก ดูจิตทั้งหลายเอ๋ย... เลิกดูจิตกันได้แล้ว หากท่านเลิกดูจิตได้ ท่านมีสิทธิ์ที่จะเห็นจิต ถ้าท่านลองเลิกดู แล้วท่านจะเห็นว่ามันเลิกดูไม่ได้ ท่านก็จะประจักษ์ชัดซึ่งทั้ง “ความอยากและไม่อยาก” ความอยากจะถูกรู้-ถูกเห็น (เป็นครั้งแรก) เมื่อความอยากถูกรู้-ถูกเห็นบ่อยเข้า ต่อไปก็จะเกิดไม่ได้ ไม่มีช่องหรือโอกาสให้เกิด และเมื่อปราศจากแล้วซึ่งความอยาก ก็จะประจักษ์แจ้งซึ่ง”จิต” ได้เอง(เป็นครั้งแรก) ซึ่งจิต”ดวง”นี้ไม่ใช่เรา ไม่มีเราในดวงนี้ เราไม่ใช่เจ้าของ และใครๆก็ไม่ใช่เจ้าของ เราไม่ได้เป็นเจ้าของ และใครๆก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ(ที่แท้จริง) ปรากฏเกิดขึ้นเมื่อเหตุปัจจัยพร้อมมูล พอหมดเหตุหมดปัจจัยก็สลายไป

จิต ปกติธรรมดาทางตา ก็ทำหน้าที่ “เห็น” จิตปกติธรรมดาทางหู ก็ทำหน้าที่ “ได้ยิน” จิตปกติธรรมดาทางจมูก ก็ทำหน้าที่ “ได้กลิ่น” จิตปกติธรรมดาทางลิ้น ก็ทำหน้าที่ “รับรู้รส” จิตปกติธรรมดาทางกาย ก็ทำหน้าที่ “รับรู้ถูกต้องสัมผัสเย็น-ร้อน-อ่อน-แข็ง-ตึง-ไหว จิตปกติธรรมดาทางมโนทวาร ก็ทำหน้าที่ “รับรู้สิ่งที่ปรากฏทางใจ” ก็มีแต่ความเป็นปกติธรรมดา เพียงแค่เห็น – ได้ยิน – เป็นต้น ไม่ใช่เห็นโน่น-เห็นนี่,สิ่งนั้น-สิ่งนี้ หรือได้ยินเสียงนั้น-เสียงนี้ แต่คือสภาพเห็น-การเห็น สภาพได้ยิน-การได้ยิน เป็นต้น และก็เป็นไปตามปกติธรรมดาจริงๆ ไม่ต้องไป”ทำ”อะไรๆเลย ก็จะมีความปกติธรรมดาในการเห็น-ได้ยิน เป็นต้น แล้วก็ไม่มีอะไรๆ กับการเห็น-การได้ยิน เป็นต้นด้วย สภาพเห็นก็ดับไป-สภาพได้ยินก็ดับไป เสร็จกิจ-เสร็จหน้าที่แล้วก็ดับไปสลายไป

ขอสรุปว่าไม่ต้องดูอะไร แล้วจะเห็นอะไร ไม่ต้องรู้อะไร แล้วจะรู้อะไร ถ้าต้องดูอะไร แล้วจะดูอะไรได้ จะดูอะไรๆได้อย่างไร เพราะต้องดูอะไร อะไรๆเลยไม่ได้ดู เพราะต้องรู้อะไร แล้วจะรู้อะไรได้ เป็นเพราะจะรู้อะไร อะไรๆเลยไม่ได้รู้ และเพราะไม่รู้อะไรๆนี้แหละ จึงเป็นอะไรเหมือนที่กำลังเป็นอยู่นี้ “อะรูมิไร้” แต่”อะรูไร้” ไม่ต้อง”ไร้อะรู”แล้วจะ”ไร้ซึ่งอะรู” มัวแต่จะ”ไร้ซึ่งอะรู”จึงไม่”ไร้ซึ่งอะรู” “อะรู ๆ”ไม่ยอมไร้ แต่จะไป “ไร้ซึ่งอะรู” แล้วจะ”ไร้ซึ่งอะรู”ได้อย่างไร

พ.นวลจันทร์ ๑๖ มิ.ย. ๕๐