การนำ Excel มาใช้งานให้เกิดประโยชน์สูงสุด คือ การรู้จักและเข้าใจถึงฟังก์ชัน ซึ่งมีบทบาทช่วยในการคำนวณหาผลลัพธ์ต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และในไปประยุกต์ใช้งานกับการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ฟังก์ชันของ Excel แบ่งออกเป็นกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป สำหรับบทนี้จะกล่าวถึงฟังก์ชันที่จำเป็นต้องเข้าใจ เพื่อนำไปใช้งานอย่างละเอียด ดังต่อไปนี้
กลุ่มฟังก์ชันทางด้านคณิตศาสตร์
ฟังก์ชัน INT
ใช้ตัดจำนวนจุดทศนิยมออกทั้งหมด คงเหลือเฉพาะเลขจำนวนเต็มเท่านั้น 50.59 จะได้ 50
รูปแบบฟังก์ชัน = INT(์Number)
Number = ตัวเลขที่ใช้ตัดจุดทศนิยม
ฟังก์ชัน ROUND
ใช้สำหรับปัดเศษตัวเลขทศนิยมขึ้นหรือลง ให้มีทศนิยมตามตำแหน่งที่ระบุ เช่น 50.59 จะได้ 51.00
รูปแบบฟังก์ชัน = ROUND(X, n)
X = ตัวเลขที่ต้องการปัดค่าทศนิยม
n = จำนวนหลักของทศนิยม
ฟังก์ชัน PRODUCT
ใช้สำหรับการหาค่าผลคูณของข้อมูลที่กำหนด เหมือนกับการใช้เครื่องหมายคูณทางคณิตศาสตร์ หรือแทนการใช้เครื่องหมายคูณ ( * )
รูปแบบฟังก์ชัน = PRODUCT (X1, X2, X3, ..., Xn)
X = ตัวเลขที่ต้องการหาผลคูณ
n = จำนวนตัวเลขตัวสุดท้าย
ฟังก์ชัน SUM
ใช้สำหรับการหาผลรวมของข้อมูลที่กำหนด ซึ่งสามารถหาเป็นชุดข้อมูลได้มากกว่า 1 ชุด พร้อมๆ กัน หรือแทนการใช้เครื่องหมายบวก ( + )
รูปแบบฟังก์ชัน = SUM(X1, X2, X3, ..., Xn)
X = ตัวเลขที่ต้องการหาผลรวม
n = จำนวนตัวเลขตัวสุดท้าย
ฟังก์ชัน SUMIF
ใช้สำหรับการหาค่าผลรวมของข้อมูลตามเงื่อนไขที่กำหนด
รูปแบบฟังก์ชัน = SUMIF(Range,Criteria,Sum_range)
Range = ขอบเขตของข้อมูลที่ต้องการตรวจสอบเงื่อนไข
Criteria = เงื่อนไขที่กำหนดเพื่อให้คำนวณหาผลรวม
Sum_range = ช่วงเซลล์หรือเซลล์ที่ตรวจตามเงื่อนไข เพื่อนำมาใช้คำนวณ
ฟังก์ชัน SUMPRODUCT
ใช้สำหรับการหาผลรวมของผลคูณระหว่างช่วงข้อมูลที่กำหนด โดยช่วงข้อมูลที่กำหนดต้องเป็นช่วงข้อมูลที่มีความสอดคล้องกัน
รูปแบบฟังก์ชัน = SUMPRODUCT(Array 1, Array 2,Array 3, ..., Array n)
Array = ช่วงข้อมูล
n = จำนวนช่วงข้อมูลสุดท้าย
กลุ่มฟังก์ชันทางด้านฐานข้อมูล
ฟังก์ชัน DMAX, DMIN หรือ DSUM
DMAX ใช้ในการค้นหาค่าสูงสุดจากเงื่อนไขที่กำหนด ภายในขอบเขตหรือช่วงข้อมูลที่กำหนดไว้
DMIN ใช้ในการค้นหาค่าต่ำสุดจากเงื่อนไขที่กำหนด ภายในขอบเขตหรือช่วงข้อมูลที่กำหนดไว้
DSUM ใช้ในการหาผลบวกเฉพาะกลุ่มเงื่อนไขที่กำหนด ภายในขอบเขตหรือช่วงข้อมูลที่กำหนดไว้
รูปแบบฟังก์ชัน = DMAX(Database, Field, Criteria)
รูปแบบฟังก์ชัน = DMIX(Database, Field, Criteria)
รูปแบบฟังก์ชัน = DSUM(Database, Field, Criteria)
Database = ช่วงเซลล์ที่กำหนดเพื่อใช้ในการตรวจสอบข้อมูล ซึ่งอาจเรียกว่าเป็น "ฐานข้อมูล" หรือ อาจกำหนดช่วงข้อมูลเซลล์เหล่านี้ด้วยคำสั่ง Insert > Name > Define ด้วยก็ได้ ซึ่งจะต้องกำหนดตั้งแต่ชื่อคอลัมน์ด้วย
field = ตำแหน่งที่บ่งชี้คอมลัมน์ที่ถูกใช้ในฟังก์ชัน ซึ่งสามารถใส่ชื่อโดยตรงหรือใช้ตัวเลขลำดับแทนก็ได้ โดยการอ้างอิงนั้นจะต้องเริ่มตั้งแต่ชื่อคอลัมน์ด้วย
Criteria = เงื่อนไขที่ใช้ในการตรวจสอบและแสดงผล
ฟังก์ชัน DGET
ใช้ในการค้นหาและแสดงผลข้อมูลที่กำหนดไว้ตามเงื่อนไข ภายในช่วงขอบเขตข้อมูลที่กำหนดไว้เท่านั้น
รูปแบบฟังก์ชัน = DGET(Database, Field, Criteria)
Database = ช่วงเซลล์ที่กำหนดเพื่อใช้ในการตรวจสอบข้อมูล ซึ่งอาจเรียกว่าเป็น "ฐานข้อมูล" หรือ อาจกำหนดช่วงข้อมูลเซลล์เหล่านี้ด้วยคำสั่ง Insert > Name > Define ด้วยก็ได้ ซึ่งจะต้องกำหนดตั้งแต่ชื่อคอลัมน์ด้วย
field = ตำแหน่งที่บ่งชี้คอมลัมน์ที่ถูกใช้ในฟังก์ชัน ซึ่งสามารถใส่ชื่อโดยตรงหรือใช้ตัวเลขลำดับแทนก็ได้ โดยการอ้างอิงนั้นจะต้องเริ่มตั้งแต่ชื่อคอลัมน์ด้วย
Criteria = เงื่อนไขที่ใช้ในการตรวจสอบและแสดงผล
กลุ่มฟังก์ชันทางด้านสถิติ
ฟังก์ชัน COUNT
ใช้สำหรับนับจำนวนเซลล์ เฉพาะเซลล์ที่มีตัวเลขเท่านั้น
รูปแบบฟังก์ชัน = COUNT(Value 1, Value 2, Value 3, ...)
Value = ช่วงข้อมูลหรือกลุ่มเซลล์ที่นำมาใช้ในการนับจำนวน
ฟังก์ชัน COUNTA
ใช้สำหรับนับจำนวนเซลล์ที่มีตัวเลข ข้อความ (Text) และค่า Error ต่างๆ แต่ไม่รวมเซลล์ว่าง
รูปแบบฟังก์ชัน = COUNTA(Value 1, Value 2, Value 3, ...)
Value = ช่วงข้อมูลหรือกลุ่มเซลล์ที่นำมาใช้ในการนับจำนวน
ฟังก์ชัน COUNTIF
ใช้สำหรับนับจำนวนเซลล์ที่มีตัวเลข ข้อความ (Text) ค่า Error ต่างๆ และเซลล์ว่าง ตามเงื่อนไขภายในช่องข้อมูลที่กำหนด
รูปแบบฟังก์ชัน = COUNTIF(Range, Criteria)
Range = ช่วงเซลล์ที่ต้องการนับเซลล์ตามเงื่อนไข
Criteria = เงื่อนไขที่ใช้ในการตรวจสอบและนับจำนวนเซลล์
ฟังก์ชัน AVERAGE, MAX, MIN
AVERAGE ใช้หาค่าเฉลี่ยของกลุ่มเซลล์
MAX ใช้หาค่าสูงสุดจากกลุ่มข้อมูลที่กำหนดไว้
MIN ใช้หาค่าต่ำสุดจากกลุ่มข้อมูลที่กำหนดไว้
รูปแบบฟังก์ชัน = AVERAGE(์Number 1, Number 2, ...)
รูปแบบฟังก์ชัน = MAX(์Number 1, Number 2, ...)
รูปแบบฟังก์ชัน = MIN(์Number 1, Number 2, ...)
Number = กลุ่มเซลล์หรือช่วงข้อมูลที่ใช้ในการหา
ฟังก์ชัน LARGE , SMALL
LARGE ใช้หาค่ามากที่สุดจากอันดับที่ต้องการเริ่มจากค่ามากที่สุด
SMALL ใช้หาค่าน้อยที่สุดจากอันดับที่ต้องการเริ่มจากค่าน้อยที่สุด
รูปแบบฟังก์ชัน = LARGE(์Array, K)
รูปแบบฟังก์ชัน = SMALL(์Array, K)
Array = ช่วงขอบเขตข้อมูลที่ต้องการดึงผลของตำแหน่งที่ มากที่สุด/น้อยที่สุด
K = ลำดับข้อมูลที่มีค่า มากที่สุด/น้อยที่สุด
กลุ่มฟังก์ชันทางเงื่อนไขและตรรกะ
ฟังก์ชัน IF
ใช้สำหรับส่งกลับค่าตามที่ระบุหากเงื่อนไขเป็นจริง (TRUE) และส่งกลับค่าอื่่นๆ หากเงื่อนไขที่ระบุเป็นเท็จ (FALSE) โดยฟังก์ชันนี้สามารถประยุกต์ร่วมกับฟังก์ชันอื่นๆ เพื่อหาผลลัพธ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รูปแบบฟังก์ชัน = IF(Logical, Value_if_true, Value_if_False)
Logical = กำหนดเงื่อนไขที่ใช้ในการเปรียบเทียบหรือตรวจสอบข้อมูล
Value_if_true, = คำสั่งหรือเหตุผลที่เป็นจริง
Value_if_False = คำสั่งหรือเหตุผลที่เป็นเท็จ
ฟังก์ชัน AND
ใช้สำหรับส่งกลับค่า TRUE เมื่อค่าตรรกะที่ระบุทั้งหมดเป็นจริง (ค่าตรรกะที่ระบุต้องมีจำนวนตั้งแต่ 2 ค่าขึ้นไปจึงจะใช้ฟังก์ชันนี้ได้) หรือจะส่งกลับค่า FALSE เมื่อตรรกะที่ระบุอย่างน้อย 1 ค่า เป็นเท็จ
รูปแบบฟังก์ชัน = AND(Logical1, Logical2, ... )
Logical = ค่าตรรกะ1, ค่าตรรกะ2, ... ถึงตรรกะที่ 30 ที่ใช้ในการทดสอบ)
ฟังก์ชัน OR
ใช้สำหรับส่งกลับค่า TRUE เมื่อค่าตรรกะที่ระบุอย่างน้อย 1 ค่าเป็นจริง (ค่าตรรกะที่ระบุต้องมีจำนวนตั้งแต่ 2 ค่าขึ้นไปจึงจะใช้ฟังก์ชันนี้ได้) หรือจะส่งกลับค่า FALSE เมื่อตรรกะที่ระบุทั้งหมดเป็นเท็จ
รูปแบบฟังก์ชัน = OR(Logical1, Logical2, ... )
Logical = ค่าตรรกะ1, ค่าตรรกะ2, ... ถึงตรรกะที่ 30 ที่ใช้ในการทดสอบ)
ฟังก์ชัน LOOKUP
ฟังก์ชัน Lookup ใช้สำหรับการค้นหาข้อมูลตามแนวตั้งแรก หรือแนวนอน จากข้อมูลที่ตรงกับเงื่อนไข แล้วจะเลื่อนไปทางขวาสุดหรือลงด้านล่างสุดของขอบเขตข้อมูล
รูปแบบฟังก์ชัน = LOOKUP(Lookup_value, Array)
Lookup_value = ค่าที่จะค้นหาในคอลัมน์แรกของอาร์เรย์ที่กำหนด
Array = ตารางข้อมูล (ฐานข้อมูล) หรือกลุ่มข้อมูลที่บรรจุค่าต่างๆ ที่ใช้สำหรับแสดงผลและค้นหาข้อมูล
ฟังก์ชัน VLOOKUP
VLOOKUP ใช้สำหรับการค้นหาข้อมูลตามแนวตั้ง จากตารางข้อมูล (ฐานข้อมูล) ที่กำหนดไว้ตามเงื่อนไข
รูปแบบฟังก์ชัน = VLOOKUP(Lookup_value, Table_Array, Col_index_num, Range_lookup)
Lookup_value = ค่าที่จะค้นหาในคอลัมน์แรกของอาร์เรย์ที่กำหนด
Table_Array = ตารางข้อมูล (ฐานข้อมูล) ที่บรรจุค่าต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับแสดงผลและ
ค้นหาข้อมูล
Col_index_num = หมายเลขลำดับคอลัมน์ใน Table_Array (ตารางข้อมูล) โดยลำดับ
ของคอลัมน์แรกในอาร์เรย์จะมีค่าเป็น 1 เสมอ และคอลัมน์ต่อไปจนถึง 2,3,4,..ตามลำดับการแสดงผล
Range_lookup = ค่าทางตรรกะ ที่กำหนดให้ฟังก์ชันค้นหาหรือจับคู่ที่ถูกต้องหรือไม่
(ไม่จำเป็นต้องกำหนดก็ได้)
ฟังก์ชัน HLOOKUP
HLOOKUP ใช้สำหรับการค้นหาข้อมูลที่ต้องการจากตารางข้อมูลในแถวหนึ่ง (ค้นหาในแนวนอนจากซ้ายไปขวา) โดยจะได้ผลลัพธ์จากอีกแถวหนึ่งแทน
รูปแบบฟังก์ชัน = HLOOKUP(Lookup_value, Table_Array, Row_index_num, Range_lookup)
Lookup_value = ค่าที่จะค้นหาในคอลัมน์แรกของอาร์เรย์ที่กำหนด
Table_Array = ตารางข้อมูล (ฐานข้อมูล) ที่บรรจุค่าต่างๆ ที่ใช้สำหรับแสดงผลและ
ค้นหาข้อมูล
Row_index_num = หมายเลขลำดับแถวใน Table_Array (ตารางข้อมูล) โดยลำดับ
ของแถวแรกในอาร์เรย์จะมีค่าเป็น 1 เสมอ และคอลัมน์ต่อไปจนถึง 2,3,4,..ตามลำดับการแสดงผล
Range_lookup = ค่าทางตรรกะ ที่กำหนดให้ฟังก์ชันค้นหาหรือจับคู่ที่ถูกต้องหรือไม่
(ไม่จำเป็นต้องกำหนดก็ได้)
ฟังก์ชัน INDEX
INDEX ใช้สำหรับการค้นหาคล้ายกับฟังก์ชัน MATCH แต่สำหรับการใช้ฟังก์ชัน INDEX จะต้องทราบค่าของตำแหน่งที่ต้องการว่าเป็นตำแหน่งที่เท่าใด จากนั้นจึงใช้ฟังก์ชัน INDEX ค้นหาค่าภายในตำแหน่งนั้นออกมา
รูปแบบฟังก์ชัน = INDEX(Array, Row_num, Colum_num) 1
= INDEX(Reference, Row_num, Colum_num, Area_num) 2
1 สำหรับการค้นหาค่าของเซลล์หรือกลุ่มเซลล์ที่ระบุใน Array
2 สำหรับการค้นหาค่าของเซลล์หรือกลุ่มเซลล์ที่ระบุใน Reference
Array = ช่วงขอบเขตข้อมูลที่ใช้ค้นหาข้อมูล
Row_num = เลือกแถวของขอบเขตข้อมูล หรือการอ้างอิง
Colum_num = เลือกคอลัมน์ของขอบเขตข้อมูล หรือการอ้างอิง
Reference = กำหนดเซลล์ หรือช่วงข้อมูลอ้างอิงที่ใช้สำหรับค้นหา
Area_num = กำหนดลำดับที่ของพื้นที่ใน LookupRange กรณีที่พื้นที่นี้ไม่ต่อเนื่องกัน โดยจะนับว่าพื้นที่ที่ต่อเนื่องกัน ก็จะเป็น AreaNum เลขเดียวกัน (1, 2, 3, ...) ใช้ในกรณีที่มีพื้นที่ที่ไม่ต่อเนื่อง
ฟังก์ชัน MATCH
MATCH ใช้สำหรับค้นหาว่าค่าที่ต้องการนั้นอยู่ในคอลัมน์ ณ ตำแหน่งที่เท่าใด (1, 2, 3, ... )
รูปแบบฟังก์ชัน = MATCH(Lookup_value, Lookup_array, Match_Type)
Lookup_value = ค่าที่ใช้ในการค้นหา
Lookup_array = ช่วงของข้อมูลที่จะใช้ค้นหาต้องมีคอลัมน์เดียวเท่านั้น
Match_Type = ชนิดของการค้นหาได้แก่
0 ค้นหาให้ตรงตัว
1 ค้นหาค่าที่มากที่สุดที่น้อยกว่าหรือเท่ากับค่าของ Lookup Value
(ต้องเรียงลำดับค่าจากน้อยไปมากไว้ด้วย)
- 1 ค้นหาค่าที่น้อยที่สุดที่มากกว่าหรือเท่ากับค่าของ Lookup Value
(ต้องเรียงลำดับข้อมูลจากมากไปน้อยไว้ด้วย)
กลุ่มฟังก์ชันทางด้านการเงิน
ฟังก์ชัน SLN
SLN (Straight - light Depreciation) เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับคำนวณค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ด้วยวิธีเส้นตรงตามหลักการบัญชี โดยค่าเสื่อมราคาที่คำนวณได้จะมีจำนวนเท่ากันทุกปีตลอดอายุการใช้งานของสินทรัพย์
รูปแบบฟังก์ชัน = SLN(์Cost, Salvage, Life)
Cost = ต้นทุนสินทรัพย์
Salvage = มูลค่าซาก
Life = อายุการใช้งานของสินทรัพย์
ฟังก์ชัน SYD
SํYD (Sum-of-Year' Digits Depreciation) เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับคำนวณค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ด้วยวิธีผลรวมจำนวนปี ซึ่งค่าเสื่อมราคาที่คำนวณได้จะมีจำนวนลดลงทุกปี
รูปแบบฟังก์ชัน = SํYD(์Cost, Salvage, Life, Period)
Cost = ต้นทุนสินทรัพย์
Salvage = มูลค่าซาก
Life = จำนวนคาบเวลาทั้งหมดที่สินทรัพย์ถูกประเมินค่าเสื่อมราคา
Period = คาบเวลาหรือปีที่ต้องการคำนวณค่าเสื่อมราคา
ฟังก์ชัน DDB
DDB (Double Declining Balance Depreciation) เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับคำนวณค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ด้วยวิธีลดลง 2 เท่า ค่าเสื่อมราคาที่คำนวณได้จะมีจำนวนลดลงทุกปี
รูปแบบฟังก์ชัน = DDB(์Cost, Salvage, Life, Period, Factor)
Cost = ต้นทุนสินทรัพย์
Salvage = มูลค่าซาก
Life = อายุการใช้งาน
Period = ปีที่จะเกิดค่าเสื่อมราคา
Factor = อัตราการเสื่อมสมดุล การกำหนดค่านี้เพื่อระบุจำนวนเท่าของการคิดค่าเสื่อมราคาด้วยวิธีเส้นตรง เมื่อกำหนดค่า = 1 หมายถึง อัตราค่าเสื่อมราคาวิธีนี้จะเท่ากับ 1 เท่าของวิธีเส้นตรง
= 2 หมายถึง อัตราค่าเสื่อมราคาวิธีนี้จะเท่ากับ 2 เท่าของวิธีเส้นตรง
ฟังก์ชัน DB
DB (Declining Balance Depreciation) เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับคำนวณค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ด้วยวิธีลดลงทุกปี การคำนวณค่าเสื่อมราคาตามวิธีนี้ จะได้ค่าเสื่อมราคมที่มีจำนวนสูงในปีแรกๆ และลดลงทุกปี
รูปแบบฟังก์ชัน = DB(์Cost, Salvage, Life, Period, Month)
Cost = ต้นทุนสินทรัพย์
Salvage = มูลค่าซาก
Life = อายุการใช้งาน
Period = ปีที่จะเกิดค่าเสื่อมราคา
Month = จำนวนเดือนที่ใช้ในการคิดค่าเสื่อมราคมสินทรัพย์ในปีแรก ซึ่งหากเป็นปีแรกไม่มีการกำหนดค่า Month จะเป็นการกำหนดการซื้อสินทรัพย์ ณ วันต้นปี ดังนั้นค่า Month จึงเป็น 12
ฟังก์ชัน VDB
VDB (Variable Declining Balance) เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับคิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์สำหรับคาบเวลาใดๆ ที่ระบุหรือบางส่วนของคาบเวลา เพื่อคำนวณโดยใช้วิธีดุลลดลง 2 เท่า (DDB)
รูปแบบฟังก์ชัน = VDB(์Cost, Salvage, Life, Start_Period, End_Period, [Factorl], [no_switch])
Cost = มูลค่าเริ่มต้นของทรัพย์สิน
Salvage = มูลค่าซากเมื่อหมดอายุการใช้งาน
Life = อายุการใช้งาน
Start_Period = ช่วงเวลาเริ่มต้นของการหาค่าเสื่อมราคา
End_Period = ช่วงเวลาสิ้นสุดของการหาค่าเสื่อมราคา
Factorl = การกำหนดอัตราการลดของค่าเสื่อมราคา ถ้าไม่กำหนดจะให้เท่ากับ 2
(Dobule-Declining)
no_switch = สลับวิธีการคิดค่าเสื่อมราคาให้เป็นแบบ SLN เป็น DDB
ฟังก์ชัน FV
FV (Future Value) เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับการคำนวณหามูลค่าของเงินในอนาคต
รูปแบบฟังก์ชัน = FV(์Rate, Nper, Pmt, Pv, Type)
Rate = ดอกเบี้ยต่อเดือน
Nper = จำนวนงวดที่ต้องฝาก ซึ่งคิดเป็นเดือน มีค่าเป็นลบ เพราะเป็นเงินที่ต้องจ่ายไป
Pmt = จำนวนเงินที่สามารถฝากได้ในแต่ละเดือน ซึ่งจะต้องใส่เครื่องหมาย (-) ไว้ด้วย
Pv = เงินเริ่มต้นในการฝากซึ่งปกติแล้วจะเริ่มต้นด้วย 0 บาท หรือหากมีจำนวนเงินฝาก ก็ให้ใส่เครื่องหมาย - ไว้ด้วย เช่น -1000 บาท
Type = หากมีค่าเป็น 0 คำนวณเมื่อปลายงวด (ปลายเดือน)
หากมีค่าเป็น 1 คำนวณเมื่อต้นงวด (ต้นเดือน) และ
หากไม่มีการกำหนดค่าจะถือว่าเป็น 0 ทันที
ฟังก์ชัน PV
PV เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับการคำนวณหามูลค่าของเงินในปัจจุบัน
รูปแบบฟังก์ชัน = PV(์Rate, Nper, Pmt, Fv, Type)
Rate = ดอกเบี้ยต่อคาบเวลาซึ่งอยู่ในรูปของเดือน
Nper = จำนวนงวดที่ต้องฝาก ซึ่งคิดเป็นเดือน มีค่าเป็นลบ เพราะเป็นเงินที่ต้องจ่ายไป
Pmt = จำนวนเงินที่สามารถฝากได้ในแต่ละเดือน ซึ่งจะต้องใส่เครื่องหมาย (-) ไว้ด้วย
Fv = มูลค่าเงินในอนาคต
Type = หากมีค่าเป็น 0 คำนวณเมื่อปลายงวด (ปลายเดือน)
หากมีค่าเป็น 1 คำนวณเมื่อต้นงวด (ต้นเดือน) และ
หากไม่มีการกำหนดค่าจะถือว่าเป็น 0 ทันที
ฟังก์ชัน NPV
NPV เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับการคำนวณหามูลค่าของเงินในปัจจุบัน
รูปแบบฟังก์ชัน = NPV(์Rate, Value1, Value2, Value3, ... n)
Rate = อัตราดอกเบี้ย
Value1 = ค่าตัวเลขที่ใช้ในการลงทุน
ฟังก์ชัน RATE
RATE เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับการคำนวณหามูลค่าของเงินในปัจจุบัน
รูปแบบฟังก์ชัน = RATE(์Nper, Pmt, Pv, Fv, Type, Guess)
Nper = จำนวนงวดที่ต้องฝาก ซึ่งคิดเป็นเดือน มีค่าเป็นลบ เพราะเป็นเงินที่ต้องจ่ายไป
Pmt = จำนวนเงินที่สามารถฝากได้ในแต่ละเดือน ซึ่งจะต้องใส่เครื่องหมาย (-) ไว้ด้วย
Pv = เงินเริ่มต้นในการฝากซึ่งปกติแล้วจะเริ่มต้นด้วย 0 บาท หรือหากมีจำนวนเงินฝาก ก็ให้ใส่เครื่องหมาย - ไว้ด้วย เช่น -1000 บาท
Fv = มูลค่าเงินในอนาคต
Type = หากมีค่าเป็น 0 คำนวณเมื่อปลายงวด (ปลายเดือน)
หากมีค่าเป็น 1 คำนวณเมื่อต้นงวด (ต้นเดือน) และ
หากไม่มีการกำหนดค่าจะถือว่าเป็น 0 ทันที
Guess = อัตราดอกเบี้ยที่คาดเดาไว้ล่วงหน้า
ฟังก์ชัน NPER
NPER เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับการคำนวณหามูลค่าของเงินในปัจจุบัน
รูปแบบฟังก์ชัน = NPER(์Rate, Pmt, Pv, Fv, Type)
Rate = ดอกเบี้ย หากต้องการคิดเป็นเดือนต้องหารด้วย 12
Pmt = จำนวนเงินที่สามารถผ่อนชำระได้ในแต่ละงวดซึ่งจะต้องใส่เครื่องหมาย (-) ไว้ด้วย
Pv = จำนวนเงินที่กู้ยืมมา
Fv = ค่าสุดท้ายที่เราจะต้องผ่อน โดยปกติแล้วการผ่อนชำระนั้นจะต้องผ่อนจนครบ จึงค่าเป็น 0
Type = หากมีค่าเป็น 0 คำนวณเมื่อปลายงวด (ปลายเดือน)
หากมีค่าเป็น 1 คำนวณเมื่อต้นงวด (ต้นเดือน) และ
หากไม่มีการกำหนดค่าจะถือว่าเป็น 0 ทันที
ฟังก์ชัน PMT
PMT เป็นฟังก์ชันที่ใช้สำหรับการคำนวณหามูลค่าของเงินในปัจจุบัน
รูปแบบฟังก์ชัน = PMT(์Rate, Nper, Pv, Fv, Type)
Rate = ดอกเบี้ยต่อเดือน
Nper = จำนวนงวดที่ต้องผ่อนชำระ โดยจำนวนงวดนี้คิดเป็นเดือน
Pv = จำนวนเงินที่กู้ยืมมา
Fv = ค่าสุดท้ายที่เราจะต้องผ่อน โดยปกติแล้วการผ่อนชำระนั้นจะต้องผ่อนจนครบ จึงค่าเป็น 0
Type = หากมีค่าเป็น 0 คำนวณเมื่อปลายงวด (ปลายเดือน)
หากมีค่าเป็น 1 คำนวณเมื่อต้นงวด (ต้นเดือน) และ
หากไม่มีการกำหนดค่าจะถือว่าเป็น 0 ทันที
กลุ่มฟังก์ชันทางด้านวันที่และเวลา
ฟังก์ชัน TODAY()
ให้ค่าเป็นวันที่ในปัจจุบัน
รูปแบบฟังก์ชัน = TODAY()
ฟังก์ชัน NOW()
แสดงค่าวันที่และเวลาปัจจุบัน
รูปแบบฟังก์ชัน = NOW()
ฟังก์ชัน DATE()
สำหรับการระบุข้อมูลที่เป็นวันที่
รูปแบบฟังก์ชัน = DATE(ํYear, Month, Day)
Year = ใส่ค่าปี ค.ศ. ที่ต้องการแสดงผล
Month = ใส่ค่าเดือนที่ต้องการแสดงผล
Day = ใส่ค่าวันที่ต้องการแสดงผล
ฟังก์ชัน HOUR()
สำหรับหาชั่วโมง จากตัวเลขที่กำหนดไว้ให้
รูปแบบฟังก์ชัน = HOUR(ํSerial_number)
Serial_number = ค่าตัวเลขหรือข้อความที่อยู่ในรูปแบบของเวลา
ฟังก์ชัน MINUTE()
สำหรับการหานาที จากตัวเลขที่กำหนดไว้ให้
รูปแบบฟังก์ชัน = MINUTE(ํSerial_number)
Serial_number = ค่าตัวเลข หรือข้อความที่อยู่ในรูปแบบของเวลา
กลุ่มฟังก์ชันเกี่ยวกับการแจ้งข่าว
ฟังก์ชัน ISNUMBER
ตรวจสอบและส่งค่า True เมื่อตำแหน่งเชลล์ที่อ้างถึงนั้นมีการใส่ค่าเป็นแบบตัวเลขที่สามารถนำมาใช้ในการคำนวณได้
รูปแบบฟังก์ชัน = ISNUMBER(์Value)
Value = ค่าที่ต้องการทดสอบว่าเป็นค่าตัวเลขที่นำมาใช้คำนวณได้หรือไม่
ฟังก์ชัน ISNA
ตรวจสอบและส่งค่า True เมื่อตำแหน่งเชลล์ที่อ้างถึงนั้นแสดงเป็นข้อความ "#N/A" ซึ่งปกติแล้วจะแสดงข้อความนี้เนื่องจากใช้สูตรคำนวณหรือฟังก์ชันผิดหลักไวยากรณ์
รูปแบบฟังก์ชัน = ISNA(์Value)
Value = ค่าที่ต้องการทดสอบว่าเป็นข้อความ "#N/A" หรือไม่
ฟังก์ชัน ISBLANK
ตรวจสอบและส่งค่า True เมื่อตำแหน่งเชลล์ที่อ้างถึงนั้นเป็นค่าว่างหรือไม่
รูปแบบฟังก์ชัน = ISฺBLANK(์Value)
Value = ค่าที่ต้องการทดสอบว่าเป็นค่าว่างหรือไม่