แนวคิดเชิงคำนวณ (Computational Thinking) คือ กระบวนการแก้ปัญหาในหลากหลายลักษณะ เช่น การจัดลำดับเชิงตรรกศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูล และการสร้างสรรค์วิธีแก้ปัญหาไปทีละขั้นทีละตอน(หรือที่เรียกว่าอัลกอริทึ่ม) รวมทั้งการย่อยปัญหาที่ช่วยให้รับมือกับปัญหาที่ซับซ้อนหรือมีลักษณะเป็นคำถามปลายเปิดได้ วิธีคิดเชิงคำนวณมีความจำเป็นมากในการพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับคอมพิวเตอร์ และในขณะเดียวกัน วิธีคิดนี้ยังช่วยแก้ปัญหาในวิชาต่างๆ ได้ด้วย ดังนั้น จึงมีการบูรณาการวิธีคิดเชิงคำนวณผ่านหลักสูตรในหลากหลายแขนงวิชา นักเรียนจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างแต่ละวิชา รวมทั้งสามารถนำวิธีคิดที่เป็นประโยชน์นี้ ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริงได้ในระยะยาว นักเรียนจะได้เห็นตัวอย่างของขั้นตอนวิธีการแก้ปัญหาตามแนวคิดเชิงคำนวณ โดย การคิดแบบแยกส่วนประกอบและย่อยปัญหา (decomposition) การหารูปแบบของปัญหา (pattern recognition) การคิดเชิงนามธรรม (abstraction) เพื่อพิจารณาสาระสำคัญของปัญหา และออกแบบขั้นตอนวิธีในการแก้ปัญหา (algorithm)
1.1 ขั้นตอนวิธี (algorithm)
ขั้นตอนวิธี คือ ลำดับขั้นตอนในการแก้ปัญหาหรือการทำงานที่ชัดเจน การคิดค้นอธิบายขั้นตอนวิธีในการแก้ปัญหาต่างๆ ตลอดจนการพัฒนาแนวทางแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน หรือสร้างหลักเกณฑ์ขึ้นมาเพื่อดำเนินตามทีละขั้นตอน ในการแก้ไขปัญหา ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยโบราณ เช่น ขั้นตอนวิธีการบวก การลบ การคูณ การหาร ที่พัฒนาโดยนักคณิตศาสตร์ ชาวเปอร์เซีย (ชื่อว่า อัลควาริซมี al-Khwarizmi ซึ่งชื่อนี้เป็นที่มาของ พีชคณิต(algebra) และอัลกอนิทึม(algorithm))
ขั้นตอนวิธี ยังพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ขั้นตอนการเข้าเว็บไซต์เพื่อซื้อหนังสือ ขั้นตอนการซื้อของออนไลน์ ขั้นตอนการสร้างบ้าน ขั้นตอนการเดินทางจากบ้านมาโรงเรียน อื่นๆ อีกมากมาย
ตัวอย่างที่ 1.1 วิธีแนะนำหนังสือ
ร้านหนังสือแห่งหนึ่งมีหนังสือใหม่ 3 เล่ม คือ เวทย์มนต์พ่อมดวัยรุ่น การปลูกมะม่วงและกลอนภาษาไทย นอกจากนี้ยังมีหนังสืออื่น ๆ อีก แต่พิจารณาเพียง 6 เล่ม คือ หนังสือ A B C D E และ F ร้านหนังสือมีข้อมูลการซื้อหนังสือของลูกค้าจำนวน 5 คน พร้อมด้วยข้อมูลการซื้อหนังสือของนักเรียนชื่อ สมพล แสดงดังตารางต่อไปนี้
จากข้อมูลดังกล่าว ร้านหนังสือใช้ขั้นตอนวิธีต่อไปนี้เพื่อเลือกหนังสือที่จะแนะนำให้กับ สมพล
ขั้นตอนการแก้ปัญหา
พิจารณาข้อมูลการซื้อหนังสือลูกค้าแต่ละคน
เลือกลูกค้าที่มีพฤติกรรมการซื้อหนังสือใกล้เคียงกับ สมพล มากที่สุด
แนะนำหนังสือใหม่ที่ลูกค้าในข้อ 2 เลือกซื้อ
การเลือกว่าลูกค้าคนใดมีพฤติกรรมการซื้อใกล้เคียงกับสมพล สามารถพิจารณาได้หลายแบบ วิธีหนึ่งที่ง่ายก็คือ การพิจารณาความแตกต่างของสถิติการซื้อหนังสือทั้งหมดและนับจำนวนหนังสือที่ซื้อแต่กต่างกัน เช่น ถ้าพิจารณาความแตกต่างระหว่างการซื้อหนังสือของสมพลกับลูกค้าที่ชื่อสมชาย จะพบว่ามหนังสือสองเล่มคือ D และ F ที่สมพลและสมชายซื้อต่างกัน ลูกค่าที่มีพฤติกรรมใกล้เคียงที่สุดคือลูกค้าที่มีความแตกต่างน้อยที่สุด จากข้อมูลข้างต้น สามารถคำนวณค่าความแตกต่าง ได้ดังนี้
ชื่อลูกค้า จำนวนหนังสือที่ซื้อแตกต่างกับสมพล
สมชาย 0+0+0+1+0+1 = 2
สมหญิง 1+0+1+0+0+0 = 2
สมศักดิ์ 0+0+0+0+1+0 = 1
สมฤดี 0+0+0+1+1+0 = 2
สมหมาย 1+1+0+1+1+1 = 5
สังเกตว่า พฤติกรรมการซื้อหนังสือของสมพลใกล้เคียงกับสมศักดิ์มากที่สุด และเนื่องจากสมศักดิ์ซื้อหนังสือ "เวทย์มนต์พ่อมดวัยรุ่น" ดังนั้นร้านหนังสือจึงแนะนำหนังสือเวทย์มนต์พ่อมดวัยรุ่นให้กับสมพล
ตัวอย่างที่ 1.2 ไปให้ครบทุกที่
พิจารณาสถานการณ์ต่อไปนี้
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ สาวิตรีตื่นแต่เช้าและวางแผนจะทำกิจกรรมเพื่อสังคมหลายอย่างแต่นึกขึ้นได้ว่า ต้องไปซื้ออุปกรณ์เพื่อนำมาทำโครงงาน นอกจากนี้ยังต้องเก็บตัวอย่างน้ำเสียเพื่อนำไปทดลองวิทยาศาสตร์ในวันพรุ่งนี้ด้วย สาวิตรีไม่ต่องการพลาดกิจกรรมเพื่อสังคมใด ๆ เลย และยังได้ทำงานที่ครูมอบหมายได้ครบถ้วน สาวิตรีจะทำอย่างไร
สมมติว่า สาวิตรีตั้งใจจะทำกิจกรรมเพื่อสังคม 3 กิจกรรมที่สถานที่ต่อไปนี้ คือ สถานีรถไฟ สวนสาธารณะ และโรงพยาบาล นอกจากนี้ยังจะต้องไปร้านขายอุปกรณ์เพื่อซื้ออุปกรณ์สำหรับทำโครงงาน ส่วนการเก็บน้ำเสียนั้น สาวิตรีมีทางเลือกสองทางคือ เก็บที่บ่อหลังโรงเรียน หรือเก็บที่ลำคลอง โดยสนใจเฉพาะระยะทางที่ใช้ในการเดินทางระหว่างจุดหมายต่าง ๆ
การที่จะวางแผนได้ต้องทราบตำแหน่งและระยะทางโดยประมาณที่ต้องใช้ในการเดินทางระหว่างจุดหมาย ดังรูปที่ 1.1 เป็นแผนที่พร้อมระบุจุดหมาย โดยกำหนดให้ # แทนตำแหน่งของบ้านของสาวิตรี จุด A, B และ C แทนสถานีรถไฟ สวนสาธารณะ และโรงพยาบาล ตามลำดับ (A) แทนร้านขายอุปกรณ์ที่อยู่ใกล้โรงเรียน และ (beaker) แทนจุดที่สามารถไปเก็บตัวอย่างน้ำเสีย
จากตำแหน่งในแผ่นที่ ดังรูปที่ 1.1 นักเรียนอาจวางแผนการเดินทางของสาวิตรีได้ ดังรูปที่ 1.2 โดยพิจารเลือกลำดับการทำกิจกรรมพร้อมเส้นทางที่เหมาะสม จากนั้นจึงเปรียบเทียบว่าเส้นทางใดมีระยะทางสั้นกว่า ซึ่งพบว่าการเดินทางแบบที่ 2 มีระยะทางสั้นที่สุด
ขั้นตอนการแก้ปัญหา
1. ระบุจุดหมายที่ต้องเดินทางลงบนแผนที่ในกรณีที่มีทางเลือกให้ระบุให้ชัดเจน
2. ทดลองวางแผนการเดินทางหลายแบบ ถ้ามีจุดหมายที่เป็นทางเลือกให้ทดลองเลือกให้ครบทุกทางเลือก
3. เลือกแผนการเดินทางที่เหมาะสมที่สุด (อาจเป็นระยะทางที่สั้นที่สุด หรือใช้เวลาเดินทางน้อยที่สุด)
การวางแผนที่มีข้อมูลประกอบ การคิดอย่างเป็นระบบและขั้นตอน ทำให้นักเรียนสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตามตัวอย่างนี้เป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในหนึ่งวัน ซึ่งนักเรียนสามารถนำวิธีการนี้ไปใช้กับปัญหาอื่น หรือมอบวิธีแก้ปัญหานี้ให้กับผู้อื่นนำไปใช้ก็สามารถแก้ปัญหาได้เช่นเดียวกัน
ตัวอย่างที่ 1.3 การหาตัวหารร่วมมาก
ตัวหารร่วมมาก (ห.ร.ม.) ของจำนวนเต็มสองจำนวน คือ จำนวนเต็มบวกที่มีค่ามากที่สุดที่หารจำนวนเต็มทั้งสองจำนวนนั้นลงตัว
ถ้าพิจารณาจากนิยามของ ห.ร.ม. จะพบว่า วิธีการหนึ่งที่สามารถใช้ในการหา ห.ร.ม. ได้ คือ การนำจำนวนเต็มบวกมาหารจำนวนเต็มสองจำนวน โดยเริ่มตั้งแต่การนำ 1, 2, 3,... ไปเรื่อย ๆ มาหาร จนถึงจำนวนที่น้อยกว่าในสองจำนวนที่ต้องการหา ห.ร.ม.นั้น และในระหว่างการคำนวณ จะต้องจดจำค่าที่มากที่สุดที่หารจำนวนทั้งสองลงตัว เมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว จำนวนมากที่สุดที่จดจำไว้ คือ ห.ร.ม. วิธีการนี้จะใช้ได้สะดวกเมื่อ จำนวนเจ็มทั้งสองจำนวน มีค่าน้อย เช่น 21 กับ 14 ถ้าจำนวนเต็มทั้งสอง มีค่ามาก เช่น 221 กับ 187 วิธีการข้างต้นจะใช้เวลานาน เพราะต้องทำการคำนวณทั้งหมด 187 ครั้ง จึงจะได้คำตอบว่า ห.ร.ม. คือ 17
ถ้านักเรียนใช้วิธีการเดียวกันนี้กับจำนวนเต็ม 61,950,337 และ 62,377,963 นักเรียนอาจต้องทำการหารจำนวนเต็มทั้งสองประมาณ 62 ล้านครั้ง แต่ถ้าใช้ขั้นตอนวิธีของยุคลิด (Euclidean algorithm) ในการหาคำตอบ ปัญหานี้สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ขั้นตอนวิธีของยุคลิด
เขียนจำนวนที่ต้องการหา ห.ร.ม. เรียงต่อกัน
ถ้าจำนวนที่น้อยกว่ามีค่าเป็นศูนย์ คำตอบคือ จำนวนที่มีค่ามากกว่าและจบการทำงาน
ในบรรทัดถัดมา
3.1 เขียนเศษที่ได้จากการหารจำนวนที่มากกว่าด้วยจำนวนที่น้อยกว่า
3.2 คัดลอกจำนวนเต็มที่มีค่าน้อยกว่าลงในบรรทัดเดียวกัน
กลับไปทำกระบวนการรอบต่อไปในขั้นตอนที่ 2
ตัวอย่างขั้นตอนวิธีของยุคลิด ในการหา ห.ร.ม. จะมีขั้นตอนในการคำนวณ ดังนี้
รอบที่ จำนวนทั้งสอง คำอธิบาย
1 187 221 จำนวนที่น้อยกว่า (187) ยังไม่เป็นศูนย์ คำนวณเศษของการหาร 221 ด้วย 187 ได้ 34 ดังนั้นจะเขียนแทน 221 ด้วย 34 ในรอบที่ 2
2 187 34 จำนวนที่น้อยกว่า (34) ยังไม่เป็นศูนย์ คำนวณเศษของการหาร 187 ด้วย 34 ได้ 17 ดังนั้นจะเขียนแทน 187 ด้วย 17 ในรอบที่ 3
3 17 34 จำนวนที่น้อยกว่า (17) ยังไม่เป็นศูนย์ คำนวณเศษของการหาร 34 ด้วย 17 ได้ 0 ดังนั้นจะเขียนแทน 34 ด้วย 0 ในรอบที่ 4
4 17 0 จำนวนที่น้อยกว่าเป็นศูนย์ (0) ดังนั้น ห.ร.ม. จึงมาค่าเท่ากับ 17
จากตัวอย่าง การหา ห.ร.ม. ด้วยวิธีดังกล่าวใช้การหารเพียง 3 ครั้ง ก็สามารถหาคำตอบที่ต้องการได้ เมื่อเทียบกับวิธีแรกที่ดำเนินการตามนิยาม จะเห็นว่าวิธีการหา ห.ร.ม.ของยุคลิด ทำให้ได้ผลลัพธ์เร็วมากหว่า
1.2 การแยกส่วนประกอบและการย่อยปัญหา (decomposition)
การแยกส่วนประกอบ เป็นวิธีคิดรูปแบบหนึ่งของแนวคิดเชิงคำนวณ เป็นการพิจารณาเพื่อแบ่งปัญหาหรืองานออกเป็นส่วนย่อย ทำให้สามารถจัดการกับปัญหาหรืองานได้ง่ายขึ้น เพื่ออธิบายแนวคิดนี้นักเรียนพิจารณารูปจักรยาน ประกอบด้วย ล้อ แฮนด์ โครงจักรยาน ระบบขับเคลื่อนหรืออื่น ๆ ถ้ามองในรายละเอียดของล้อจักรยานจะเห็นว่าประกอบด้วย ยางล้อ วงล้อ และซี่ล้อ หรือพิจารณาชุดขับเคลื่อน ก็จะประกอบด้วย เฟือง โซ่ และบันได
การแบ่งส่วนประกอบของวัตถุนั้น สามารถพิจารณาให้ละเอียดย่อยลงไปได้อีกหลายระดับ แต่ไม่ควรแยกย่อยรายละเอียดให้มากเกินความจำเป็น ทั้งนี้ให้ขึ้นอยู่กับบริบทที่สนใจ
จักรยานที่สมบรูณ์
แยกส่วนประกอบจักรยาน
การแยกส่วนประกอบอาจเป็นขั้นตอนแรกของการพัฒนานวัตกรรม เนื่องจากจะทำให้เห็นหน้าที่การทำงานของแต่ละส่วนประกอบย่อยอย่างชัดเจน เมื่อพิจารณาส่วนประกอบย่อยต่าง ๆ เหล่านั้นอย่างเป็นอิสระต่อกันแล้ว สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในบริบทอื่นได้ เช่น จากการแยกส่วนจักรยาน นักเรียนอาจแยกระบบขับเคลื่อนไปใช้ในการปั่นไฟเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าได้
จักรยานปั่นผลิตกระแสไฟ
จักรยานปั่นปั๊มน้ำ
การแยกส่วนประกอบไม่ได้ทำเฉพาะวัตถุหรือสิ่งของเท่านั้น แต่ยังสามารถทำกับกระบวนการและขั้นตอนวิธีด้วย ซึ่งมนุษย์ใช้ทักษะนี้ตลอดเวลาจนแทบไม่ได้สังเกต เช่น การเดินทางจากบ้านมาโรงเรียน อาจแบ่งขั้นตอนการเดินทางด้วยรถประจำทาง เป็น 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. เดินทางออกจากบ้านไปยังรถประจำทาง
2. เดินทางด้วยรถประจำทางจนถึงบริเวณโรงเรียน
3. เดินทางจากรถประจำทางไปยังโรงเรียน
ในแต่ละขั้นตอนก็อาจแบ่งเป็นขั้นตอนที่ละเอียดลงไปได้อีก เช่น ขั้นตอนที่ 2 เดินทางด้วยรถประจำทางจนถึงบริเวณโรงเรียน
2.1 หาที่นั่งหรือหาตำแหน่งยืน
2.2 ชำระค่าโดยสาร
2.3 อยู่ในรถประจำทางจนกระทั่งถึงบริเวณโรงเรียนแล้วลงจากรถ
ในการแบ่งขั้นตอนเป็นขั้นตอนย่อย ๆ และการพิจารณาลงในรายละเอียดนั้นสามารถเลือกระดับความละเอียดได้ตามความเหมาะสม
1.3 การหารูปแบบ (Pattern recognition)
การหารูปแบบ เป็นทักษะการหาความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้อง แนวโน้วและลักษณะทั่วไปของสิ่งต่าง ๆ โดยทั่วไปแล้วนักเรียนจะเริ่มพิจารณาปัญหาหรือสิ่งที่สนใจ จากนั้นอาจใช้ทักษะการแยกส่วนประกอบทำให้ได้องค์ประกอบภายในอื่น ๆ แล้วจึงใช้ทักษะการหารูปแบบเพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น เช่น ในส่วนประกอบของจักรยาน นักเรียนจะพบว่าระบบขับเคลื่อนประกอบด้วยเฟืองหน้าและเฟืองหลัง ที่เชื่อมกันด้วยโซ่จักรยาน มีลักษณะเหมือนระบบรอก ดังรูป ดังนั้น ถ้านักเรียนทราบถึงคุณสมบัติการทดแรงของระบบรอกดังกล่าวแล้ว นักเรียนก็จะเข้าใจการทดแรงของระบบขับเคลื่อนของจักรยานเช่นเดียวกัน ในกรณีนี้ การหารูปแบบเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนเปรียบเทียบสิ่งที่สนใจกับสิ่งอื่นที่เคยทราบมาก่อน
ระบบขับเคลื่อนจักรยาน
ระบบรอกที่มีลักษณะเช่นเดียวกับระบบขับเคลื่อนจักรยาน
การหารูปแบบอีกประเภทหนึ่ง เป็นการหารูปแบบที่เหมือนและแตกต่างกันระหว่างสิ่งต่าง ๆ ที่สนใจหลายชิ้น การพิจารณารูปแบบนี้ จะช่วยระบุองค์ประกอบสำคัญร่วมกันของสิ่งของเหล่านั้นได้ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการสร้างความเข้าใจเชิงนามธรรมต่อไป พิจารณาตัวอย่าง ดังรูป
จากรูป จะเห็นเมาส์ที่มีรูปลักษณ์ภายนอกที่แตกต่างกัน แต่สังเกตว่ารูปแบบการใช้งานนั้นเมือนกัน กล่าวคือนักเรียนสามารถบังคับตำแหน่งตัวชี้ได้โดยการขยับเมาส์ และใช้การกดหรือสัมผัสบนปุ่มเมาส์ในการระบุการกระทำ อย่างไรก็ตาม เมาส์ในรูปก็ยังมีความแตกต่างกัน เช่น เมาส์บางแบบมีปุ่มมากกว่าแบบอื่น ในขณะที่บางแบบสามารถใช้การสัมผันในการสั่งงานได้
ในการหารูปแบบนั้น บางครั้งจะพบว่าสิ่งของที่เราสนใจมีรูปแบบบางอย่างปรากฏขึ้นซ้อนกันในตัวเอง ตัวอย่างเช่น ใบเฟิร์น พบว่ากิ่งย่อยมีรูปแบบไม่แตกต่างจากใบเฟิร์นทั้งใบมากนัก ลักษณะการเกิดขึ้นของรูปแบบที่ซ้อนกันเช่นนี้ พบได้ในธรรมชาติทั่วไป
นอกจากการหารูปแบบของสิ่งของแล้ว นักเรียนยังสามารถหารูปแบบที่เหมือนกันของปัญหาได้ด้วย ลองพิจารณารูปแบบการค้นหาข้อมูลภายใต้สถานการณ์ต่อไปนี้ โรงเรียนแห่งหนึ่งมีนักเรียนชั้น ม.4 จำนวน 200 คน ครูได้นำสมุดการบ้านวิชาคณิตศาสตร์มาคืน นักเรียนต้องการค้นหาสมุดของตนเองจากกองสมุดนั้น ในการค้นหาอาจเริ่มจากการพิจารณาสมุดเล่มที่อยู่บนสุด ถ้าพบว่าเป็นสมุดของตนเองนักเรียนก็สามารถหยิบสมุดเล่มนั้นแล้วจบกระบวนการค้นหา ถ้าไม่ใช่ ก็ต้องค้นหาในกองสมุดที่เหลือต่อไปอีก 199 เล่ม
สังเกตว่า หลังจากพิจารณาสมุดหนึ่งเล่มแล้ว ปัญหาที่เหลืออยู่ก็ยังคงเป็นปัญหาการค้นหาสมุดจากกองสมุดการบ้านเช่นเดิม แต่มีจำนวนสมุดในกองที่ต้องค้นหาน้อยลง นอกจากนี้ เมื่อนักเรียนพิจารณาสมุดเล่มต่อไปและพบว่าไม่ใช่เล่มที่ต้องการ แม้ว่าจำนวนสมุดในกองที่ต้องค้นหาจะลดลง แต่ปัญหาที่เหลืออยู่ก็ยังคงเป็นปัญหาที่มีรูปแบบไม่แตกต่างจากปัญหาเดิม
ถ้าใช้แนวคิดแบบแยกองค์ประกอบ นักเรียนจะพบว่าปัญหาการค้นหาสมุดจากกองสมุด 200 เล่มนั้น ประกอบด้วยปัญหาย่อย ๆ อีกหลายปัญหา คือ ปัญหาการหาสมุดจากกองสมุด 199 เล่ม ปัญหาจากการหาสมุดจากกอง 198 เล่ม ลดลงไปเรื่อย ๆ เป็นต้น และปัญหาย่อยเหล่านี้มีรูปแบบที่เหมือนกัน โดยมีความแตกต่างกันที่จำนวนสมุดเท่านั้น
1.4 การคิดเชิงนามธรรม (abstraction)
การคิดเชิงนามธรรม คือ กระบวนการคัดแยกคุณลักษณะที่สำคัญออกจากรายละเอียดในโจทย์ปัญหา หรืองานที่กำลังพิจารณา เพื่อให้ได้องค์ประกอบที่จำเป็นเพียงพอ และกระชับที่สุดในการพิจารณาภายใต้สถานการณ์ที่สนใจ นักเรียนอาจเคยเห็นการใช้แนวคิดนี้มาบ้างแล้วในการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง วงจรไฟฟ้า หรือเรื่องของการเคลื่อนที่ ดังตัวอย่าง รูปแสดงวงจรไฟฟ้าและแผนภาพลักษณ์วงจรไฟฟ้า รูปแสดงระบบรอกและแผนภาพระบบรอก
วงจรไฟฟ้า
ระบบรอก
สังเกตว่า แผนภาพข้างต้นมีข้อมูลเพียงพอในการใช้วิเคราะห์การทำงานของวงจรไฟฟ้า และการทำงานของระบบรอก และตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นในการพิจารณาออกทั้งหมด เรียกแผนภาพต่าง ๆ ที่เป็นผลลัพธ์ของการคิดเชิงนามธรรมว่า "แบบจำลอง (model)"
แผนที่เป็นตัวอย่างแบบจำลองที่แสดงตำแหน่งของสถานที่ต่าง ๆ ดังรูปเป็นแผนที่แสดงเส้นทางรถไฟความเร็วสูง ภาพทั้งสองให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานีรถไฟฟ้าที่ละเอียด ส่วนอีกแผนภาพได้ลดรายละเอียดลงเหลือเฉพาะข้อมูลเส้นทางเชื่อมต่อของรถไฟฟ้า ในการใช้งานแผนภาพทั้งสองนี้ ถ้าต้องการทราบตำแหน่งของสถานีใช้แผนภาพที่ 1 จะเหมาะสมกว่าแผนภาพที่ 2 สำหรับผู้ใช้งานเพื่อเดินทางในชีวิตประจำวัน แผนภาพที่ 2 จะมีความเหมาะสมกว่า สังเกตว่า แบบจำลองที่ดีต้องมีรายละเอียดที่เหมาะสมตามความต้องการใช้งาน
ภาพที่ 1 รายละเอียด
ภาพที่ 2 แบบจำลอง
การทำความเข้าใจกับกิจกรรมต่าง ๆ จำเป็นต้องจินตนาการแบบจำลองเหล่านี้ไว้ในใจด้วยเช่นกัน ไม่เว้นแม้กระทั่งการเล่นเกม ในเกมผู้เล่นต้องเข้าใจว่าการเลือกสั่งงานตัวละครใดจะให้ผลลัพธ์ได้ตรงทุกครั้ง ผลลัพธ์จริงที่ได้จากการเล่นเกมมักจะแตกต่างจากที่คาดการณ์ไว้ไม่มาก เนื่องจากแบบจำลองของเหตุการณ์ในเกมกับแบบจำลองในความคิดของผู้เล่นที่จินตนาการไว้ไม่แตกต่างกัน นั่นเอง
การคิดเชิงนามธรรมเป็นเครื่องมือที่ทำให้นักเรียนสามารถจัดการกับแนวคิดหรือปัญหาที่ซับซ้อนด้วยการเลือกเฉพาะสิ่งที่สำคัญและลดทอนรายละเอียดที่ไม่จำเป็นทิ้งไป นอกจากนี้ เมื่อได้ตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นแล้ว จะสังเกตุได้ว่าแบบจำลองที่ได้นั้นมีรูปแบบใกล้เคียงกับแบบจำลองจากสถาณการณ์หรือปัญหาอื่น ๆ ซึ่งทำให้สามารถประยุกต์ใช้ความรู้และวิธีการแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้
สรุปท้ายบท
แนวคิดเชิงคำนวณประกอบด้วย การแยกส่วนประกอบและการย่อยปัญหา (decomposition) การหารูปแบบของปัญหา (pattern recognition) การคิดเชิงนามธรรม (abstraction) และ ขั้นตอนวิธีสำหรับแก้ปัญหา (algorithm) เป็นหลักการที่เป็นประโยชน์ในการนำมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ทั้งในชีวิตประจำวันหรือกิจกรรมอื่นที่ได้รับมอบหมาย เช่น การนำข้อมูลมาประมวลผลเพื่อใช้ในการตัดสินใจ การวางแผนกิจกรรมที่มีเงื่อนไขและความต้องการที่หลากหลาย การพัฒนาระบบอัตโนมัติให้ทำกิจกรรมซ้ำ ๆ แทนมนุษย์ การอธิบายขั้นตอนในการทำกิจกรรมให้กับผู้อื่นเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันและการดำเนินงานที่มีขนาดใหญ่ ยุ่งยากและซับซ้อนให้สำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ