การทำข้อมูลให้เป็นภาพและการสื่อสารด้วยข้อมูล
ข้อมูลที่จะนำไปประชาสัมพันธ์หรือเผยแพร่ให้แก่ผู้รับสารได้รับรู้ถึงสิ่งที่ผู้สร้างต้องการสื่อสารให้เข้าใจตรงกันเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะผู้สร้างต้องใช้ความพยายามศึกษาว่าข้อมูลส่วนไหนสำคัญ ส่วนไหนมีรูปแบบน่าสนใจ ยิ่งข้อมูลตัวเลข จำนวนมาก ยิ่งต้องทำความเข้าใจและอาจใช้เวลานาน หรืออาจไม่สามารถมองเห็นความรู้หรือประเด็นสำคัญที่อยู่ภายใต้ข้อมูลนั้นๆ ได้เลย แต่มีอีกวิธีที่จะทำให้ผู้รับสารรับรู้ถึงสิ่งที่ผู้สร้างต้องการสื่อสาร คือ การใช้ภาพ ดังคำกล่าวที่ว่า "ภาพหนึ่งภาพแทนคำพูดพันคำ" (A picture is worth a thousand words)
4.1 การสื่อสารด้วยข้อมูล
การถ่ายทอดข้อมูลหรือการสื่อสารจากแหล่งข้อมูลไปยังผู้รับสาร เป็นเรื่องทำได้ยาก เนื่องจากข้อมูลมีปริมาณมาก หรืออยู่ในรูปแบบที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการทำข้อมูลให้เป็นภาพ เพื่อช่วยตอบคำถาม ช่วยในการตัดสินใจ ช่วยให้มองเห็นข้อมูลในบริบทที่เหมาะสม ช่วยค้นหารูปแบบ ช่วยสนับสนุนคำพูดหรือการเล่าเรื่องราวสที่มีอยู่ในข้อมูลนั้น ๆ ตัวอย่าง การนำเสนอข้อมูลในรูปของตาราง (ตารางที่ 4.1) แสดงจำนวนประชากรสูงสุด 20 อันดับแรก และจำนวนประชากรในแต่ละประเทศ
ตารางที่ 4.1 ประมาณการประชากรทั่วโลกที่สหประชาชาติประเมินไว้ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 คือ 7.6 พันล้านคน
จากตารางจะเห็นว่าเปรียบเทียบได้เฉพาะจำนวนประชากรของแต่ละประเทศ ถ้าต้องการสื่อถึงการกระจายตัวของประชากรตามภูมิภาคต่าง ๆ จะต้องนำข้อมูลนี้ไปรวมกับบริบททางภูมิศาสตร์ ดังรูป 4.1 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประชากรโลกมากกว่ากึ่งหนึ่งอาศัย อยู่ในทวีปเอเชียครอบคลุมประเทศจีน อินเดีย และอินโดนีเซีย การนำเสนอด้วยภาพนี้ขาดรายละเอียดจำนวนประชากรของแต่ละประเทศ แต่เป็นการนำข้อมูลมาอยู่ในบริบทด้านภูมิศาสตร์และเน้นจุดสนใจไปยังความหนาแน่นของประชากร (>1,000 ล้าน) ทำให้รู้ถึงการกระจายตัวของประชากรโลกและดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี การนำเสนอข้อมูลในรูปแบบของตารางจะเป็นการให้รายละเอียดของข้อมูลทั้งหมดแก่ผู้รับสาร แต่ผู้รับสารอาจไม่ได้รับสิ่งที่เราต้องการสื่อ ทำให้ขาดความสนใจ ดังนั้น เราจึงนิยมนำเสนอข้อมูลโดยการทำให้เป็นภาพเพื่อให้สื่อสารได้ตรงประเด็นและน่าสนใจ
รูป 4.1 ความหนาแน่นของประชากร
4.2 การทำข้อมูลให้เป็นภาพ (data visualization)
ข้อมูลที่เราได้มา ส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของจำนวนและมีเป็นจำนวนมาก ถึงแม้คำตอบของสิ่งที่เราสนใจหรือสิ่งที่เราอยากนำเสนอจะมีอยู่แล้วในข้อมูลเหล่านั้น แต่ยากที่จะทำความเข้าใจหรือไม่อาจสื่อสารได้โดยตรง เช่น บริษัทนำเที่ยวต้องการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเดินทางมาประเทศไทย เช่น การ เตรียมไกด์นำเที่ยว การเตรียมสถานที่ท่องเที่ยว บริษัทจึงนำข้อมูลนักท่องเที่ยวจากสำนักงานสถิติแห่งชาติมาวิเคราะห์เพื่อกำหนดนโยบาย ดัง ตาราง 4.2
จะเห็นได้ว่า การตอบคำถามต่าง ๆ เช่น นักท่องเที่ยวภูมิภาคไหนมีมากที่สุด ภูมิภาคไหนมีการเพิ่มขึ้นสูงสุด หรือคำถามอืน ๆ เพื่อช่วยในการกำหนดนโยบายบริษัท อาจเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก แต่การนำเสนอข้อมูลด้วยภาพ จะช่วยตอบคำถาม หรือนำเสนอประเด็นต่าง ๆ ได้รวดเร็วและชัดเจนขึ้น
รูป 4.2 สัดส่วนปริมาณนักท่องเที่ยว
4.2.1 แผนภูมิรูปวงกลม (pie chart)
สร้างโดยการเขียนวงกลมและแบ่งวงกลมออกเป็นสัดส่วนตามจำนวนข้อมูล ควรเป็นข้อมูลที่มีจำนวนกลุ่มไม่มากนัก แผนภูมิวงกลม สามารถแสดงความสัมพันธ์เชิงปริมาณและสัดส่วนร้อยละได้เป็นอย่างดี ดังรูป 4.2 ตัวอย่างที่แสดงสัดส่วนปริมาณนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคต่าง ๆ ในปี 2558 จะเห็นได้ว่า นักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออกมีสัดส่วนที่มากที่สุดเมื่อเที่ยบกับสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่น ๆ รวมกัน
แผนภูมิโดนัทเกิดจากการนำแผนภูมิรูปวงกลมมาวางซ้อนกัน ช่วยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนได้เป็นอย่างดี รูป 4.3 สัดส่วนของนักท่องเที่ยวในปี 2557 (วงใน)และ ปี 2558 (วงนอก) ทำให้เห็นได้ชัดว่านักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกมีสัดส่วนเพื่มขึ้น แต่ความแตกต่างของสัดส่วนนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคอื่นจะเห็นได้ยาก เนื่องจากจุดเริ่มต้นไม่ตรงกัน หากต้องการเปรียบเทียบที่ชัดเจนต้องใช้การนำเสนอในรูปแบบอื่น เช่น แผนภูมิแท่ง
รูป 4.3 แสดงสัดส่วนนักที่เที่ยว
รูป 4.4 แสดงปริมาณนักท่องเที่ยว
4.2.2 แผนภูมิแท่ง (bar chart)
แผนภูมิแท่ง แสดงความแตกต่างในเชิงปริมาณได้อย่างชัดเจน จึงใช้เพื่อแสดงปริมาณข้อมูลแต่ละส่วน ข้อมูลจะเรียงจากซ้ายไปขวาทำให้เห็นการเรียงตัวในเชิงลำดับ ปกตินิยมเรียงตามแนวนอน ดังรูป 4.4 ที่แสดงปริมาณนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกและยุโรป จาก ปี 2554 ถึงปี 2558
จากแผนภูมิแท่ง จะเห็นว่า จำนวนนักท่องเที่ยวจากเอเชียตะวันออกมีมากกว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจากยุโรป ประมาณ 14 เท่า ในปี 2554 และมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จำนวนนักท่องเที่ยวจากยุโรปมีจำนวนค่อนข้างคงที่ หากบริษัทสนใจนักท่องเที่ยวจากภูมิภาคเอเชียตะวันออก อาจหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับจำนวนนักท่องเที่ยวแยกตามประเทศ ซึ่งจะนำมาวิเคราะห์และนำเสนอในรูปแบบที่เหมาะสมต่อไป
4.2.3 กราฟเส้น (line graph)
กราฟเส้น แสดงมิติของการเปลียนแปลงได้ดี ใช้พื้นที่ในการแสดงข้อมูลแต่ละรายการน้อยกว่าแผนภูมิแท่งมาก ทำให้นำเสนอจำนวนรายการข้อมูลได้มากกว่า ดังรูป 4.5 แสดงปริมาณและการเปลี่ยนแปลงของจำนวนนักท่องเที่ยวของข้่อมูลในตาราง 4.3 แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจากจีนและกลุ่มเอชียสูงกว่าประเทศ อื่นๆ
ตารางที่ 4.3 จำนวนนักท่องเที่ยว
รูป 4.5 แสดงปริมาณและการเปลี่ยนแปลงจำนวน
4.2.4 แผนภาพการกระจาย (scatter plot)
แผนภาพการกระจาย นอกจากจะแสดงการกระจายของข้อมูลแล้วยังสามารถแสดงการเปรียบเทียบได้ดี จากรูป 4.6 รายได้จากนักท่องเที่ยวจีนมากกว่ารายได้จากนักท่องเที่ยวกลุ่มอาเซียนและประเทศอื่นๆ มาก การเขียนแผนภาพการกระจายอาจมีการลากเส้นตรงที่แสดงถึงอัตราการเปลี่ยนแปลที่คงที่ เช่น เส้นแนวโน้ม ในรูป 4.6 แสดงรายได้ต่อหัวจากนักท่องเที่ยวจีนสูงกว่ารายได้เฉลี่ยจากนักท่องเที่ยวประเทศอื่น ๆ มาก
รูป 4.6 แสดงรายได้รวมของนักท่องเที่ยวกับจำนวนของนักท่องเที่ยว
ตารางที่ 4.4 แสดงการสรุปแผนภาพชนิดต่าง ๆ และจุดประสงค์ของการนำเสนอ
4.2.5 การเลือกใช้แผนภาพ
การเลือกใช้แผนภาพใดไม่ว่าจะเป็นแผนภูมิรูปวงกลม แผนภูมิแท่ง กราฟเส้นและแผนภาพการกระจาย ขึ้นอยู่กับข้อมูลและจุดประสงค์ของการนำเสนอ ซึ่งสามารถสรุปวิธีการใช้งานที่เหมาะสมสำหรับแผนภาพแต่ละชนิดได้ ดังตารางที่ 4.4
4.3 การทำข้อมูลให้เป็นภาพอย่างเหมาะสม
การนำเสนอด้วยภาพ ไม่จำกัดเพียงให้ใช้เฉพาะรูปแบบมาตรฐานที่กล่าวมาแล้ว เรายังสามารถนำเสนอข้อมูลในรูปแบบอื่น ๆ ให้น่าสนใจได้อีก การนำเสนอข้อมูลให้เป็นภาพที่น่าสนใจและเข้าใจได้ง่ายจะใช้หลักการในการมองเห็นและการรับรู้ของ จาคส์ เบอร์ติน (Jacques Bertin) ผู้ริเริ่มการทำข้อมูลให้เป็นภาพ (Information visualization) โดยได้กำหนดตัวแปรในการมองเห็นไว้ 7 ตัวแปร ได้แก่ 1) ตำแหน่ง 2) ขนาด 3) รูปร่าง 4) ความเข้ม 5) สี 6) ทิศทาง และ 7) ลวดลาย ดังรูป 4.7
รูป 4.7 แสดงตัวแปรในการมองเห็น
เริ่มต้นจากการวางแผนนำข้อมูลดิบมาแปลงให้อยู่ในรูปของตารางที่จะนำไปวิเคราะห์ต่อได้ จากนั้นพิจารณาเลือกชนิดของกราฟหรือแผนภูมิ และออกแบบแผนภาพรวมทั้งองค์ประกอบของภาพ เพื่อให้ตรงกับจุดประสงค์ที่จะนำเสนอ แล้วจึงนำปให้กลุ่มเป้าหมายพิจารณาและอธิบาย เพื่อดูว่าตรงกับที่เราต้องการจะนำเสนอหรือไม่ ถ้าไม่ตรง ให้ย้อนกลับไปดูว่าข้อมูลเพียงพอหรือไม่ หรือแผนภาพที่นำเสนอเหมาะสมหรือไม่ ซึ่งอาจต้องออกแบบใหม่ และนำไปทดสอบจนกว่ากลุ่มเป้าหมายจะอธิบายภาพได้ตรงตามวัตุประสงค์ เพื่อให้สื่อสารได้ถูกต้อง ครบถ้วน
การเลือกใช้ตัวแปรในการมองเห็นเพื่อสร้างภาพจากข้อมูล จะใช้ลักษณะเฉพาะ (characteristic) ที่ต้องการเน้น ได้แก่ การสร้างความโดดเด่น การจัดกลุ่ม การบ่งปริมาณและการแสดงลำดับ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1.การสร้างความโดดเด่น (selective) เพื่อให้ผู้รับสารมุ่งตรงไปยังข้อมูลที่ต้องการสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว เช่น การใช้สีและความเข้ม ทำให้ผู้รับสารสามารถหาข้อมูลได้เร็วขึ้น
2.การจัดกลุ่ม (associative) เพื่อแสดงการแบ่งกลุ่มของข้อมูล เช่น ข้อมูลการจัดกลุ่มจังหวัด เลือกใช้สีที่ต่างกันในแต่ละภาค และไล่ระดับสีเข้มอ่อนต่างกันในแต่ละจังหวัดที่เป็นเมืองหลักและเมืองรอง
3.การบ่งปริมาณ (quantitative) เพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจและรับรู้ได้อย่างรวดเร็วตรงจุดที่ต้องการให้เห็น สำหรับการแสดงข้อมูลในเชิงปริมาณ เช่น ความยาว ความกว้าง หรือแผนภูมิจะต้องสะท้อนให้เห็นถึงปริมาณของข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น เส้นกราฟที่ยาวกว่าแสดงถึงค่าที่มากกว่าเส้นกราฟที่สั้น นอกจากนี้ อาจะแสดงข้อมูลเชิงปริมาณด้วยขนาดของพื้นที่และสีที่ต่างกัน
4.แสดงลำดับ (order) เพื่อให้ผู้รับสารสามารถตีความและเช้าใจภาพหรือแผนภูมิที่นำเสนอได้ง่าย มักใช้การเรียงลำดับข้อมูลจากน้อยไปมาก หรือมากไปน้อย โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์จะมองภาพหรือตีความข้อมูลจากการมองเห็นลำดับในรูปแบบจากซ้ายไปขวา และบนลงล่างในลักษณะตัว Z ดังนั้น หากต้องการเน้นข้อมูลใดข้อมูลหนึ่งที่สำคัญมากที่สุด ให้วางไว้ในลำดับบนสุด ส่วนข้อมูลที่เหลือให้เรียงลำดับความสำคัญลดลงตามค่าที่ได้จัดกลุ่มไว้
การทำผลลัพธ์ของข้อมูลออกมาเป็นภาพนั้น เป้าหมายสำคัญโดยสรุป คือ นักเรียนต้องการสื่อสารกับใคร สื่อออกมาอย่างไร ผู้ฟังจึงจะเข้าใจ และผู้ฟังต้องการจะรับรู้อะไรบ้าง เพื่อที่จะมั่นใจได้ว่าการสื่อสารในครั้งนี้ตรงกับจุดประสงค์ที่ตั้งไว้
1. selective
2. associative
3. quantitative
4. order
4.4 การเล่าเรื่องราวจากข้อมูล (data story telling)
การทำเนื้อหาหรือความรู้ให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถถ่ายทอดหรือสื่อสารไปยังผู้อ่าน หรือผู้ฟังได้อย่างน่าสนใจ รวมทั้งเข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนหรือผู้สร้างเนื้อหานั้น ๆ ต้องการสื่อสารออกมา ไม่ใช่เป็นเพียงการรายงานผลที่เกิดจากการวิเคราะห์ ประมวลผลจนได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นภาพ เป็นกราฟ หรือเป็นแผนภูมิ แต่การจะประสบผลสำเร็จในการสื่อสารผลลัพธ์ไปสู่ผู้รับได้นั้น จำเป็นต้องมีกลวิธีในการเล่าเรื่องราว (story) เพื่อเชื่อมโยงหรือสื่อสารให้เข้ากับผลลัพธ์ของข้อมูลและทำให้ผู้รับสารอยากอ่านเรื่องราวนี้ต่อจนจบ และยังเข้าใจตรงตามความต้องการของผู้สร้างเนื้อหาด้วย การนำเสนอเนื้อหาให้ผู้อื่นรับทราบและประสบผลสำเร็จนี้ เราอาจใช้วิธีการนำเสนอ 4 รูปแบบ ดังนี้
การสื่อสารหรือเล่าเรื่องราวจากผลลัพธ์ของข้อมูล ให้มีความน่าสนใจเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้ฟังและสามารถจดจำเรื่องราวที่เล่าได้อย่างยาวนาน (long-term memory) การเล่าเรื่องราวด้วยข้อมูลเหมือนกับการเล่าเรื่องราวในภาพยนตร์หรือละคร ต้องมีจุดเริ่มต้น จุดกึ่งกลางเรื่อง มีจุดตื่นเต้นเร้าใจหรือจุดเข้มข้นของเรื่องและจุดจบของเรื่อง
ดังนั้น สิ่งสำคัญของการเล่าเรื่อง เนื้อเรื่องจะต้องมีลำดับ มีหัวข้อ มีโครงสร้างที่ร้อยเรียงเรื่องราวให้ต่อเนื่อง วิธีการหนึ่งที่ใช้ในการลำดับเรื่องราว คือการเล่าเรื่องตามลำดับของเหตุการณ์ ตามช่วงเวลาหรือใช้การนำผู้ฟังเข้าสู่ตอนจบของเรื่องก่อน แล้วค่อยเล่าเรื่องตามลำดับ
4.5 ข้อควรระวังในการนำเสนอข้อมูล
การใช้ตัวแปรในการมองเห็นผลลัพธ์ของข้อมูลนั้น จะต้องระวังไม่ให้ตัวแปรที่ใช้แสดงผลด้านอื่น ๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจโดดเด่นขึ้นมา เพราะจะทำให้ผู้รับสารตีความไม่ตรงกับข้อมูล ดังนี้
ตัวอย่างที่ 1
แผนภูมิแท่งแสดงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย โดยใช้ตัวแปรตำแหน่งในการแสดงลำดับภาพ (ก) มีการใช้ตัวแปรขนาด เพื่อให้ผู้มองเห็นความชัดเจนในการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยต่อปี ถ้าให้สเกลที่แสดงอัตราดอกเบี้ยในแกน y มีความละเอียดมากอาจทำให้ตีความไปได้ว่า อัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็น 2 เท่าเกือบทุกปี ส่วนภาพ (ข) แสดงอัตราดอกเบี้ยโดยสเกลในแกน y เริ่มต้นจากศูนย์ ทำให้อัตราดอกเบี้ยแต่ละปีไม่ได้แตกต่างกันมาก ซึ่งทั้ง 2 ภาพนั้นเป็นข้อมูลเดียวกัน
ตัวอย่างที่ 2
เป็นการใช้ตัวแปรขนาดที่อาจทำให้เข้าใจผิดได้ ขนาดของถุงเงินที่แสดงงบประมาณรายจ่าย 2.5 ล้านล้านบาท และถุงเงินที่แสดง พ.ร.บ. เงินกู้ฯ นอกงบประมาณ ทั้งเพื่อเป็นเงินลงทุนโครงสร้าง 2 ล้านล้านบาท และเพื่อวางระบบน้ำฯ 3.5 แสนล้านบาทนั้น หาตีความตามสัดส่วนแล้ว ถุงเงิน 2.5 ล้านล้านบาท ควรมีขนาดใหญ่กว่าประมาณ 25% ของถุงเงิน 2 ล้านล้านบาท แต่ในภาพ ถุงเงิน 2.5 ล้านล้านบาท มีความกว้างมากกว่าถึง 50% และถ้ามองถุงเงินเป็นลักษณะคล้ายวงกลมแล้ว ถุง 2.5 ล้านล้านบาท มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของถุงเงิน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งอาจทำให้ผู้มองตีความว่าเงินกู้ตาม พ.ร.บ. น้อยกว่าที่ควรจะเป็น
ตัวอย่างที่ 3
การใช้มุมมองของภาพที่อาจทำให้เข้าใจผิด ในการใช้แผนภูมิรูปวงกลมที่มีมุมมองเอียง ทำให้สัดส่วนตลาดของบริษัท Apple ที่ควรจะมีเพียงประมาณครึ่งหนึ่งของบริษัท RIM ที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในปี ค.ศ. 2008 กลับดูมีส่วนแบ่งตลาดใกล้เคียงกัน ซึ่งหากปรับภาพแผนภูมิรูปวงกลมให้เป็นมุมมองตรงแล้ว จะทำให้เห็นความแตกต่างของสัดส่วนใกล้เคยงความจริงมากขึ้น
ตัวอย่างที่ 1 ภาพ (ก)
ตัวอย่างที่ 1 ภาพ (ข)
ตัวอย่างที่ 2 สัดส่วนของขนาดที่อาจทำให้เข้าใจผิด
ตัวอย่างที่ 3 มุมมองของภาพอาจทำให้เข้าใจผิด
สรุปท้ายบท
การถ่ายทอดข้อมูล หรือสื่อสารข้อมูลให้ประสบความสำเร็จ ต้องใช้การผสมผสานทั้งวิทยาศาสตร์ และศิลปะ โดยนักเรียนต้องทำความเข้าใจกับบริบท หรือจุดประสงค์ที่ต้องการจะสื่อสารไปยังผู้รับสาร เพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจ หรือมองเห็นประเด็นสำคัญที่ต้องการสื่อสารภายใต้ข้อมูลนั้น จากการทำข้อมูลให้เป็นภาพและเล่าเรื่องราวจากภาพ โดยประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากผลลีพธ์นี้ จะนำไปสู่การช่วยในการตัดสินใจ และค้นพบสิ่งใหม่ ๆ บนพื้นฐานของข้อมูลที่เกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้